ผู้เขียนได้เคยร่วมงานกับวิศวกรหลายท่านในฐานะเป็นคณะกรรมการชุดเดียวกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อเทคโนโลยีต่างประเทศมูลค่ามากกว่าร้อยล้านจนถึงพันกว่าล้าน…ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัย Teamwork ที่แต่ละคนเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ต่างมุมมองมาร่วมงานกันให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะจากแวดวงคนทำงานด้วยกัน มีประสบการณ์ว่าภาษาที่สื่อสารกันระหว่างคนที่จบมาคนละด้านมักจะคุยให้เข้าใจตรงกันได้ยาก….ซึ่งตลอดระยะสิบกว่าปีมานี้… ผู้เขียนก็ใช้วิธีสื่อสารทุกรูปแบบเพื่อปรับตัวให้เข้าใจกับผู้ร่วมงานที่เป็นวิศวกรทั้งหลาย…แต่ยอมรับว่ามีอยู่ท่านเดียวที่ทำให้ประทับใจมากที่สุดจากการร่วมงานที่ผ่านมา นั่นคือพี่สุวัฒน์…
ความประทับใจที่ว่านี้เกิดขึ้นเพราะพี่เขาเป็นคนยิ้มง่ายทักทายเก่ง พูดจาไพเราะ และเมื่อเวลาที่เราต้องอธิบายกฎข้อบังคับ ข้อกำหนดสัญญาต่าง ๆ พี่เขาก็พยายามเข้าใจและช่วยเหลือเรื่องข้อมูลด้านเทคนิคที่จะทำให้เราสามารถไปพิจารณาต่อในส่วนที่จะกำหนดเป็น Non Technical Specifications ได้…ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อยามมีปัญหาที่ต้องไปชี้แจงข้อกำหนดต่าง ๆ ในเอกสารประกวดราคาที่สำนักงานอัยการสูงสุด หรือกรมบัญชีกลาง พี่เขาก็ไม่เคยเกี่ยง ทั้งที่บางท่านอาจจะปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือ…
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่ได้สดับรับฟัง แต่สำหรับผู้เขียนที่ได้ผ่านประสบการณ์ร่วมกับวิศวกรมาหลากหลาย ก็มีพี่เขานี่แหละ ที่อยู่ในเรือลำเดียวกันจริง ๆ
หลัง ๆ มานี้ผู้เขียนไม่ได้เห็นพี่สุวัฒน์มาเกือบ 6 เดือนแล้ว ได้ยินข่าวเหมือนกันว่าท่านไปตรวจสุขภาพและพบว่าเป็นมะเร็งปอด …เข้า ๆ ออกๆ โรงพยาบาลหลายครั้ง…และมาวันนี้ตอนเช้าขณะที่ทำงานวิจัยอยู่ที่บ้าน ก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น…และผู้เขียนก็ได้รับทราบข่าวร้ายว่าพี่สุวัฒน์จากไปแล้วเช้าตรู่นี้เอง…จะมีการรดน้ำศพที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะเคลื่อนศพไปที่จังหวัดราชบุรีเพื่อไปจัดงานศพที่นั่น…สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกจะไปร่วมงานที่ต่างจังหวัดก็สามารถไปรดน้ำศพได้ที่โรงพยาบาลก่อนบ่ายโมง
ผู้เขียนน้ำตาซึม แฟนถามว่า “จะร้องไห้เสียใจไปทำไม” ..ผู้เขียนก็บอกว่า “อ้าว ก็คนทำงานร่วมกัน เพิ่งรู้ข่าวก็ต้องเสียใจ จากไปกระทันหันอย่างนี้” เขาก็บอกต่อว่า “รู้ได้อยู่แล้ว …ความตายเป็นสิ่งแน่นอน จากกันวันไหนก็ได้” คำพูดง่าย ๆ หากคนไม่เข้าใจ ก็คิดว่าเป็นคนไม่ใส่ใจ ไม่มีหัวใจ แต่ความจริงไม่ใช่
เมื่อผู้เขียนได้สติกลับคืนมา …ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบเดินทางไปถึงที่โรงพยาบาล ถึงที่นั่นเป็นเวลา 12.00 น. เห็นญาติและมิตรสหายมา รอรดน้ำในห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งตรงมุมห้องมีฉากกั้นอยู่ แต่ก็พอเห็นร่างที่ไร้วิญญาณของพี่สุวัฒน์…และหลังจากที่รดน้ำแล้ว ก็ได้ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อนร่วมงานของพี่สุวัฒน์ เขาบอกว่าเป็นการจากไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวจริง ๆ เมื่อเช้าที่ทำงานโทรไปคุยกับภรรยาพี่เขา และภรรยาก็ส่งโทรศัพท์จะให้พี่สุวัฒน์คุยกับเพื่อนร่วมงาน แต่ก็พบว่าพี่สุวัฒน์จากไปแล้วอย่างสงบ…
ภรรยาพี่สุวัฒน์ทราบว่าสามีเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย แต่ปิดเรื่องนี้ไว้แม้กระทั่งเจ้าตัวผู้ล่วงลับไปก็นึกว่าเป็นระยะที่อาจจะรักษาหายได้…และเพื่อนฝูงก็ยังคิดว่าจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนกันอีก…จึงเป็นเรื่องที่นอกจากภรรยาพี่เขาแล้ว คงไม่มีใครรู้
จริง ๆ เป็นเรื่องของการตัดสินใจของภรรยาพี่เขาที่อยากจะบอกหรือไม่บอกให้สามีรับรู้ ทั้งนี้ก็เพราะความหวังดีไม่อยากให้สามีทุกข์ใจ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อกำลังใจและสุขภาพ…
มันจึงเป็นคำถามที่ยากเกินไปใช่ไหม?...หากคุณรู้ว่าคนที่เรารักกำลังจะจากไป คุณจะบอกเขาไหม
ผู้เขียนฉุกคิดประเด็นนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าถ้าเราต้องอยู่ในสถานกาณ์เช่นนั้น…หมายถึงเราเป็นผู้ป่วย…เราก็อยากให้แฟนเราบอกนะ…ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ให้แฟนฟังและบอกเขาว่าเป็นเขา เขาจะบอกไหม…เขาบอกว่า “บอก” เพื่อจะได้เจริญมรณสติ รู้ตัวเมื่อเข้าสู่วาระสุดท้ายแห่งชีวิต…สำหรับคนอื่น ผู้เขียนไม่รู้ว่าส่วนใหญ่คิดกันอย่างไร…หากผู้เขียนอยู่ในฐานะญาติสนิทผู้ป่วย ก็จะต้องบอก..และแม้อยู่ในฐานะผู้ป่วย…ก็อยากให้บอก…อยากรู้วาระสุดท้ายแห่งชีวิต...
บันทึกนี้ เป็นการไว้อาลัยแด่พี่สุวัฒน์ที่จากไป ผู้เขียนแม้จะเกิดความรู้สึกบางประการกับ “การไม่รู้ว่ากำลังจะตาย …และการไม่ได้รู้ตัวทุกขณะจิตขณะกำลังจะตาย” ของพี่เขา แต่ก็เข้าใจสำหรับท่านที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้…มันเป็นเรื่องสัจธรรมใกล้ตัวที่อยากจะมองข้ามไป เพื่อคิดแต่ในสิ่งที่เป็นกำลังใจ และอยากให้คนที่เรารักไม่ทุกข์ใจ…
มีใครบ้างไหมที่อยากรู้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตตนเอง..ถ้าหลายคนอยากรู้เพื่อจะได้รู้คุณค่าของการมีชีวิตที่เหลืออยู่ ทำไมเราจึงไม่ควรบอกเขา...
สำหรับผู้เขียน ความเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เป็นสุขมากกว่าการไม่รู้ทุกข์
วันนี้ จึงได้ฤกษ์ที่ได้ไปโรงพยาบาลศิริราช ประกอบกับนำรูปถ่ายขนาด 1" ติดกระเป๋าไปด้วยสองใบก็เลยตั้งใจว่าจะต้องทำพินัยกรรมบริจาคร่างกายให้คณะแพทย์ศาสตร์เพื่อนำไปศึกษา หรือที่เรียกว่า "อาจารย์ใหญ่" ...ที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช...
จากประสบการณ์ ผู้เขียนมีญาติที่เสียชีวิตและบริจาคร่างกายให้แก่โรงพยาบาล แต่สาเหตุของการเสียชีวิตคือเป็นมะเร็ง ทางโรงพยาบาลฉีดยากันศพเน่าให้ แต่ไม่รับร่างกายของผู้เสียชีวิต เนื่องจากข้อจำกัดที่ว่าจะต้องไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ไต เบาหวาน และอุบัติเหตุ...ดูซิ..ผู้เขียนเข้าใจนะว่า
หากเราต้องจากไปด้วยโรคดังกล่าว ร่างกายเราคงไม่มีประโยชน์อันใดเลย ให้เขานำมาศึกษาก็ไม่ได้...แต่ก็ช่างเถอะ แค่ใจเราที่อยากทำบุญอุทิศร่ายกาย ก็สุขใจแล้วล่ะ
อ่านถึงตรงนี้ ไม่อยากให้กลัวกัน ...ความตายเป็นเรื่อง "ธรรมชาติ" ใกล้ตัว ...สำคัญที่อยู่อย่างไรไม่ให้เสียดายที่เกิดมาน่าจะดีกว่ากลัวสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
ดังนั้น จึงควร "มองเห็นธรรมชาติ และอยู่กับธรรมชาติ" ให้จงได้ จะดีที่สุด
สวัสดีครับ ท่านพุทธทาส บอกว่า "ตายเสียก่อนตาย" ผมเองก็พยายามอยู่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า ครับ
ขอบพระคุณค่ะท่านศรีกมล ชอบคำพูดที่ว่า "หายใจเข้า หายใจออก ให้พิจารณาว่าตายแน่ ๆ ๆ ๆ ..." จริงค่ะ จะปฏิบัติค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ขอบพระคุณคุณหนุ่ม ค่ะ "ตายเสียก่อนตาย" คมมากค่ะ บาดใจ...แต่รับได้ค่ะ เพราะที่ผ่านมาอยู่ใกล้ตัวมาก เกิดขึ้นกับคนใกล้ชิด จน "เข้าใจแล้ว" ค่ะ
มาดูธรรมชาติ และเข้าใจธรรมชาติครับ ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะน้องศิลา
สวัสดีค่ะ ขอแสดงความเสียใจด้วยน่ะค่ะ
Time cures...แฟนเขาคงทุกข์ใจจนคิดไม่ออกเหมือนกันนะคะจึงตัดสินเช่นนี้
สวัสดีครับ พี่ศิลาฯ
สำหรับผม ผมจะบอกครับ
เพื่อจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกันอย่างมีความสุข
ให้คุ้มค่ากับเวลาที่กำลังนับถอยหลัง
ขอร่วมอนุโมทนาในกุศลจิต อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาด้วยครับ
และขอให้ดวงวิญญาณของ พี่สุวัฒน์
ได้ไปสู่ภพภูมิที่มีความสุข
สวัสดีค่ะ คุณคนดอย ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ
ขอบพระคุณค่ะคุณครูคิม ดีใจด้วยนะคะ สิ่งดี ๆ กำลังเกิดขึ้นที่ "โรงเรียนในฝัน" ค่ะ
สวัสดีครับ การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคนที่เรารู้จักและใกล้ชิดด้วย นี่บางครั้งก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกกันอย่างไรเลย คนที่อยู่ก็ทุกข์ ชาวพุทธเราก็คงจะต้องเรียนรู้กับผู้รู้ ครูบาอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเราเมื่อใด อย่างที่เรียนให้ทราบข้างต้น คำท่านพุทธทาส ทั้งๆ ที่เป็นคำสั้นๆง่ายๆ สำหรับผมแล้วยากแสนยาก แต่อย่างน้อยไว้เตือน สติ บ้างก็ยังดี ต้องขออภัยด้วยนะครับ เป็นคำสอนของท่านพุทธทาส ที่ผมจำมาบอกกล่าว ครับ
เคยถามตัวเองเหมือนกัน ว่าถ้ารู้ว่าเวลาเหลือไม่มากจริง ๆ จะทำอะไร..หลักแล้วคืออยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี ดูตัวอย่างแม่ต้อยบ้านโฮมฮักค่ะ... และที่คิดได้อย่างหนึ่งก็คือไม่ว่าจะเป็นใคร ความตายทำให้เราเท่ากันค่ะ...ขอบพระคุณค่ะที่แวะมาแลกเปลี่ยน ทำให้คิดทบทวนได้อีก
เจริญพร คุณโยม
อาตมาขอนำบทดอกสร้อยของท่านพุทธทาสว่า
ความเอ๋ยความตาย
สิ้นชื่อหายเพราะไม่มีความดีเหลือ
คือตายเน่าตายหนอนเป็นบ่อนเบือ
น่าเหม็นเบื่อตายเช่นนี้ดีอะไร
ถ้าตัวตายไว้ลายให้โลกเห็น
ก็เหมือนเป็นอยู่คู่หล้าอย่าสงสัย
ตายแต่เปลือกเยื่อในอยู่คู่โลกไป
เป็นประโยชน์แก่ใครๆไม่สิ้นเอย.
เจริญพร
ทำใจลำบากค่ะคุณพี่ศิลาค่ะ ... แม้จะปลอบใจตัวเองเท่าไหร่ก็ตาม
ขนาดน้องหมา น้องปลา จากไป เรายังเสียใจเลยนะคะ ... คงต้อง
ฝึกจิต อย่างมากๆ ในการมองเท่าทัน .. เฮ้อ และแล้ว ปูก็ยังไม่ถึงขั้น
... แค่เวลาอยู่ด้วยกัน แล้วมีความสุข คิดถึงเมื่อยามจากไป ....
ขอให้ท่านพี่สุวัฒน์ ของพี่ศิลา ไปสู่สุคติ ค่ะ ...
ไม่ต้องห่วงหลัง น้องๆ และทีมงาน จะสานต่ออุดมการณ์เองค่ะ
...
มาฝึกมอง ธรรมชาติและ อยู่กับธรรมชาติ ขอบคุณค่ะ
กราบนมัสการค่ะท่านพระปลัด ขอบพระคุณค่ะ
ขอบพระคุณค่ะคุณสุนันทา แวะมาเยี่ยมเยียน...ศิลารู้สึกเห็นใจภรรยาและลูกสาว (กำลังเรียนมัธยม) ของพี่เขาค่ะ...เป็นความทุกข์ที่เกิดเร็วเกินไปจริง ๆ ค่ะ แต่เราเตรียมตัวตายไปก่อน ก็จะไม่มีอะไรเร็วอะไรช้าค่ะ
แวะเวียนมาทักทายครับ
แต่รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างหายไปนะคร๊าบ
เมื่อกี๊ผ่านมาเหมือนยังเห็นอยู่นี่นา
(::)
สวัสดีค่ะ
ปล่อยวางบ้าง ทุกอย่างจะดีเอง....
ขอบคุณคุณณภัทร9 ค่ะ เห็นด้วยค่ะที่บอกคนที่เรารักให้เขารู้ตัว การที่ไม่ช่วยให้เขารู้ตัว สำหรับศิลาแล้ว เป็นเรื่องน่าเห็นใจค่ะ...เขาควรรู้ตัวและเจริญสติให้ดี...เรามาแผ่เมตตาให้พี่เขากันดีกว่าค่ะ
ขอบพระคุณคุณ poo ค่ะ ถ้าเราเข้าใจ ก็รอสติกลับคืนมาค่ะ บางครั้งก็มีบ้างที่หลุด ๆ ไป..ธรรมดาปุถุชน...แต่ตั้งแต่เข้ามาใน G2K ได้เรียนรู้ว่ามีกัลยาณมิตรมากมายอบอุุ่นใจจริง ๆ ค่ะ ขอให้ poo มีความสุขกับการอยู่กับธรรมชาติด้วยกันนะคะ
การเข้าใจเรื่องความตาย และการเจริญมรณานุสตินั้น คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเข้าใจ และคิดว่าเป็นการทำให้ชีวิตหดหู่ แต่หารู้ไม่ว่าหากเข้าใจและเตรียมใจชีวิตจะเป็นสุขสงบ ความเข้าใจและการสามารถเจริญมรณานุสติได้นั้นอาศัยการฝึกฝน เรียนรู้เป็นขั้นๆไป เหมือนเราเรียนหนังสือยังต้องเริ่มที่อนุบาลและไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆนะคะ
ดีใจที่ได้รู้จักกัลยาณมิตรผู้ใฝ่ธรรมค่ะ
ผมแวะมาอ่านไดอารี่ ของคุณ ผมซึมซับ ธรรม ที่คุณเขียนถึง.... อยู่กับธรรมชาติ ต้องมองให้เห็นเขาครับ ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
อนงค์ ได้
นำดอกเหลืองปรียาธร ณ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มาฝากค่ะ
ประโยคนี้ประโยคเดียวก็พิจารณาใคร่ครวญไปตลอดชีวิตแล้ว สุดยอดครับ
ความเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เป็นสุขมากกว่าการไม่รู้ทุกข์