วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร | ||
ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ในเขตตำบลสวนใหญ่ ห่างจากตัวเมืองมาทางด้านใต้ประมาณ 2
กิโลเมตร ด้านหน้าของวัดติดริมฝั่งแม่น้ำ
ส่วนด้านหลังติดถนนพิบูลสงคราม มีพื้นที่ประมาณ 26
ไร่เศษ เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรวิหาร
สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเรียกว่า “วัดเขมา”
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นวัดที่อยู่ในสังกัดบัญชีกฐินหลวงของกรมพระราชวังบวรฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 2 สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินี
ทรงขอวัดนี้มาอยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และทรงปฏิสังขรณ์ใหม่เรียกว่า
วัดเขมา ยังไม่มีสร้อยต่อท้ายต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4
ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม และพระราชทานสร้อยนามต่อท้ายว่า
“วัดเขมาภิรตาราม” ปีพ.ศ. 2525
พระราชวงศ์จักรีมีอายุ 200 ปี มีพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์
คณะกรรมการวัด มีความเห็นว่าวัดนี้มีความสำคัญกับราชวงศ์จักรี
พระบรมวงศานุวงศ์ทรงให้ความอุปถัมภ์บำรุงมาตลอด
จึงมีมติสร้างศาลาอเนกประสงค์ชื่อศาลา 200 ปี
กรุงรัตนโกสินทร์ ภายในวัดมีพระมหาเจดีย์ สูง 30 เมตร ตั้งอยู่ด้านหลังโบสถ์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อเก่าแก่ ศิลปะสมัยอยุธยาอัญเชิญมาจากพระราชวังจันทร์เกษม ภายในวัดมีพระตำหนักแดงและพระที่นั่งมณเฑียรตั้งอยู่ด้วย การเดินทาง สามารถเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง สอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 184 หรือรถโดยสารสองแถวสายเรวดี-วัดปากน้ำ หรือเรือด่วนเจ้าพระยา โดยลงที่ท่าน้ำนนทบุรี แล้วต่อรถโดยสารประจำทางสาย 203 หรือโดยสารเรือข้ามฟากจากท่าน้ำบางศรีเมือง ไปฝั่งท่าน้ำนนทบุรีแล้วต่อด้วยรถโดยสารประจำทางสาย 203 |
||
วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร | ||
ตั้งอยู่ที่ซอยเฉลิมพระเกียรติ 15 เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2390 เพื่อถวายพระอัยกา พระอัยกีและสมเด็จพระราชชนนี มาสร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในเขตพระอารามมีความสงบ สะอาด ร่มรื่น ศิลปะสถาปัตยกรรมอนุรักษ์รูปแบบเดิมไว้ แม้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็มีความกลมกลืนกับสถาปัตย์เดิม วัดนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปีพ.ศ. 2536 จากสมาคมสถาปนิกสยาม สถาปัตยกรรมในวัดที่น่าสนใจได้แก่ พระอุโบสถ เป็นศิลปะแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 (คือ ศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากจีนมาผสม) หลังคามุงด้วยกระเบื้องรางดินเผาชนิดกาบกล้วยไม่เคลือบสี ถือปูนทับแนวทำเป็นลอนลูกฟูกแบบเก๋งจีน หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสี สลับลวดลายใบดอกพุดตาน กระจังฐานพระ ช่อฟ้าใบระกา ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีสลับลายจากประเทศจีน ผนังด้านในเขียนสีลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีช่อดอกพุดตานภายใน เพดานลายฉลุปิดทอง ซุ้ม ประตูหน้าต่างประดับลายปูนปั้นรูปใบและดอกพุดตาน พื้นประดับกระจก |
วัดโชติการาม | |
ตั้งอยู่ที่ตำบลบางไผ่ ไปทางที่ว่าการ
อบต.บางไผ่ เดิมชื่อวัดสามจีน สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2350
ซุ้มประตูหน้าต่างที่พระอุโบสถเป็นลวดลายปูนปั้นประดับเครื่องถ้วยลายครามและเบญจรงค์
บานประตูวิหารเป็นไม้จำหลักรูปเซี่ยวกางสวยงามมาก โบราณสถานในวัดได้แก่
วิหารทรงโรงก่ออิฐถือปูน 3 ห้อง
ภายในมีพระประธานปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี
มีจิตรกรรมฝาผนังภายใน ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน
ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติตอนต่างๆ เช่น ตอนมารผจญ ตอนสัตตมหาสถาน
ตอนเสด็จโปรดพุทธมารดาเสด็จจากดาวดึงส์ การเดินทาง
ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปวัดสังฆทานจะมีป้ายชี้บอกตลอดทาง |
|
วัดโบสถ์ | |
ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านกลาง
ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
เดินทางโดยข้ามสะพานปทุมธานีไปฝั่งตะวันออกจะมีทางแยกซ้ายไปกลับรถใต้สะพานเพื่อไปยังวัดซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน
วัดโบสถ์สร้างเมื่อ พ.ศ. 2164
โดยชาวมอญที่อพยพมาจากเมืองหงสาวดี
ชื่อวัดโบสถ์นำมาจากชื่อหมู่บ้านที่ชาวมอญอพยพมาจากเมืองมอญ
เช่นเดียวกับวัดอีกหลายวัดในปทุมธานี เช่น วัดหงษ์ วัดบางตะไนย์
ประชาชนมักมาที่วัดเพื่อสักการะหลวงพ่อสามพี่น้องในพระอุโบสถ
และรูปหล่อหลวงปู่เทียน (พระครูบวรธรรมกิจ) พระเถระผู้ทรงคุณวิทยา
ส่งเสริมด้านการศึกษาให้ชาวปทุม
วัดนี้ยังคงมีวิหารเก่าเหลืออยู่ 1 หลัง
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่จากรามัญ คือ
พระแสงอาญาสิทธิ์ และยังเก็บรักษาสิ่งสำคัญคือ
ช้างสี่เศียรและบุษบกสัมฤทธิ์สำหรับประดับเสาหงส์
และรูปปั้นสุนัขย่าเหลหล่อด้วยตะกั่วที่เจ้าอาวาสได้รับพระราชทานมาจากรัชกาลที่
6 เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองปทุมธานี |
|
วัดสังฆทาน | |
ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางไผ่ สันนิษฐานว่าเดิมชื่อวัดศาริโข สร้างขึ้นในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยช่างที่มีความชำนาญตามแบบลังกาวงศ์ในสมัยกรุงสุโขทัย วิเคราะห์จากหลักฐานพุทธลักษณะจากองค์หลวงพ่อโตและกระเบื้องเชิงชายหรือกระเบื้องหน้าอุดของหลังคาอุโบสถหลังเก่าและอิฐที่สร้างองค์พระกับฐานพระอุโบสถ องค์พระประธานคือหลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิปูนปั้น มีพุทธลักษณะและพุทธศิลป์เป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง ต่อมาได้กลายเป็นวัดร้างแต่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงและที่อื่นๆ ยังคงมาสักการะบูชาองค์หลวงพ่อโตมิได้เสื่อมคลาย ชาวบ้านจึงต้องนิมนต์พระจากละแวกใกล้เคียงมาเพื่อถวายสังฆทานจนถูกเรียกขานกันติดปากว่า “วัดสังฆทาน” |
ไม่มีความเห็น