เมื่อสงสัยในพระพุทธศาสนาท่านสอนให้หาคำตอบด้วยการปฏิบัติ เมื่อผมสงสัยว่าพระพุทธองค์อาจเป็นเพียงคนธรรมดามิใช่ศาสดาเอกของสามโลกดังที่เคยเชื่อถือ ดังนั้นผมจึงเริ่มมุ่งมั่นค้นหาคำตอบด้วยการนั่งสมาธิ
เริ่มต้นก็ใช้วิธีกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าภาวนา " พุทธ " หายใจออกภาวนา " โธ” แต่ลองพักใหญ่ไม่ได้ผล ไม่เกิดสมาธิ ก็หันไปหัดทำสมาธิตามบันทึกปฏิบัติธรรมของท่านพุทธทาสสมัยวัยหนุ่ม ซึ่งเขียนด้วยลายมือ(จำชื่อหนังสือไม่ได้)แต่ลองทำตามได้สักครึ่งเดือนไม่ถึงครึ่งเล่มก็ต้องเลิกเพราะไม่ตรงจริต
นั่งภาวนายุบหนอ-พองหนอก็ยาวไป พยายามทำอย่างกระท่อนกระแท่นได้พักเดียวก็เลิกอีก ส่วนแนวทางของธรรมกายที่ให้สร้างดวงแก้วภายในตนก็ไม่ได้ผล ไม่เกิดดวงแก้วใดๆทั้งสิ้น อันนี้สันนิษฐานว่าเพราะนิสัยส่วนตัวที่แหยงขยาดกลัวว่าตัวเองจะหลงเชื่ออะไรที่สร้างขึ้นมาเอง เรียกว่าเป็นโรคหวาดระแวงว่าตัวเองจะหลอกตัวเองแบบขึ้นสมอง ดังนั้นสมาธิแนวเพ่งรูปนิมิตนี่จึงใช้ไม่ได้ผลอีกไม่เกิดสมาธิ
หลังจากนั้นก็หันกลับมาใช้แนวทางนั่งกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาพุทธ-โธ อันนี้ก็ไม่เกิดสมาธิแต่ประการใด เพียงแต่ทำได้ง่ายกว่าบรรดาวิธีต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา(สำหรับผมเอง) นั่งสมาธิคราวใดก็สะกดข่มความทุรนทุราย ทนหลังขดหลังแข็งปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง บ้าถึงขนาดที่คิดไปว่า ก็ในพระไตรปิฏกมีกล่าวถึงปาฏิหารย์มากมายอย่ากระนั้นเลยเราตั้งจิตอฐิษฐานมั่งดีกว่าว่า ถ้าพระพุทธองค์และพระอรหันต์ต่างๆ ทรงอิทธิฤทธิ์เช่นนั้นจริง ก็ขอให้มีปรากฏการณ์พิเศษเล็กๆ สักอย่างเถิดเพื่อยืนยันความมีอยู่จริง เราจะได้กลับมาเชื่อ กลับมาศรัทธา แล้วก็ทนๆ ๆ นั่งสมาธิแบบเครียด อึดอัด ทรมาน อยู่อย่างนั้นทุกๆ วัน เช้าบ้าง เย็นบ้าง ตามโอกาส อดทนทำแบบนั้นอยู่สองสามเดือน แต่ไม่มีเกิดอะไรขึ้นนอกจากความรู้สึกอยากจะเป็นบ้า
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองขณะที่รู้สึกทุรนทุรายมากขึ้นทุกทีและเริ่มกลัวตัวเองจิตหลุดโลกขึ้นมาจริงๆ ก็มีครั้งหนึ่งผ่อนคลายตัวเอง-หยุดคิดเรื่องว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี แล้วรู้สึกสบาย เลยเป็นที่มาของ การนั่งสมาธิแบบผ่อนคลาย ซึ่งก็เหมือนนั่งสมาธิทั่วไป เพียงแต่เมื่อรู้สึกว่าเกร็งเครียดตรงไหนก็ทำความรู้สึกผ่อนคลายตรงนั้น เช่นเกร็งกล้ามเนื้อท้องเริ่มอึดอัดก็สูดลมหายใจลึกๆ แล้วทำความรู้สึกผ่อนคลายความเกร็งนั้นตอนหายใจออก รู้สึกขัดหลังอึดอัดหลังงอไปหน่อยนะ ก็ยืดหลังตรงตอนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วทำความรู้สึกผ่อนคลายหลังตอนหายใจออก รู้สึกอึดอัดที่หน้าอกร้อนรุมในหน้าอกก็หายใจเข้าลึกๆ พอหายใจออกก็ทำความรู้สึกผ่อนคลายที่หน้าอก ตึงๆ ที่ท้ายทอยก็ทำความผ่อนคลายที่ท้ายทอย ไล่จัดการความรู้สึกแบบนี้ไปทั่วร่างกายรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น ก็วนทำไปเรื่อยๆ ไล่สำรวจตลอดทั้งตัวไปมา ทีนี้เริ่มนั่งสมาธิได้แบบมีความสุขไม่ทุรนทุราย จากนั้นก็เลิกการนั่งภาวนา พุทธ-โธ หันมาทำสมาธิแบบผ่อนคลายเพียงอย่างเดียว เพราะทำให้นั่งสมาธิได้นานขึ้น มีความสุขมากขึ้น ไม่ทุรนทุราย แต่ความสงสัยเรื่องราวของพระพุทธองค์ยังคงค้างคาใจ
เมื่อกำหนดบวชใกล้เข้ามา ผมก็หันเหความสนใจไปจดจ่อเรื่องการท่องหนังสือสวดมนต์และ “ขานนาค” แข่งกับเพื่อนๆ แทนการทุ่มเทนั่งสมาธิ ความคิดช่วงนี้เริ่มไม่ค่อยฟุ้งซ่าน แต่ลึกๆ เอนเอียงเชื่อแนวคิดตัวเองที่ว่า พระพุทธองค์เป็นบุคคลธรรมดาเพียงแต่พระองค์ท่านฉลาดมากๆ เท่านั้นเอง
ความเชื่อทางศาสนาในช่วงนั้นถ้า เอามาเปลี่ยนเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะได้ประมาณ
พระพุทธองค์เป็นบุคคลธรรมดา 50 – 60 เปอร์เซ็นต์
รู้สึกกลัวบาป 30 – 40 เปอร์เซ็นต์
พระพุทธองค์เป็นพระบรมศาสดาเอก 10 เปอร์เซ็นต์
ตอนนั้นหวาดอยู่ว่าถ้ามีความลังเลสงสัยในพระศาสนาแล้วบวชเป็นภิกษุจะบาปมากไหมนะ แต่ว่าก็แค่สงสัย กำหนดวัน เตรียมงาน แจกการ์ดไปแล้ว บาปไม่บาปก็ต้องบวชกันละงานนี้
ไม่มีความเห็น