ทำผลงานเพื่อขอเลื่อนวิทยะฐานะ
ด้วยการพัฒนาโรงเรียนทั้งโรงเรียนร่วมกัน
“ ครูและผู้บริหารก้าวหน้า แต่นักเรียนและบ้านเมืองถอยหลัง ”
คำกล่าวอย่างนี้ ไม่รู้ว่าใครพูดบ้าง ผู้เขียนขอยกมาเขียนไว้ในบรรทัดแรกอย่างนี้ คิดว่าน่าจะเป็นการเปิดเวทีวิวาทะที่น่าจะได้ผล หรือยอมรับกันหมดทุกคน....... ซึ่งก็ได้ผลอีกเช่นกัน
ที่เขียนอย่างนี้เพราะ
ผู้เขียนเชื่อว่า มาตรการการกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ เพื่อใช้ในฐานะที่เป็นเครื่องล่อให้ครูและผู้บริหารสร้างสรรค์วิชาการ ในขณะนี้ โดยหวังว่ามันจะส่งผลดีแก่เด็กและสังคมในที่สุดนั้น เป็นความหวังที่สมหวังน้อยเหลือเกิน
ถ้าข้อบ่งชี้ 2 ประการนี้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ เชื่อได้ทันทีเลยว่า ความในย่อหน้าถัดขึ้นไปนั้นจริง โดยไม่ต้องทำวิจัย 2 ประการนั้นได้แก่
|
|
เอาล่ะ ! ขอพูดแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ขอให้ไปเปิดเวทีอภิปราย
กันต่อนะครับ
ผู้เขียนมีความเห็นว่า การสร้างผลงานเพื่อขอเลื่อนวิทยะฐานะ ควรดำเนินการตามแนวทางดังนี้
· ทำในสิ่งที่เป็นปัญหาหรือความต้องการของโรงเรียนจริง ๆ
· เป็นการดำเนินการร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ครู ผู้บริหาร เด็ก และชุมชน
· เป็นการดำเนินการในเชิงการพัฒนาปฏิบัติการ
การทำอย่างนี้ ก็คือการพัฒนาผลงานทางวิชาการควบคู่ไปกับการพัฒนาโรงเรียน
การทำอย่างนี้ ถ้ามองในเชิงการวิจัยก็อาจเรียกว่า การวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี และคณะได้นำให้เห็นแนวทางในการดำเนินการไว้แล้ว โดยที่ท่านและคณะได้ลงไปร่วมดำเนินการกับคณะครูจากโรงเรียนต่าง ๆทั่วประเทศ จำนวน 135 แห่ง ดำเนินการในช่วง 2545-2547 ในชื่อโครงการวิจัยว่า“ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน ” มีเอกสารรายงานผลการวิจัยออกเผยแพร่เป็นซีรีส์ ซึ่งมีทั้งหมด 6 เล่ม สามารถหาอ่านได้โดยทั่วไป
การทำอย่างนี้มีแต่ได้ ได้ทุกคน ตั้งแต่ เด็ก ครู ผู้บริหาร ชุมชน ศึกษานิเทศก์ หัวหน้างานต่าง ๆ รองผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ ฯ ผู้อำนวยการสำนักต่าง ๆในกระทรวง ผู้ตรวจฯ เลขาธิการฯ ปลัดฯ และถ้ารัฐมนตรีจะเอาไปเป็นผลงานงานก็ได้ เป็นรูปธรรม ไม่ยกเมฆ
ซึ่งจะตรงกันข้ามกับรูปแบบที่ทำกันอยู่ขณะนี้ มีคนไม่กี่คนที่ได้ นอกนั้นเสีย ที่สำคัญเด็กเสีย
ไม่ว่าทำอะไร ถ้าเด็กและเยาวชนไม่ได้
ประโยชน์ ต้องถือว่าเสียทั้งหมด
ดุเดือดๆๆๆ ว่าม่ะ อย่าไปเครียดกับมันเลย ที่ว่ามาถูก แต่ไม่หมดอิอิ
จะเล่าอะไรให้อ่าน ที่บางสพท.(อยากรู้ต้องคุยหลังไมค์)
ครูเขาทำผลงานส่งไปถึงเขตตั้งแต่เดือนๆ เออ..วันสุดท้ายคือ 31 มีนาคม 2551 รู้ไหมว่าสพท.เพิ่งส่งผลงานไปให้คณะกรรมการตรวจเมื่อไรทายซิคะ รับรองทายไม่ถูก อิอิ
บัดนี้ สงสารคุณครู บินเข้ากองไฟผลงานอยู่ไหนไม่รู้...ใครถามโดน...
อย่า ๆ ได้ถามว่าผลงานของผมตรวจไปถึงไหนแล้วคร๊าบบบบ.. ท่าน
เดี๋ยวโดน คุณครูกลัวเขา ...ถูกฟันธง ไม่ตรวจเลยไม่กล้าไปแหย่รัง
555+ น่าสงสารจัง เป็นครูยังถูกกดขี่ !
งบตรวจหมดไปตั้งแต่ 30 กันยายน 2551 ฮาอีกที แต่ผลงานของพวกครูๆ เพิ่งเคลื่อนย้ายที่อยู่เมื่อ ตุลาคม
เอ้า มาช่วยกันเฮ..กันเป็นครั้งที่ 2
บัดนี้ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่มีใครให้คำตอบ อุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป เขาพากันสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถาม เพราะเดี๋ยวโดน ๆๆๆ 555+
ดังนั้นอย่าไปเครียดนะคะ อีกน๊านนนนนน..ครูๆ ทั้งทำและไม่ทำผลงาน ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ก็อยู่ได้แค่ 60 ทำให้ตาย หรือทำไม่ตาย ฝากไว้แต่ความดี เพื่ออนาคตของชาติ น๊ะ
ใครจะทำก็ทำขอให้พัฒนาเด็กจริงๆ ไม่งั้นตกนรก อุ๊ยแรง
ใครไม่ทำก็พัฒนาเด็กจริงๆ ไม่งั้นก็ไม่ต่างอะไร
ขออภัยคิดเล่น ไม่อยากให้เครียดน๊ะ..พี่น้อง
สวัสดี krutoi
-ลองมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันดูว่ามันพอจะเป็นไปได้
ไหม อย่างไร มีตอ มีขวาก อะไนที่ไหนบ้าง เป็นต้น
สอบ O-NET ครั้งนี้แสนแปลกนัก
ส่วนใหญ่มักเคร่งเครียดซีเรียสหนอ
ข้อสอบนั้นดูแล้วไม่ยากพอ
แปลกจริงหนอนักเรียนดูเศร้าจัง
จะว่าเครียดทำไม่ได้ก็ไม่ใช่
เห็นทำไปอย่างรวดเร็ว...จอมขมัง
มองหน้าครูด้วยสายตาอ้อนวอนจัง
ครูกักขังพวกหนูไว้ทำไมกัน
เห็นหลายคนทำข้อสอบเสร็จเร็วนัก
เลยนอนพักรอเวลากลับบ้านฉัน
ชั่วโมงครึ่งผ่านไปดีใจพลัน
เสียงดังลั่น “อนุญาตให้นักเรียนออกจากห้องสอบ” .......เฮ้.
โดย ครูวัชรินทร์ บุญหาญ
วันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551
ผมชอบวิธีมองปัญหาของท่านนะครับ แต่ผมยังไม่ได้เป็นสมาชิก ยังไงตอบผมตามนี้นะครับ
.......ท่านอาจารย์คงไม่มีเวลาเข้ามาเยี่ยมเยียนพวกเรา....คงมีภารกิจหลังจาก..หมดภาระทาง.........การสอน....ถ้ายังคิดถึงพวกเรากลับมาไว ๆ นะ....
................ด้วยจิตคารวะ..............
................นายก้ามกุ้ง...............