สังคมสงเคราะห์กับสังคม
ปัจจุบันงานสังคมสงเคราะห์มีอยู่ในบริบทที่หลากหลาย ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์ภาคประชาชน จึงมีนักสังคมสงเคราะห์ปฎิบัติงานอยู่ในสถานที่ต่างๆเช่นในโรงพยาบาล โรงเรียน เรือนจำ ฯลฯ
Smale และคณะ (2000 ) ได้ให้ความหมายของงานสังคมสงเคราะห์ว่าหมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเข้าแทรกแซง ช่วยเหลือเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางสังคม ซึ่งประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือสนับสนุน หรือประชาชนที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเหมาะสม การที่ให้นิยามเช่นนี้จึงมักจะถูกตั้งคำถามว่า นักสังคมสงเคราะห์สามรถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางสังคมได้หรือ ใครเป็นผู้ตัดสินใจให้การเข้าแทรกแซง การเข้าแทรกแซงช่วยเหลือจะทำได้อย่างไร ความเหมาะสมมีบริบทอย่างไร ฯลฯ
ตั้งแต่ก่อกำเนิดการสังคมสงเคราะห์จะเห็นได้ว่าสังคมสงเคราะห์ไม่สามารถแยกออกจากสังคมได้ เราไม่สามารถเข้าใจสังคมสงเคราะห์ได้ หากไม่พิจารณาความเกี่ยวพันกับบริบททางสังคมในแต่ละยุคสมัย
สังคมคืออะไร
พจนานุกรม Oxford (1999) ให้ความหมายว่าสังคมคือแหล่งที่อยู่รวมกันของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในชุมชน ในขณะที่นักสังคมวิทยาซึ่งอาจเรียกได้ว่าผู้ตรวจสอบวิเคราะห์สังคมโดยการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์สังคม “นักสังคมวิทยาในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาได้มีการค้นคว้าศึกษาลักษณะสังคมแล้วบอกว่าพวกเรากำลังอยู่ในสังคมทันสมัย” เพราะอุตสาหกรรมและความเป็นเมืองทำให้เรามีวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งเปลี่ยนจากวิถีชีวิตแบบศักดินา เกษตรกรรม ความเรียบง่าย สู่วิถีชีวิต ทุนนิยม อุตสาหกรรม และความซับซ้อนในสังคมมีมากขึ้น นักสังคมวิทยามองปรากฏการณ์ “ทันสมัย”( Modern) เป็นสิ่งที่ดี เป็นความก้าวหน้า เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ เป็นยุคแห่งความรู้ แม้ว่าจะมีจุดอ่อนในเรื่องของความเสื่อมถอยและสูญหายของค่านิยมประเพณี และเครือข่ายทางสังคม เมื่อเร็วๆนี้แนวคิดเกี่ยวกับสังคมที่สังคมว่ามีเอกลักษณ์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ถูกวิพากษ์อย่างหนัก เพราะมีการนำเสนอแนวคิดพหุลักษณ์ในสังคมซึ่งต่อมาเรียกว่า “ยุคหลังสมัยใหม่” (Postmodern) ซึ่งเน้นความหลากหลายของสิ่งที่มีอยู่ในสังคม ความซับซ้อนและลักษณะที่ไม่คาดคิด (คาดหวังไม่ได้) ของสังคมทุนนิยมในยุคปลาย คนจะมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย มีการเคลื่อนย้ายสูง มีความขัดแย้ง มีภาวะเสี่ยงของโลกทั้งใบที่นอกเหนือการควบคุม
สังคมสงเคราะห์กับสังคมยุคก่อนอุตสาหกรรม
สังคมสงเคราะห์มีอยู่ก่อนตั้งแต่ดั้งเดิมแต่อาจจะเรียกว่าอย่างอื่นมิได้เรียกว่านักสังคมสงเคราะห์เหมือนในยุคปัจจุบัน ยุคก่อนอุตสาหกรรม คนที่ทำบทบาทคล้ายนักสังคมสงเคราะห์มักจะเป็น พระที่ช่วยเหลือรักษาเยียวยาสภาวะทางจิตใจ ครอบครัว ญาติ ผู้นำชุมชน ซึ่งคนเหล่านี้มักจะดูแลช่วยเหลือคนที่ไร้บ้าน สูญเสียคนที่รัก ครอบครัวในภาวะที่ยากลำบาก ผู้ป่วยทั้งด้านจิตและกาย ในประเทศอังกฤษองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือผู้เดือดร้อนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เช่น โบสถ์ และวัดมักจะจัดบริการให้พักกับผู้สูงอายุ ดูแลผู้ป่วย เจ้าของที่ดินก็ดูแลผู้เช่าที่ดินหากป่วยหรือผลผลิตจากที่ดินเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี
ความอ่อนแอของวัดในช่วงกลางของทศวรรษ.1530 และกระบวนการเปลี่ยนที่ดินที่อุดมสมบูรณ์เหหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทำให้การช่วยเหลือกันระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าลดน้อยลง อีกทั้งประชาชนประชาชนในชนบทมีจำนวนลดลงเพราะการเคลื่อนย้ายแรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรม ความกลัวในเรื่องสังคมไร้ระเบียบในช่วงนั้นทำให้เกิดกฎหมาย Elizabethan Poor Law ในปี 1601 กฎหมายฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่ารัฐเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือชีวิตของประชาชน เนื่องจากการช่วยเหลือตามธรรมชาติของคนที่มีจิตใจบุญกุศลกับองค์กรสาธารณะประโยชน์ไม่เพียงพอแล้ว กฎหมายฉบับนี้ได้จัดกลุ่มคนจน ผู้ที่ยากลำบากที่ไม่มีครอบครัวช่วยเหลือ สมควรได้รับความช่วยเหลือจากกฎหมาย ดังนี้
คนจนหรือคนที่ยากลำบากเพราะสูงอายุ เจ็บป่วยเรื้อรัง พิการที่ต้องการดูแลในสถานสงเคราะห์ จะส่งไปช่วยเหลือให้อยู่ในโรงทานหรือสถานสงเคราะห์
คนจนที่ร่างกายสมบูรณ์ดีแต่ถูกมองว่ามองว่าจนเพราะความขี้เกียจจะถูกส่งไปทำงานที่โรงงาน
คนจนที่ร่างกายสมบูรณ์แต่หลบหนีหรือปฏิเสธการทำงานจะถูกส่งไปลงโทษที่ House of corrections
กฎหมายฉบับนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐ มีความรับผิดชอบในการควบคุมลงโทษคนจนที่เลว ส่วนคนจนที่ดีปล่อยให้องค์กรสาธารณะประโยชน์ช่วยเหลือดูแล การเกิดขึ้นของนโยบายส่งผลดีกับสังคมระยะแรก เรียกได้ว่ากฎหมาย Poor Law นี้จากเป็นต้นแบบในการพัฒนาปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม
สังคมสงเคราะห์กับสังคมยุคความทันสมัย
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือประสบกับวิกฤตสังคมที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทอย่างรุนแรงนั้นคือผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งอุตสาหกรรมเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้วิถีชีวิตของคนมุ่งเข้าสู่เมืองเพื่อแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีจากการจ้างงานของอุตสาหกรรม จึงเกิดปัญหาความยากจน ความแออัด ไม่มีที่อยู่อาศัยเจ็บป่วยและโรคระบาด การติดเหล้าและยาเสพติด โสเภณี เด็กถูกทอดทิ้ง การเข้ามาอยู่ในเมืองอย่างอิสระของชนชั้นกรรมกร ทำให้คนชั้นกลางที่อยู่ในเมืองตั้งแต่ดั้งเดิมเรียกร้องหามาตรการบางอย่างที่ต้องควบคุมการเติบโตของชนชั้นกรรมกรที่ถือว่าเป็นอันตราย มาตรการบางอย่างก็คือระบบสวัสดิการสังคมรวมทั้งการจัดตั้งองค์การสังคมสงเคราะห์วิชาชีพซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์นวตกรรมสังคมขึ้นใหม่และได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์
นวัตกรรมสังคมภาคบังคับจากรัฐ (สวัสดิการสังคม) ในศตวรรษที่ 19 เกิดขึ้นในหลายมิติของชีวิตมนุษย์เริ่มตั้งแต่ สุขภาพอนามัยของสาธารณชน การศึกษา ระบบการคุมขังและการแก้ไขพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเยาวชน การเลี้ยงดูเด็ก การดูแลผู้ป่วยทางจิต และยังมีการจัดเก็บบันทึกการเปลี่ยนแปลงประชากร ระบบสวัสดิการสังคมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดที่ต่อเนื่องมาของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ดังจะเห็นได้จากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย Poor Law 1834 ที่แบ่งความจนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. คนที่ “สมควรจน” ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนป่วยเรื้อรัง คนพิการ เด็กกำพร้าและแม่หม้าย ซึ่งสมควรได้รับการช่วยเหลือทั้งด้านการบริการและด้านการเงินจากองค์กรสาธารณะประโยชน์
2. คนที่ไม่สมควรจน ได้แก่ คนที่ร่างการครบสมบูรณ์แต่ไม่มีงานทำ แม่เดี่ยว โสเภณี ถูกบังคับให้หันเข้าหารัฐ เข้าสู่แหล่งทำงานที่รัฐจัดให้ เพราะไม่มีการบริการการช่วยเหลือคนจนกลุ่มนี้จากสถาบันอื่นอีก
การที่รัฐแบ่งแยกคนออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจนเป็นคนสมควรจนกับคนไม่สมควรจนนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐต้องมีหน้าที่จัดการและแก้ไขคนชั้นต่ำหรือคนที่สมควรจซึ่งจะต้องเอาออกไปจากสังคม ไม่มีที่ยืนอยู่ในสังคมใหม่และทันสมัยแบบเมืองอุตสาหกรรม อย่างเช่น คนป่วยทางจิต คนพิการ และอาชญากรระบบสวัสดิการที่ถือว่าเป็นนวตกรรมสังคมใหม่ในศตวรรษที่ 19 แสดงให้เห็นความคิดใหม่ของรัฐ เป็นครั้งแรก
รัฐแสดงความช่วยเหลือคนทุกคน มิใช่การจัดการกับคนที่ละเมิดอำนาจรัฐเหมือนแต่ก่อน เช่น การให้การศึกษาฟรีสำหรับเด็กทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 11 ปี ระบบสาธารณะสุขที่มีผลต่อคนทุกชนชั้น กฎหมายการจ้างงานที่ควบคุมเศรษฐกิจและการปฏิบัติของเจ้าของโรงงานในการจ้างงานและมีกฎหมายที่รัฐสามารถเข้าไปแทรกแซงหัวใจของชีวิตประชาชน นั่นก็คือ “ครอบครัว” ด้วยการออกกฎหมายป้องกันการกระทำการกระทำความรุนแรงต่อเด็กปี 1889 ที่อนุญาติให้เจ้าหน้าที่รัฐเอาเด็กที่ถูกทารุณกรรมออกจากครอบครัวไปสู่ที่ปลอดภัยกว่าได
สังคมสงเคราะห์กับสังคมยุคหลังสมัยใหม่
คงจะเป็นไปไม่ได้หากจะกล่าวว่า “สังคมหลังสมัยใหม่เริ่มต้นเมื่อสังคมสมัยใหม่สิ้นสุดลง” เพราะยุคทันสมัยยังคงอยู่แต่ในขณะเดียวกันโลกยุค ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จะเห็นได้จากความสัมพันธ์ระหว่างสังคมสงเคราะห์กับสังคมมีการเลี่ยนแปลง ด้วยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองปัจจัยที่นอกเหนือจากสภาพภูมิศาสตร์ที่แบ่งขั้นความเป็นประเทศมีความหมายมากกว่าความเป็นประเทศ เช่น ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่จำกัดที่ประเทศใดปะเทศหนึ่งแต่กลับส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปยังประเทศต่างๆอย่างไร้พรมแดน จนไม่มีประเทศใดที่อยู่โดเดี่ยวตามลำพังได้ในกระแสโลกาภิวัฒน์ ความสัมพันธ์ทางสังคมไม่สามารถจำกัดอยู่ในขอบเขตของประเทศใดประเทศหนึ่งได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ตามโลกาถิวัฒน์ก็ทำให้เห็นชุมชนชายขอบที่มีกระจายอยู่ทั่วโลกซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมที่ท้าทายแนวคิดความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกของชาวตะวันตกโลกาภิวัฒน์เริ่มมีอิทธิพลต่องานสังคมศาสตร์ในประเทศไทย กรณีแรงงานต่างด้าวอพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทย เมื่อเจ็บป่วย หรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน นักสังคมศาสตร์ในโรงพยาบาล หรือเจ้าพนักงานคุ้มครองเด็กต้องเข้าช่วยเหลือ (กรณีต่างด้าวที่เป็นเด็ก ถูกคุ้มครองด้วยอนุสัญญาสิทธิเด็กและพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก) ต่างด้าวที่เพิ่มมากขึ้น
นักสังคมสงเคราะห์ต้องมีวิธีการทำงานที่เหมาะสมกับจำนวนผู้ใช้บริการ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน รวมทั้งอุปสรรคด้านภาษาการสื่อสารลักษณะสำคัญของยุคโลกาภิวัฒน์ คือ ความสำคัญของข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลข่าวสาร ผลิตและทำให้สังคมไร้พรมแดนด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำให้มีการส่งข้อมูล ความรู้ ต่างๆถึงกันได้ทันที มีเครือข่ายสังคมมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่องานสังคมสงเคราะห์ในแง่แหล่งทรัพยากรมิได้จำกัดภายในประเทศ หรือองค์กรแต่สามารถเสาะแสวงหาทรัพยากรได้ทั่วโลกเช่นกัน แต่ผู้ที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ จึงยังมีเฉพาะบางกลุ่มหรือชนชั้นกลางขึ้นไปแต่คนยากจนไกลความเจริญก็ยังไม่ได้รับประโยชน์ สังคมหลังสมัยใหม่เป็นสังคมแห่งความเสี่ยง “Risk society” ชีวิตของเราเผชิญอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงของโลกที่เราควบคุมไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง อ่อนแอ นักสังคมศาสตร์จะต้องหาวิธีการทำงานหรือกลไกลใหม่ในการทำงานท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ช่วยบอก เกี่ยวกับ
สังคมหลังอุตสาหกรรม ในทุกๆด้านอก