อรุณี ผู้ถูกละเลยโดยไม่ตั้งใจ
หลายครั้งแล้วที่ อรุณี ต้องถูกส่งมาโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้อง เนื่องจากการพยายามฆ่าตัวตายโดยการกินยาฆ่าแมลง พี่พรรณีหัวหน้าตึกยังจำได้ว่า ครั้งแรก อรุณี ดื่มแลนเนทมาค่อนข้างมาก ดีแต่ว่า ญาตินำส่งรพ.ได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนที่รพ.ต้องพยายามล้างท้องเธอค่อนคืน ท่ามกลางความไม่พร้อมของการปฏิบัติงานยามค่ำคืนที่ห้องฉุกเฉิน แต่เธอจึงรอดชีวิตได้อย่างปาฎิหารย์ กรณีของอรุณี ก็ได้รับการนำไปทบทวนกระบวนการคุณภาพจากทีมดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะประเด็นความพร้อมของห้องฉุกเฉิน อย่างเต็มที่
แต่แล้ว เกือบทุกเดือน อรุณีก็กลายเป็นขาประจำของห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ถ้าไม่กินยานอนหลับทีละมากๆ ก็ดื่มยาแลนเนท หรือพยายามทำร้ายตัวเองด้วยสารพัดวิธี แต่ทั้งญาติและเจ้าหน้าที่รพ.ก็เริ่มรู้สึกว่า อรุณีทำไป เพื่อเรียกร้องความสนใจมากกว่าที่ จะอยากตายจริง
“ไม่เป็นอะไรมากนะ อรุณี คราวนี้กลืนแลนเนทลงท้องนิดเดียวใช่ไหม คงไม่ต้องล้างท้องมากเหมือนทุกทีนะ นอนรพ.สักคืนเดียวพรุ่งนี้ก็กลับได้อย่างทุกทีนั่นแหละ” พี่พยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน บอกกับอรุณีและญาติที่มาส่ง ท่ามกลางความรู้สึกเบื่อหน่ายของทุกๆคน การให้บริการกับอรุณีเดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นปัญหาของห้องฉุกเฉินและตึกผู้ป่วยในอีกแล้ว
แม้พยาบาลและแพทย์ที่ให้การดูแลอรุณี จะเห็นแววตาที่หม่นหมองของอรุณี แต่ทุกสิ่งที่สัมผัสได้ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องแสนธรรมดาของผู้ป่วยที่มารับบริการซึ่งบุคลากรทุกคนรู้เห็นเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติ อรุณีก็จะถูกส่งจากห้องฉุกเฉิน ไปนอนที่หอผู้ป่วยใน มีพยาบาลให้คำปรึกษาไปคุยด้วยเกือบทุกครั้ง ทุกครั้งก็จะได้รับข้อมูลว่า อรุณี มีความคิดน้อยใจว่า พ่อของเธอไม่รักเธอ ขออะไรก็ไม่เคยได้ อยากได้อะไรก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ยิ่งไม่ได้เธอก็ยิ่งประชดด้วยการขอนั่นขอนี่และลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองแทบจะทุกครั้ง พยาบาลให้คำปรึกษาได้แต่ระบุปัญหาว่าสาเหตุของการทำร้ายตนเองคือ “ปัญหาภายในครอบครัว” “กระทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ มิได้พยายามฆ่าตัวตายจริง” บันทึกสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแก่ผู้ป่วยคือ “การให้คำปรึกษา” (เหมือนทุกครั้ง??) “แจ้งญาติให้ความเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วย ระมัดระวังจัดเก็บยาและสิ่งของที่เป็นอันตรายให้พ้นมือและการเข้าถึงของผู้ป่วย” ซึ่งก็เป็นบันทึกเดิมๆที่ทีมดูแลผู้ป่วยจะเห็นอยู่ทุกๆครั้ง และไม่มีใครให้ความสนใจมากไปกว่าการบันทึกการปฏิบัติงานตามหน้าที่
“รายงานแพทย์เวร ผู้ป่วยดื่มกรัมมอกโซน ปริมาณประมาณครึ่งแก้ว ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนถูกนำส่งรพ. ผู้ป่วย รู้สึกตัวพอพูดคุยรู้เรื่อง สัญญาณชีพปกติ หายใจไม่สะดวก และมีแผลไหม้ในปากและคอค่อนข้างมาก ได้ให้สารน้ำทางหลอดเลือดไว้แล้ว ........” วันนี้ห้องฉุกเฉินวุ่นวายกว่าทุกวัน แต่ก็ไม่เกินความสามารถของทีมงานที่มีความพร้อมมากพออยู่แล้ว ลึกๆในใจของทุกคนก็รู้สึกดีว่า แม้อรุณีจะรอดจากห้องฉุกเฉินในวันนี้ได้ แต่การดื่มสารพิษร้ายแรงชนิดนี้คงทำให้อรุณีต้องเสียชีวิตจากอวัยวะภายในล้มเหลวในที่สุดในเวลาไม่กี่วันข้างหน้า
“ พี่ช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากตาย....พ่อจ๋า..หนูขอโทษ หนูรักพ่อ... ” เสียงเพ้อแผ่วเบา ที่เปล่งออกจากปากอย่างยากเย็นจากอรุณี ซึ่งสติและความรับรู้กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็ว ทำให้พยาบาลหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เมื่อเข้ามาให้การดูแล ในใจอยากให้อรุณีอาการดีขึ้นทั้งๆที่ต่างก็รู้ว่าช่างเป็นความหวังที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับอรุณี ในขณะที่อีกหลายคนนึกตำหนิพ่อของอรุณีอยู่ลึกๆที่ไม่เข้าใจความรู้สึกและการกระทำประชดประชันของลูกสาวหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความรักจากพ่อ จนนำพาสู่เหตุการณ์ที่น่าเศร้าที่กำลังจะถึงวาระสุดท้ายในครั้งนี้
“ ไม่มีใครไม่รักลูกตัวเองหรอกครับคุณหมอ ครอบครัวเรากำลังลำบากเหลือเกินครับ เรามีหนี้สินจากกิจการที่ล้มละลายมากมาย ผมไม่สามารถให้สิ่งที่ลูกสาวร้องขอครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่กล้าบอกกับลูกว่า ทำไมแกจึงไม่ได้สิ่งที่อยากได้ ทุกวันนี้ผมต้องทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้ครอบครัวมีอาหารกินในแต่ละวัน แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกถึงเรียกร้องมากขึ้นทุกวันและต้องทำร้ายตัวเอง ผมเสียใจมากครับที่ไม่ทราบเลยว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ เป็นเหมือนคนไม่รักลูก จนมองข้ามความใส่ใจต่อความรู้สึกของลูก จนต้องเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ” พ่อของอรุณีสารภาพด้วยน้ำตาคลอ กับคุณหมอและทีมงานที่มาแจ้งถึงอาการระยะสุดท้ายและโอกาสรอดที่ริบหรี่ของอรุณี
ในวันรุ่งขึ้น อรุณีก็จากไป แต่ความค้างคาใจยังคงวนเวียนอยู่ในใจของทีมดูแลผู้ป่วยทุกคน จนต้องหยิบยกเรื่องนี้มาทบทวนกันอีกครั้ง
“ เราคงพลาดอะไรไปเยอะเลยครับในกรณีของอรุณี ” คุณหมอเริ่มเปิดประเด็น “ เรามัวแต่คิดว่าเราเอาปัญหาการดูแลที่ห้องฉุกเฉินเพื่อการปรับปรุงความพร้อมของการให้บริการฉุกเฉินจนได้คุณภาพแล้ว แถมเราก็คุยกันค่อนข้างมากกับการบริการที่หอผู้ป่วยในในเวลาที่ผ่านมา ”
“ แต่เราก็มีความพร้อมในห้องฉุกเฉินแล้วจริงๆนี่คะ แม้แต่กรณีที่ช่วยเหลืออรุณีครั้งสุดท้าย ทุกอย่างก็สมบูรณ์นี่คะ ” พยาบาลห้องฉุกเฉินให้ความเห็น
“ หนูเห็นด้วยนะคะ เพราะหลังอรุณีเสียชีวิต กลุ่มพยาบาลได้ทบทวนการบริการทางการพยาบาลทั้งที่ห้องฉุกเฉินและที่หอผู้ป่วยใน ก็ไม่พบปัญหาความเสี่ยงของการให้บริการเลยนี่คะ ” น้องพยาบาลหอผู้ป่วยในให้ความเห็นเพิ่มเติม
“ พี่ว่า คุณหมอคงไม่ได้คิดประเด็นนั้นนะคะ ” พี่หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลรีบตัดบท และให้ความเห็น เมื่อเห็นสีหน้าของน้องๆไม่สู้ดีนัก
“ ใช่ครับพี่ ผมไม่ได้เจตนาจะว่าน้องที่ห้องฉุกเฉินหรือหอผู้ป่วยว่าทำอะไรบกพร่อง แต่ ผมคิดทบทวนการทำงานของพวกเราในภาพรวมว่า ทุกวันนี้เราให้ความสำคัญกับ ประเด็นความเสี่ยง และความปลอดภัยของผู้ป่วยที่มารับบริการอย่างดีมากขึ้นมาก แต่ในความเห็นของผมเอง ผมรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำยังตอบคำถามการบริการแบบที่เราเรียกกันว่า ‘มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง’ ไม่ได้ตรงประเด็นเท่าที่ควรครับ บางทีดูเหมือนเราให้ความสำคัญกับการทบทวนเพื่อปรับปรุงคุณภาพ คล้ายกับเพื่อความอยู่รอดของหน่วยงานและองค์กร โดยมี ความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นผลพลอยได้ ”
คุณหมอ หยุดถอนหายใจสั้นๆ คล้ายกับสารภาพอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ เรื่องอรุณี ทำให้ผมต้องมาทบทวนความรู้สึกนึกคิดของตัวเองว่า ผมรู้สึกเสมอมาว่า เราทำได้ดีครบถ้วนตามวิชาการและมาตรฐานที่ห้องฉุกเฉิน และยังดูแลเขาเต็มที่หอผู้ป่วยใน หลายต่อหลายครั้งที่อรุณีมาพึ่งพาเรา ผมเริ่มเห็นว่า เราอาจจะทำไม่ได้ดีจริงๆอย่างที่ควรทำ เราคงมองข้ามประเด็นสำคัญๆไปหลายประเด็น ”
“ เราไม่เคยให้ความสำคัญกับรากเหง้าของปัญหาของอรุณี ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่นำสู่ความน้อยเนื้อต่ำใจของอรุณี และทำให้ทำร้ายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ”
น้องพยาบาลจากหอผู้ป่วยใน ยกมือขอแสดงความคิดเห็น
“ แต่คุณหมอคะ เราจะเข้าไปจัดการปัญหาครอบครัวของผู้ป่วย ได้หรือคะ ที่ผ่านมาหนูทราบว่าพี่ฝ่ายงานจิตเวชก็พยายามให้คำปรึกษาตามขั้นตอนการทำงานทุกครั้งแล้วนี่คะ ใช่ไหมคะพี่ ” พูดพลางเหลียวไปขอความเห็นจาก พี่พยาบาลให้คำปรึกษาที่มานั่งประชุมอยู่ด้วย
“ ได้ยินคุณหมอพูดอย่างนี้แล้ว เห็นด้วยอย่างมากค่ะ ทำให้ต้องทบทวนตัวเองมากๆเลยเหมือนกัน ” พยาบาลให้คำปรึกษาแทรกขึ้นมา “ ขอสารภาพเลยค่ะว่า ตัวเองรู้สึกเบื่อเหมือนกันเมื่อ ทีมดูแลผู้ป่วยเรียกให้มาคุยกับอรุณีก่อนจำหน่ายตั้งหลายครั้ง ทีมดูแลผู้ป่วยก็ดูแลด้านอาการโรคไป หนูก็จะถูกเรียกมาทีหลังเหมือนมาทำให้ครบกระบวนการ แต่ก็พบว่าเป็นปัญหาเดิมๆวนเวียนไปมาไม่รู้จบ แถมไปคุยกับอรุณีทีไรก็ไม่เคยได้พบคุณพ่อของน้องเขา ตัวเองก็เลยพาลมีอคติต่อ คุณพ่อของอรุณี มากขึ้น แต่ในวันสุดท้ายก่อนอรุณีเสียชีวิต ได้ฟังความจริงที่คุณพ่อเขาเล่าให้พวกเราฟัง ถึงเรื่องที่เกิดจริงในครอบครัว และความไม่เข้าใจต่างๆที่เขามีต่อพฤติกรรมของลูกสาว หนูพูดไม่ออกเลยค่ะ หนูรู้สึกว่า เราเข้าไม่ถึงบริบทที่จำเป็นต้องรู้ของผู้ป่วยและครอบครัวที่จะมีผลต่อแนวทางการรักษา อีกทั้งเราทำหน้าที่ที่จะต้องทำให้คุณพ่อไม่เข้าใจเรื่องต่างๆที่เขาควรเข้าใจ ได้ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่อรุณีมาครั้งแรกๆ ”
“ ยอมรับเลยค่ะ ว่าไม่ได้พยายามมากพอจริงๆ แม้ว่าการจัดการกับปัญหาครอบครัวของผู้ป่วยจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่มานึกได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าหนูจะพยายามพูดคุยสร้างความเข้าใจกับคุณพ่อของอรุณีในสิ่งที่น้องเขาแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจ และสร้างโอกาสให้ อรุณีและคุณพ่อได้มีโอกาสปรับทุกข์ พูดความจริงต่อกัน มากกว่าสิ่งที่บอกผ่านอรุณีและญาติไปทุกครั้งซึ่งถ้าเขาทำได้อย่างที่เราแนะ อรุณีคงไม่กลับมานอนรพ.เราเกือบสิบครั้ง ”
“ ได้ยินพี่พูดอย่างนี้แล้วตาสว่างเลยค่ะ ทำงานอยู่ห้องฉุกเฉิน หนูก็เห็นแต่เหตุฉุกเฉินตลอด ทำอะไรก็เอาสถานการณ์อาการและโรคเป็นตัวตั้งตลอด แทบจะเห็นญาติเป็นเพียงคนให้ข้อมูลที่อยากรู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ” พยาบาลห้องฉุกเฉินสะท้อนความรู้สึกออกมาบ้าง
“ พวกหนูก็เหมือนกันค่ะ ” พยาบาลหอผู้ป่วยในให้ความเห็นบ้าง “ เรามีตั้งเวลาเยอะแยะมากมาย ทุกครั้งที่อรุณีมานอนป่วยที่รพ. ที่จะพูดคุยทักทาย ให้กำลังใจ เสริมพลังอำนาจให้เข้มแข็งที่จะต่อสู้กับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เรากลับลืมกันไป มัวเอาแต่ความสมบูรณ์ของหน้าที่บริการตามที่ได้รับมอบหมายในแต่ละเวร พาลไปมองว่าหน้าที่คุยให้คำปรึกษาพี่ที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษารับหน้าที่รับผิดชอบไปแล้ว ”
พี่หัวหน้าพยาบาลสังเกตเห็นบรรยากาศหม่นหมอง จึงกล่าวขึ้นว่า “ พี่เห็นด้วยมากๆเลยในสิ่งที่คุณหมอ และน้องๆสะท้อนความรู้สึกออกมา แต่น้องอย่าตำหนิตัวเองเลย เราทุกคนก็คงพลาดอะไรๆที่สำคัญสำหรับชีวิตของอรุณีไปครั้งแล้วครั้งเล่า พี่ว่าเราทุกคนละเลยการมองอรุณีอย่างที่อรุณีเป็น เพิกเฉยต่อการทำความเข้าใจปัญหาอรุณีและของครอบครัวเขาอย่างลึกซึ้งถึงจิตใจและปัญหาทั้งตัวของผู้ที่มาพึ่งพาเรา เราจึงมองเห็นแต่เพียงโรคและอาการที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า และมองข้าม ความเสี่ยงสำคัญอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่ได้ด้อยความสำคัญไปกว่า ความเสี่ยงทางกายภาพ และความเสี่ยงในการให้บริการที่เราทบทวนกันอยู่ทุกวันเลย นั่นคือ ความเสี่ยงของการที่เราละเลยต่อปัญหาในมิติองค์รวมของผู้ป่วยและครอบครัว ที่จะมีผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและญาติทั้งที่รพ.และที่บ้าน และการชักนำกลับมาป่วยซ้ำซากด้วยโรคที่เราป้องกันได้ ”
พี่พยาบาลหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า
“ ถ้าเราช่วยกันทำให้ทีมดูแลผู้ป่วย มาร่วมกันอย่างจริงจังในการทบทวนประจำวัน โดยไม่ลืมเอาที่มาที่ไปวิถีชีวิต อารมณ์ จิตใจ ของผู้ป่วย ญาติและครอบครัว มาใช้เป็นบรรทัดฐาน เพื่อการเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดในการบริการแก่ผู้ป่วยเท่าที่เราจะมีให้ได้ เราคงสามารถพูดได้ว่า ดูแลโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง อย่างแท้จริง ”
ทุกคนผงกหัว อย่างเห็นด้วย เริ่มมีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้า คุณหมอกล่าวปิดท้ายว่า
“ ครับ ผมขอบคุณทุกคนที่เสนอความคิดเห็น และพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรและสร้างสรรค์ มันช่วยเปิดโลกทัศน์ของผมอย่างมาก ว่าคนเป็นหมอก็สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับการดูแลผู้ป่วยในส่วนที่มากกว่าความรู้ทางวิชาการทางการแพทย์ได้อีกมาก ถ้าเราใช้บรรยกาศของการร่วมมอง โดยช่วยกันเอาบทเรียนที่ได้จากเรื่องของอรุณี มาใช้ในการทบทวนและพัฒนาการทำงานของทีมดูแลผู้ป่วย ให้เป็นสหสาขาวิชาชีพ ที่แท้จริง น่าจะทำให้การดูแลผู้ป่วยของพวกเราเป็นไปอย่างมีคุณภาพโดยครอบคลุมมิติองค์รวม และการเพิ่มพลังอำนาจแก่ผู้ป่วย ญาติแม้แต่พวกเรากันเอง ในอนาคตนะครับ ”
“ ค่ะคุณหมอ เราเอาด้วยค่ะ ” ทุกคนกล่าวขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน ด้วยรอยยิ้มและประกายแห่งความกระตือรือล้น
ในวันนั้น แม้การประชุมจะเริ่มต้นด้วยความเศร้า แต่ก็ลุล่วง และจบลงด้วยบรรยากาศที่คลี่คลาย ทุกคนได้มีโอกาสที่จะพิจารณาลึกลงไปถึงจิตใจความรู้สึกของตนเอง นำสู่คำสัญญาที่มีพลังอย่างหนักแน่นที่จะร่วมกัน ‘ดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม’ เพื่อการมุ่งสู่เป้าหมาย ‘การบริการที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง’ ด้วยศักยภาพของทีมสหสาขาวิชาชีพ ที่แท้จริง
อุทิศแก่อรุณีผู้จากไป บทเรียนจากน้องคงจะช่วยผู้คนได้อีกมากมายนะครับ
วราวุธ
ไม่มีความเห็น