คาย เป็นคำที่มีมากับชุมชนชาวภาคอีสานมาช้านาน คำว่าคายมีอยู่ในทุกช่วงของการดำเนินชีวิตของชาวอีสานจากอดีตจนถึงปัจจุบัน แม้ว่ากาลเวลาผ่านไปหลายยุคสมัยแต่คายยังคงมีสืบต่อกันมา เพียงแต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบ้างก็เพราะการเวลาและวัฒนธรรมสังคมมีการปรับเปลี่ยนผสมผสานอารยธรรมต่าง ๆ จนคายบางอย่างอาจแปลสภาพไปเลยก็มี
คำว่า “คาย” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “คารวะ” เพราะจากใบลานเรื่องท้าวบุษบาปลาแดกปลาสมอ ( จารเมื่อ พ.ศ.2455) มีข้อความตอนที่พระยาสุริยะวงศารบแพ้พระยาบุษบาแล้วจึงนำเอา ช้าง ม้า วัว ควาย แก้ว คำ(ทองคำ)
อย่างละหนึ่งร้อยมาเป็นของบรรณาการในฐานะที่เป็นผู้แพ้สงคราม ได้จารว่าเป็นของ “ คายรวะสมมา” ซึ่งต่อมาเรียกว่า ค่าคาย
คาย หมายถึง เครื่องบัตรพลีบูชาของชาวอีสานใช้บูชาแถน(เทวดา) ผี ครูบาอาจารย์และผู้ที่เคารพบูชาเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลหรือเพื่อเป็นการขอขมา ดังนั้นเมื่อจะประกอบพิธีกรรมใด ๆ จึงต้องมีการเตรียมเครื่องคายไว้เสมอเรียกว่า การแต่งคาย ซึ่งอีกนัยหนึ่งคายคือ เครื่องประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวอีสาน ตัวอย่างเช่น เมื่อจะทำการแสดงหมอลำ จะต้องมีการบูชาครูบาอาจารย์เรียกว่า “ ตั้งคาย” เพื่อทำการบูชา คายหมอลำประกอบด้วย เหล้าขาว แป้งผัดหน้า หวี กระจก เทียนขนาดเล็ก 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ทั้งนี้เครื่องคายก็แล้วแต่ครูอาจารย์จะกำหนดอาจแตกต่างกันบ้าง เป็นต้น
ของสำคัญที่จะขาดไม่ได้ในคายคือ ขัน 5 ซึ่งหมายถึง เครื่องบูชาอย่างละ 5 คู่ โดยมากมีดอกไม้ 5 คู่ เทียนเล็ก 5 คู่
ในบางท้องที่อาจมีหมากพลู 5 คู่ บุหรี่ 5 มวน เพิ่มอีกทั้งนี้แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องที่ ทั้งนี้เราจะเห็นได้ว่าแม้ในยุคปัจจุบันคายก็ยังมีบทบาท ต่อพิธีกรรมมาก เช่น เมื่อจะทำการสร้างพระอุโบสถ ต้องตั้งเครื่องคายบูชาเทวดาและต้องมีครบ
จะขาดเสียมิได้ ถ้าขาดถือว่า ไม่เป็นมงคล ในชุมชนที่นับถือผีฟ้านั้นถือว่าคายเป็นของสำคัญที่จะขาดหรือเพิ่มไม่ได้
เพราะถ้าไม่ตรงตาม ตำราผีจะโกรธและทำให้เป็นปอบได้
* คาย จึงเป็นเครื่องบูชาที่ประกอบด้วยความเชื่อ ความศรัทธาของชาวอีสาน ซึ่งแม้มิติทางเวลาอาจเปลี่ยนแปลงวัสดุบางประการ แต่มีอาจเปลี่ยนแปลงความเชื่อ “ คาย” ได้เลย
ได้อ่าน รับรู้ ในสิ่งที่ยังไม่รู้ และรู้ไม่หมด ขอบคุณมากครับ