พระยาชมพูเอกราช เป็นกษัตริย์ครองเมืองเชตุพน มีพระมเหสีทรงพระนามว่า สุวรรณภุมมาราชเทวี ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองอย่างสุขสงบ มีโอรส ๓ พระองค์ ได้แก่ นิลลกุมาร พินทกุมาร และสุวรรณจักรกุมาร ก่อนที่จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์นั้น สุวรรณจักรกุมารเป็นเทวดาอยู่สวรรค์ พระอินทร์ได้อาราธนาให้จุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อสร้างบารมีและโปรดสัตว์โลก ในครั้งนั้นบรรดาเทวดาและนางฟ้าจุติลงมาเกิดเพื่อเป็นบริวารจำนวนมาก
เมื่อสุวรรณจักรกุมารเติบใหญ่อายุได้ ๗ ปี ก็ได้สั่งสอนหลักธรรมการปฏิบัติตนแก่ท้าวพระยาเมืองขึ้นทั้งหลาย ท้าวพระยาเหล่านั้นก็ยกย่องและนับถือสุวรรณจักรกุมารยิ่งนัก เมื่ออายุครบ ๑๖ ปี พระบิดาจะหาราชธิดาเจ้าเมืองขึ้นทั้งหลายมาให้เลือกเป็นชายาแต่สุวรรณจักรกุมารคิดว่า หากรับราชธิดาเมืองใดเมืองหนึ่งแล้ว เมืองอื่น ๆ จะน้อยใจที่ไม่เลือกราชธิดาตนเองพลอยทำให้เกิดความบาดหมางกันเสียเปล่า จึงคิดจะหาชายาที่เป็นคนแคว้นอื่นแทน
กล่าวถึงพระยาวัวอุสุภราช อันพำนักที่เชิงภูเขาพระสุเมรุในป่าหิมพานต์มีบริวารจำนวน แปดหมื่นตัว พระยาวัวอุสุภราชเป็นวัวขนาดใหญ่มีกายสีขาวเป็นวัวที่มีตบะและศีลธรรม บรรดาเทวดามักจะมาขอฟังธรรมเทศนาเป็นประจำ กาลครั้งหนึ่งพระยาวัวคิดอยากจะเข้าไปดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในเมืองจึงคัดเลือก เอาบริวารที่แข็งแรงมีกำลังมากกว่าวัวธรรมดาถึงสี่พันเท่า จำนวน ๔ ตัว เข้าสู่เมืองราชคฤห์โดยมีเทวดาปิดบังร่างพระยาวัวและบริวารเพื่อไม่ให้มนุษย์เห็นด้วยเกรงว่าจะเกิดการตื่นตระหนกและทำร้ายพระยาวัว
เมื่อพระยาวัวและบริวารเข้าสู่เมืองราชคฤห์ได้ดูความเป็นอยู่ของคนแล้ว เทวดาที่รักษาพระยาวัวจึงเผยให้คนเห็นรอยเท้าของพระยาวัว ชาวเมืองเห็นรอยเท้าดังนั้นก็ใคร่อยากเห็นตัวของพระยาวัวเทวดาจึงเผยร่างพระยาวัวให้ชาวเมืองเห็นครู่หนึ่งแล้วปิดบังเสีย จากนั้นพระยาวัวและบริวารจึงออกจากเมืองไปจนถึงสวนมะม่วงท้ายเมืองแล้วจึงเคี้ยวกินผลมะม่วงสุกที่อยู่ต้นน้ำในสวนนางเขมาวดี ส่วนนางเขมาวดีก็อาบน้ำอยู่ที่ท้ายน้ำในสวนตนเอง มะม่วงสุกผลหนึ่งเผอิญหลุดจากปากพระยาวัวลอยตามน้ำลงมาจนถึงบริเวณที่นางเขมาวดีอาบน้ำนางจึงคว้าเอามารับประทาน
ต่อมานางเกิดตั้งครรภ์เพราะอำนาจของผลมะม่วงที่หลุดจากปากพระยาวัวและให้กำเนิดบุตรสาวผู้หนึ่งตั้งชื่อว่านางอุมมาทนิต เมื่อนางอุมทนิตเติบใหญ่ก็เข้าไปเล่นกับชาวเมืองและล่วงรู้ว่าบิดาตนเป็นวัวจึงขออนุญาตแม่ไปหาพ่อบิดาในป่าหิมพานต์จนพบแล้วอยู่ดูแลปรณนิบัติบิดาและวัวทั้งหลายในฝูงด้วยการชำระล้างที่อยู่ให้สะอาดทุกวันและตกแต่งที่อยู่ได้ดอกไม้ของหอมส่วนตนเองนั้นขึ้นไปอยู่บนยอดเสาแก้วที่เทวดาเนรมิตให้ วัวทุกตัวซาบซึ้งในน้ำใจของนางจึงยอมถอดเขาออกเพื่อสร้างเป็นปราสาทให้นางอยู่ โดยพระอินทร์เป็นผู้นำเขาวัวไปสร้างเป็นปราสาทเรียกว่า ปราสาทเขาคำ
กล่าวถึงสุวรรณจักรกุมารได้ขออนุญาตจากพระบิดาไปเที่ยวป่าหิมพานต์แล้ว จึงนำเหล่าทหารเข้าไปล่ากวางในป่าหิมพานต์ ต่อมามีเทวดาตนหนึ่งแปลงกายเป็นกวางทองมาหลอกล่อให้พลัดหลงจากเหล่าทหารแล้วเข้ามาสู่ปราสาทเขาคำ สุวรรณจักรกุมาได้พบกับนางอุมมาทนิตและได้สนทนาจนถูกอกถูกใจกันจึงอยู่ร่วมกัน สุวรรณจักรกุมารอยู่ในป่าได้ ๓ เดือน จึงชวนนางอุมมาทนิตออกจากป่าพระอินทร์จึงเนรมิตให้ปราสาทเขาคำลอยไปตั้งที่หน้าเมืองเชตุพน พระอินทร์ได้นำพระยาชมพูเอกราชเข้าไปในปราสาทเขาคำเพื่อพบกับสุวรรณจักรกุมาร พระยาชมพูเอกราชดีใจมากที่สุวรรณจักรกุมารกลับมาอย่างปลอดภัยจึงยกบ้านเมืองให้ครองแทนตนเองแล้วเฉลิมพระนามว่า พระยาสุวรรณจักรเอกราช
พระยาสุวรรณจักรเอกราชได้เฉือนเอาเนื้อเลือดและควักดวงตาให้ทานแก่ผู้มาขอเพื่อหวังผลทานนำไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารในภายหน้า ด้วยผลบุญจึงทำให้มีรูปโฉมที่งดงามยิ่งกว่าเดิมและมีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ไกลพันโยชน์ พระยาสุวรรณจักรเอกราชมีราชโอรสและราชธิดา ๒ พระองค์ คือ สุวรรณคันธะกุมารและนางสาขานีกุมารี เมื่อถึงกาลสมควรแล้วจึงสละราชสมบัติให้
สุวรรณคันธะกุมารแล้วอบรมสั่งสอนด้วยหลักธรรมต่าง ๆ มากมาย จากนั้นพระยาสุวรรณจักรเอกราชและพระนางเขมาวดีก็ผนวชเป็นฤาษี บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์ตามโบราณราชประเพณี จวบจนสิ้นอายุขัยก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์
ฝ่ายพระยาสุวรรณคันธะปกครองบ้านเมืองสืบต่อจากพระยาสุวรรณจักรเอกราช เมื่อถึงกาลอันควรแล้วก็สละราชสมบัติให้โอรสสืบราชบัลลังก์แล้วเข้าป่าผนวชเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรเช่นกันกับพระยาสุวรรณจักรเอกราชจวบจนสิ้นอายุขัยจึงได้ไปเกิดบนสวรรค์เช่นกัน
สุวรรณจักรกุมารสำนวนวัดบ้านท่าตูมได้คัดลอกจากเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๔๙ ปีมะเมีย อัฏฐศก จุลศักราช ๑๒๖๘ รัตนโกสินทร์ศักราช ๑๒๕
ขอบคุณมากนะคะ ขออนุญาตนำมาสอนนักเรียนนะคะ เพื่อเพิ่มความรู้
ยินดีครับ
เล่าให้ฟังหน่อยนะครับว่าเป็นอย่างไรบ้างครับเมื่อสอนแล้ว