เด็กชายอ้วนกับขนมหวาน งานเขียนสำหรับเด็กเล็ก


นิทานเด็กดี

เด็กชายอ้วนกับขนมหวาน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง มีเด็กชายอ้วนคนหนึ่งชื่อว่าดช.เอส เด็กชายคนนี้ชอบทานขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะยามตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก่อนอาบน้ำ อยู่ที่โรงเรียน กลับมาจากโรงเรียน ก่อนเข้านอน เขาก็จะทานแต่ขนมหวานที่แอบซุกซ่อนไว้ เมื่อแม่เรียกเขามาทานข้าวทุกครั้ง ดช.เอสแทบจะไม่กินอะไรเลย เขากินนมเพียงครึ่งแก้วเล็กๆเป็นอาหารเช้าทั้งที่อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ และดช.ไม่เคยกินข้าวเกิน 3 คำในตอนกลางวันและเย็น แม่ของดช.เอสหาสาเหตุที่เขาไม่กินข้าวไม่ได้และไม่รู้ว่าทำไมทั้งๆที่เขาแทบไม่กินอะไรเลยแต่เขาก็ยังอ้วนกว่าเด็กคนอื่นๆ และการที่เขาอ้วนทำให้เขากลายเป็นเด็กที่อ่อนแอมากที่สุด เขามักจะนอนป่วยอยู่กับบ้านและไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 2 วันเท่านั้น คือวันจันทร์กับอังคาร พอถึงวันพุธดช.เอสก็จะป่วยอย่างหนัก

ย้อนกลับไปวันที่ดช.เอสไปโรงเรียนวันแรก วันนั้นเป็นวันจันทร์ เป็นที่รู้กันดีว่าเด็กตัวเล็กๆเมื่อไปโรงเรียนจะรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งใหม่ที่ไม่สมควรกลัวเลย ครู เพื่อน สภาพโรงเรียนที่เป็นตึกใหญ่ทำให้เด็กชายตัวเล็กๆยิ่งดูตัวเล็กลงไปจนเกือบจะติดดิน ดช.เอสก็เช่นกัน ก่อนมาถึงที่โรงเรียนเด็กชายตัดสินใจว่าจะนำขนมหวานติดตัวมาเข้าเรียนด้วย เขาซุกมันไว้ในกระเป๋านักเรียนใบใหม่หนังสีดำ เด็กชายพูดกับขนมหวานว่า “เจ้าขนมหวาน ฉันจะเอาเธอไปโรงเรียนกับฉันนะ ฉันจะได้นั่งกินเธอทั้งวัน ฉันจะเอาเธอแอบไว้ในกระเป๋านักเรียนและใต้โต๊ะเรียนของฉัน ฮ่าฮ่าฮ่า” เด็กชายหัวเราะอย่างมีความสุขแต่เจ้าช็อกโกแลตของเขาไม่อยากไปโรงเรียนกับเด็กชายจึงได้ตอบเด็กชายเอสไปว่า “ฉันไม่อยากไปโรงเรียนกับเธอ ฉันจะต้องไปสร้างความวุ่นวายที่นั่นแน่ๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันไม่รับผิดชอบด้วยนะ ฉันเตือนเธอแล้วน่ะ”

และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นที่เจ้าช็อกโกแลตว่าจริงๆ สัปดาห์แรกที่เด็กชายเอสไปโรงเรียนเขาไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเขามัวแต่ห่วงกินขนม เขากลัวว่าเพื่อนจะมาแย่งขนมหวานของเขาไป เขาจึงไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนในช่วงพักกลางวัน และไม่ยอมกินข้าวกลางวันที่โรงเรียนจัดไว้ให้ เขากินแต่ขนมแทนอาหารมื้อกลางวัน เขาซ้อนมันไว้ใต้โต๊ะเรียนของเขาจริงๆและเขาก็นั่งโต๊ะหลังสุดของห้อง จึงไม่มีใครสังเกตเห็น

ช็อกโกแลตเห็นท่าไม่ดีจึงพูดว่า “เด็กชายเอสทำไมไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนบ้างล่ะ เพื่อนๆอยากเล่นกับเธอนะ” เด็กชายตอบว่า “ไม่หรอก เดี๋ยวพวกเขามาแย่งเธอไปกิน เพื่อนๆไม่อยากเล่นกับฉันจริงๆหรอก เขาอยากเห็นชั้นตอนที่วิ่งไม่ไหวแล้วก็ล้มลง แล้วก็จะล้อฉันว่า เจ้าอ้วน เจ้าเด็กอ้วนน่ะซิ” ช็อกโกแลต พูดสวนขึ้นทันทีว่า “ก็เธออ้วนจริงๆนิ เธออ้วนมากกว่าทุกคนในห้องซะอีก ถ้าเธอไม่ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ไม่ออกกำลังกายวันหนึ่งเธอจะต้องตัวพองโตเหมือนลูกโป่งแล้วก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นตัวเธอก็จะแตกและล่วงหล่นลงมาดังตุ๊บ แอ๊ะ”

เด็กชายเอสรู้สึกกลัวที่ขนมหวานพูด แต่ก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่อ้วนขนาดตัวพองโต ลอยขึ้นฟ้า และแตกตกลงมา อย่างที่ช็อกโกแลตว่า เด็กชายคิดว่าช็อกโกแลตโกหกและรู้สึกโกรธมากจึงขว้างเจ้าช็อกโกแลตทิ้งไปโดยไม่สนใจหันไปมองมันอีกเลย

เจ้าช็อกโกแลตถูกขว้างไปตกที่ประตูทางเข้าห้องเรียนพอดี เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณครูประจำชั้นของเด็กๆที่กำลังเดินเข้ามา ด้วยความเหนียวและหนึบหนับของช็อกโกแลต ทำให้คุณครูลื่นไถลไปชนกับโต๊ะนักเรียน โต๊ะนักเรียนจึงล้มระเนระนาดไปตามแรงไถลของคุณครูประจำชั้น โต๊ะแถวที่ 1 ล้มไปโดนแถวที่ 2 โต๊ะแถวที่ 2 ล้มไปโดนแถวที่ 3  โต๊ะแถวที่ 3 ล้มไปโดนแถวที่ 4 ล้มโดนกันไปโดนกันมาจนหมดห้อง เด็กนักเรียนทั้งชั้นจึงล้มกลิ้งไปมาเหมือนกับมีใครสักคนกำลังโยนโบวลิ่ง ครูประจำชั้นเป็นลูกโบวลิ่งและเด็กๆเป็นพินโบว์ ทั้งโต๊ะและนักเรียนล้มระเนระนาดจนทุกคนได้แผลฟกช้ำดำเขียวต้องปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ ยกเว้นแต่เด็กชายเอสคนเดียวเพราะเขานั่งอยู่ท้ายสุดตรงมุมห้องพอดี เด็กชายรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้ขอโทษและไม่กล้ายอมรับผิด เมื่อคุณครูประจำชั้นถามว่าใครเป็นคนแอบเอาช็อกโกแลตมากินในห้องจนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในครั้งนี้

วันต่อมาเป็นวันอังคาร ก่อนออกจากบ้านเจ้าทอฟฟี่ได้ทักเด็กชายว่า “เอสเธอยังจะเอาพวกเราไปโรงเรียนกับเธอด้วยอีกเหรอ เมื่อวานยังไม่เข็ดใช่ไหม” เด็กชายตอบทันควันว่า “ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย ดีเสียอีกคนอื่นเจ็บตัวกันหมดจะได้ไม่ต้องเรียน” เด็กชายจึงไปโรงเรียนพร้อมกับเจ้าทอฟฟี่และหมากฝรั่ง ไม่มีเจ้าช็อกโกแลตเพราะเขาปามันทิ้งไปจนหมด

วันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี แต่ว่ามันก็มีเรื่องเกิดขึ้นอีกจนได้ ในขณะที่เด็กชายเอส ลุกออกจากห้องเรียนไปเข้าห้องน้ำ เด็กชายก็ไม่ลืมที่จะติดเจ้าทอฟฟี่ไปด้วย เขาเอาเจ้าทอฟฟี่ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างจนตุ๋งกระเป๋า ในระหว่างที่เข้าห้องน้ำ เขาได้เผลอทำมันหกออกจากกางเกง เจ้าทอฟฟี่กลิ้งไปมาบนพื้น ไปอุดท่อน้ำในห้องน้ำทุกท่อ เด็กชายเก็บทอฟฟี่ไม่ทันจึงต้องยอมทิ้งมันไปด้วยความเสียดาย แล้วกลับเข้ามานั่งเรียน

ผ่านไปไม่นานนัก ขณะที่เด็กชายกำลังเรียนอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น เด็กหญิงที่นั่งหน้าชั้นก็กรีดร้องด้วยเสียงอันดังว่า “ช่วยด้วย น้ำท่วม น้ำท่วมโรงเรียน แสดงว่าน้ำต้องกำลังจะท่วมโลกจริงๆแน่ๆ” เด็กชายได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก ทุกคนในห้องต่างพากันวิ่งหนีน้ำและวิ่งออกไปที่หน้าโรงเรียน ปรากฎว่าน้ำไม่ได้กำลังจะท่วมโลก แต่น้ำท่วมโรงเรียนเพราะท่อน้ำของโรงเรียนแตกเนื่องจากมีทอฟฟี่จำนวนมากไปอุดทางเดินของน้ำไว้จนน้ำไหลไม่ได้ดันท่อน้ำให้แตกออกมานั่นเอง และวันนี้เด็กๆในโรงเรียนจึงไม่ได้เรียนหนังสือกันอีกตามเคย เด็กชายเอสดีใจมาก

วันรุ่งขึ้นเป็นวันพุธ เด็กชายนอนป่วยอยู่กับบ้าน ไม่มีแรง แม้แต่จะหยิบขนมหวาน เขาต้องเปิดช่องเก็บทอฟฟี่สำรองที่เขาแอบทำไว้ที่หัวเตียงเมื่อเปิดช่องนี้แล้วทอฟฟี่ที่ซ่อนอยู่ก็จะไหลลงมาโดยอัตโนมัติแล้วเด็กชายก็จะใช้ปากของเขารองรับไว้แล้วบรรจงเคี้ยวเจ้าทอฟฟี่อย่างมีความสุข

เด็กชายไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงป่วย นอนซมตลอดวันพุธจนถึงวันศุกร์ แต่พวกเรารู้ สาเหตุที่เด็กชายเริ่มป่วยทุกวันพุธเป็นเพราะว่าในวันเสาร์กับอาทิตย์ จะเป็นวันที่พ่อแม่ของเด็กชายอยู่บ้าน พวกเขาจะไปซื้อขนมหวานต่างๆ เช่นพวก ช็อกโกแลต ทอฟฟี่ และหมากฝรั่ง มาเก็บเอาไว้เพื่อให้กับเด็กๆเป็นของขวัญเวลาที่เด็กๆตั้งใจเรียนหรือปฏิบัติตามคำสั่งโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทุกวันจันทร์เด็กชายจะแอบไปขโมยขนมหวานมาตุนไว้ที่ห้องทีละมากๆ พ่อแม่ไม่ทันสังเกตว่าขนมของเขาหายไปทุกวันจันทร์และอังคารเพราะในวันเสาร์อาทิตย์พวกเขาอยู่บ้าน เด็กชายจึงไม่มีโอกาสเข้าไปเอาขนม แต่ในวันจันทร์อังคารพ่อแม่พากันยุ่งกับการเตรียมตัวไปทำงานจนไม่ทันสังเกตว่าขนมหวานหายไป เด็กชายกินขนมหวานเข้าไปเยอะในวันจันทร์อังคารและทำให้เขาป่วยไปจนถึงวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่เขากินขนมหมดพอดี

เจ้าขนมหวานได้สร้างความวุ่นวายให้กับโรงเรียนของเด็กชายเอสอย่างไม่ทราบสาเหตุและเป็นอย่างนั้นในทุกวันจันทร์กับวันอังคารเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ครั้งหนึ่งที่เด็กชายได้ทิ้งเปลือกลูกอมเรี่ยราดจนปลิวไปตกอยู่ที่โต๊ะของครูใหญ่ในห้องพักครู เปลือกลูกอมได้ไปติดอยู่ที่จมูกของครูใหญ่ในขณะที่ครูใหญ่กำลังนั่งงีบหลับอยู่ที่โต๊ะ เจ้ามดที่ชอบกินน้ำตาลไต่ขึ้นมาตามกลิ่นของหวานแล้วคิดว่าจมูกครูใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลจากลูกอมนั้นเป็นลูกอมจริงๆ มดทั้งรังจึงพากันกัดจมูกครูใหญ่ จนจมูกครูใหญ่บวมเป่งเหมือนกับใครเอาเจ้าก้อนสีแดงกลมๆที่ตัวตลกชอบเอามาติดไว้ที่จมูกมาติดไว้ที่จมูกครูใหญ่ หรืออย่างตอนที่คุณครูประจำวิชาคณิตศาสตร์กำลังตรวจข้อสอบของเด็กๆก็พบว่ามีช็อกโกแลต หมากฝรั่ง และน้ำตาลติดเต็มกระดาษข้อสอบไปหมดจนครูแทบจะมองไม่เห็นตัวเลขที่เด็กๆตอบและทำให้ต้องสอบกันใหม่หมดทั้งชั้น ส่วนสาเหตุนั้นก็เพราะน้ำตาลเหล่านั้นติดมากับข้อสอบของเด็กชายเอสนั่นเอง เจ้าน้ำตาลเยิ้มติดข้อสอบของเพื่อนทุกคน คุณครูไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่พวกเรารู้แน่นอน หรืออย่างตอนที่เรียนวิชาศิลปะ เด็กชายเอสก็เผลอเอาช็อกโกแลตเหลวเทลงไปในจานสีแทนสีจริงๆ ทำให้ภาพระบายสีของเด็กชายเอสดูเลอะเทอะไปหมดและสีช็อกโกแลตยังกระเด็นเลอะติดเสื้อของเด็กชายและกระเด็นออกไปเลอะเสื้อของเพื่อนคนอื่นๆทั่วทั้งห้อง จนคุณครูต้องให้นักเรียนทั้งชั้นไปอาบน้ำใหม่กันหมด ไม่เว้นแต่วิชาว่ายน้ำที่เด็กชายเอสชอบ หลังจากที่เด็กชายเอสลงไปในสระว่ายน้ำก็ปรากฎว่าวันต่อมาน้ำในสระว่ายน้ำเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นจนไม่สามารถลงไปเล่นได้อีก โรงเรียนต้องปิดสระและจ้างช่างมาจัดการเปลี่ยนน้ำกันเป็นการใหญ่จนต้องเสียค่าน้ำไปหลายบาทและเด็กๆก็อดเล่นน้ำเป็นเวลาหลายสัปดาห์ สาเหตุก็เช่นเคย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กชายเอสแอบเอาขนมหวานพกติดไปกับกางเกงในว่ายน้ำแล้วลงไปว่ายน้ำในสระ การที่มีเศษขนมหวานลงไปในสระว่ายน้ำทำให้น้ำเน่าเสียนั่นเอง

และเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ก็ดำเนินต่อไปจนจบเทอม เมื่อผลสอบออกมา ปรากฏว่าเด็กชายเอสสอบได้เกรด 1 เต็ม 4 เกือบทุกวิชาและที่จริงบางวิชาแทบไม่มีคะแนนเลยด้วยแต่ครูเห็นว่าเป็นเทอมแรกจึงไม่ให้ 0 เมื่อเกรดออกมาแบบนี้พ่อแม่จึงตัดสินใจไม่ซื้อขนมหวานมาเก็บไว้ที่บ้านอีก เพราะเกรดของเด็กชายเอสทำให้พ่อแม่ไม่ต้องการให้ของขวัญแก่เด็กชายไปอีกหลายเดือน

เมื่อขนมหายากขึ้น เด็กชายจึงต้องลดจำนวนขนมที่กินในแต่ละวันลง เด็กชายยอมกินนมหมดแก้ว เพราะถ้าไม่กินเขาก็จะต้องหิวแน่ๆเมื่อไปถึงโรงเรียน เด็กชายยอมไปนั่งกินข้าวกลางวันกับเพื่อนๆที่โรงอาหาร เขาเริ่มมีเพื่อนมากขึ้นและเริ่มออกไปเล่น และเขาเริ่มไปโรงเรียนได้ทุกวันเพราะเขาไม่ป่วยและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโรงเรียนก็เริ่มหมดไป ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น

จนมาถึงวันหนึ่ง ในภาคการศึกษาที่สอง ทางโรงเรียนจัดงานฉลองครบรอบ 50 ปีของโรงเรียน ในวันนี้ครูอนุญาติให้นักเรียนไม่ต้องสวมชุดนักเรียน ให้แต่งตัวสวยหล่อกันมาได้ และนำขนมมาโรงเรียนเพื่อมาแลกเปลี่ยนกันเป็นของขวัญ เด็กชายเอสจึงได้ขนมหวานจากพ่อแม่มาโรงเรียนอีกครั้ง และเหตุการณ์ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีก ในขณะที่เด็กชายกำลังเล่นสนุกอยู่กับเพื่อนๆ เจ้าหมากฝรั่งที่เด็กชายเอสพกมาก็ได้แอบไปเห็นบัลลูนที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้สำหรับเด็กกับคุณครูขึ้นนั่งชมวิวรอบโรงเรียน ซึ่งปกติจะต้องมีเจ้าหน้าที่บังคับบัลลูนคอยดูแลอยู่ แต่โชคร้ายที่ในขณะนั้นเป็นเวลาพักของเจ้าหน้าที่ เจ้าหมากฝรั่งอยากขึ้นบัลลูนมากจึงชวนเด็กชายเอสขึ้นบัลลูน “เราขึ้นไปเล่นบนนั้นกันเถอะ ไปลอยขึ้นฟ้ากัน” เจ้าหมากฝรั่งพูด “ไม่ได้หรอก มันอันตราย ต้องมีผู้ใหญ่ขึ้นไปด้วย” เด็กชายตอบกลับ แต่เจ้าหมากฝรั่งไม่ฟังคำของเด็กชาย เจ้าหมากฝรั่งปีนขึ้นไปบนบัลลูนทันที เด็กชายเอสไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นไปบนบัลลูนด้วยแต่กระเป๋ากางเกงของเขาติดอยู่กับเจ้าหมากฝรั่งจนแกะไม่ออก ก็เขาดันเคี้ยวมันเสร็จแล้วก็ไม่ยอมเอามันไปทิ้งในถังขยะแต่กลับทิ้งไว้ในกระเป๋ากางเกงมันก็เลยติดหนึบอยู่อย่างนี้ เจ้าหมากฝรั่งเข้าไปนั่งอยู่ในตะกร้าบันลูนแล้วก็ปล่อยเชือกบัลลูนให้ลอยขึ้นแต่เด็กชายเอสยังไม่ทันขึ้นไปถึงตะกร้า จึงห้อยต่องแต่งอยู่ข้างบัลลูนที่กำลังลอยขึ้นฟ้า เขาตกใจมากแล้วร้องตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย” แต่บัลลูนก็ขึ้นไปสูงเกินกว่าที่เด็กชายจะปล่อยมือลงมาได้ จะปีนขึ้นไปบนตะกร้าบัลลูนก็ไม่ไหว จึงได้แต่ร้องตะโกนอยู่อย่างนั้นจนคนทั้งงานพากันกรีดร้องและวิ่งวุ่นด้วยความโกลาหล แต่ก็ไม่มีใครช่วยเด็กชายได้เลย

เด็กชายเอส “เจ้าหมากฝรั่งเอาบัลลูนกลับลงไปข้างล่างเถอะ ฉันจับไม่ไหวแล้วน่ะ กำลังจะตกแล้ว” เจ้าหมากฝรั่งไม่ได้ยินเสียงเด็กชาย มันมัวแต่ชื่นชมกับวิวทิวทัศน์ในมุมสูงและไม่ทันสังเกตเห็นว่าแก๊ซที่เติมบัลลูนกำลังจะหมด ทันใดนั้นบัลลูนบินต่ำลง ต่ำลง บัลลูนกำลังจะชนอาคารเรียนแล้ว เด็กชายเอสแย่แน่ๆ เด็กชายร้อง “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยด้วย ลูกจะไม่เอาขนมหวานมาโรงเรียนอีกแล้ว ฮือ ฮือ ฮือ” สิ้นเสียงเด็กชายบัลลูนก็ล่วงลงสู่พื้นดังตุ๊บ แต่โชคดีที่มันดันไปตกค้างอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนเสียก่อน เด็กชายเอสจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเจ้าช็อกโกแลตที่อยู่ในกระเป๋าของเด็กชายอีกข้างหนึ่งก็โผล่ออกมาแล้วบอกกับเด็กชายว่า “เป็นไงล่ะ ฉันเคยเตือนเธอว่าเด็กที่กินขนมหวานมากๆวันหนึ่งจะตัวพองโต ลอยขึ้นฟ้า แล้วแตกโผล๊ะตกลงมาอย่างนี้ และขนมหวานจะสร้างความวุ่นวายที่โรงเรียน เป็นไงล่ะ ฉันเตือนเธอ แล้วน่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สิ้นเสียงเจ้าช็อกโกแลตเด็กชายก็เป็นลมหมดสติไป เพื่อนๆและคุณครูพากันนำตัวเด็กส่งโรงพยาบาล

เด็กชายค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล และรอบตัวของเขาห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนๆและคุณครูที่มาเฝ้าดูอาการของเขา เขารู้สึกดีใจมากและไม่คิดว่าเพื่อนๆและคุณครูของเขาจะเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ขาข้างซ้ายหักต้องนอนเข้าเฝือก เขาให้ทุกคนเขียนคำอวยพรที่เฝือกสีขาวของเขา เฝือกของเขาสวยกว่าใครๆเพราะมีแต่ภาพการ์ตูนน่ารักน่ารักที่เพื่อนๆและคุณครูช่วยกันวาดให้ เขาต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิดเพราะมีเพื่อนๆมาอยู่ด้วยตลอดเวลา ดูโทรทัศน์ด้วยกัน เล่นเกม เล่านิทาน ป้อนข้าว อ่านหนังสือ เขาลืมขนมหวานไปเสียสนิท จนวันหนึ่งมีผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกระเช้าเยี่ยมไข้ที่เต็มไปด้วยขนมหวาน ทันทีที่เขาเห็นกระเช้านั้น เขาก็ตกใจกลัวกระเช้าขนมหวานขึ้นมาทันที เขากระโจนลงจากเตียง ลืมว่าตัวเองกำลังเจ็บขาไปเสียสนิท แล้วร้องตระโกนว่า “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ผมจะไม่เอาขนมหวานไปโรงเรียนอีกแล้ว มันทำให้ผมป่วยและเข้าโรงพยาบาล ไม่เอาแล้วจริงๆ โอ้ย เจ็บขา” เด็กชายเริ่มรู้ตัว แล้วก็ซุดนั่งลงกับพื้นร้องโอดโอย เพื่อนๆและคุณครูพากันหัวเราะเด็กชายเอสที่กลัวขนมหวานจนลนลานเช่นนั้น  

-----------------------------------------------------------------------------Happy Ending & Happy In your school

หมายเลขบันทึก: 239705เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2009 21:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 15:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท