บังเอิญว่ากำลังจะลบอีเมล์ที่ส่งต่อ ๆ มาทิ้ง และไปเห็นเรื่อง "บะหมี่หนึ่งชาม"
ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีความหมายอะไรสักอย่าง ลองอ่านดู ก็ประทับใจอย่างมาก
แต่ผู้ส่งไม่ได้ระบุแหล่งที่มาดั้งเดิมของเรื่องนี้ หากใครทราบก็ช่วยบอกด้วย
ในที่นี้ ถือว่าเป็นการเผยแพร่เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์อันงดงาม และเพื่อ
ประโยชน์ทางการศึกษาสำหรับนำไปปรับใช้กับชีวิตของเรา... จึงขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันเผยแพร่
เรื่องนี้ โดยเฉพาะ หากผู้ริเริ่มนำเรื่องนี้มาทราบถึงการเผยแพร่ครั้งนี้ ขอได้รับการขอบคุณจากผู้เขียน
blog นี้ ด้วย .... เรื่องราวไม่ยาวมาก ค่อย ๆ อ่านดูค่ะ....มีบันทึกไว้สองช่วง...อ่านจนจบได้ในบันทึก
ต่อไปด้วยนะคะ
"บะหมี่หนึ่งชาม"
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว.. วันที่ 31 ธันวาคม
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" บนถนนซัปโปโร..
การกินบะหมี่โซบะ ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น
เป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เอง"ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน
ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้ คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน
ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ
เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป
ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบ กับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
เด็กชายทั้งสองคน สวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่าๆ เชย ๆ
"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ"
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลัง สบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้ว
ก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
ที่มาของภาพ www.msuetc.net
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
กินพลางพูดพลาง "ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
"แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ
ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็นและแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดี และดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
เวลา 22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ
ผู้ที่เข้ามาก็คือ หญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้าย
ในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ"
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิม ที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว
โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
"ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอาย
และไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" สามีตอบพลาง
แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อน ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่มๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น
แล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย "หอมจังเลย..ยอดไปเลย..อร่อยจริงๆ "
"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00 น.ไปแล้ว
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00 น.
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปา แล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
พอคนกลับไปหมดแล้ว เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้าน
ที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมด
พลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"
30 นาทีก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
เหมือนกับว่า จะมีเจตนารอแขก ที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้ว
ถึงจะมาอย่างนั้นแหละ
เวลา 22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฏตัวขึ้น
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อน
ดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อต
ที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
มองใบหน้าอันยิ้มแย้ม และท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้น เปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สองแล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว" ออก
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า "บะหมี่น้ำสองชาม"
"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่
ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูกๆ เป็นอย่างมาก"
"ขอบคุณ ?"
"ทำไมครับ"
"เรื่องเป็นอย่างนี้
คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป
ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงิน
เดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"
"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
"แต่เดิมนั้น เราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคมแต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
"จริง ๆ หรือครับแม่" <
เจริญพร คุณโยม
บะหมี่ 1 ชามราคาตั้ง 150 เยนหรือโยม
เจริญพร
ค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นแพงมากเจ้าค่ะ
เคยไปทานผัดไทยที่นอร์เวย จานละเกือบพันเจ้าค่ะ
(เมื่อ 7 ปีที่แล้ว)
เจริญพร คุณโยม
เพื่อนสหธรรมิกไปสิงคโปร์บอกว่าส้มตำที่นั่น
ชามละ 250 บาท เป็นธรรมดาเพราะเขาไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ
เจริญพร
สวัสดีค่ะ
* ชอบคนขายบะหมี่ค่ะ
* นำใจงามเหลือเกิน..เกรงแขกจะอาย....ยอมขาดทุนเพื่อความสุขของลูกค้า
* สุขกายสุขใจค่ะ
- เรื่องนี้ให้ข้อคิดทั้งจากเรื่องครอบครัวที่มีความสามัคคีทำให้มีความ
สุขสงบได้อย่างแท้จริง และจิตใจอันงดงามของพ่อค้าบะหมี่ค่ะ
ทั้งสองครอบครัวต่างก็มีความสุขจากการให้ การรับ และการต่อสู้ชีวิต
- ต้องขอขอบคุณที่เก็บตก อารมณ์อันงดงามจากพ่อค้าบะหมี่ค่ะ
เรียนรู้ ความงามของผู้ให้ และความสุขของผู้รับ ต่างคน ต่างให้และต่างคนก็ต่างรับ ค่ะ