การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในยุคโลกาภิวัตน์จากมุมมองของนักมานุษยวิทยา
ดร.สนิท สมัครการ ได้วิเคราะห์เป็น 2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก
ลักษณะสำคัญของโลกยุคโลกาภิวัตน์ อันหมายถึงยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคมมีความเจริญก้าวหน้าขั้นสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างคนทั่วโลกเป็นไปได้รวดเร็วมาก เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหนก็สามารถรับรู้เรื่องราวความเป็นมาต่างๆได้ เช่น TV โทรศัพท์ หรือการเดินทางก็จะสะดวกและรวดเร็วขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สำคัญของโลกยุคโลกาภิวัตน์ และทำให้โลกดูเล็กลงมาก เมื่อมีการเดินทางของคนทั่วโลกมากขึ้น ผู้คนที่เดินทางก็ได้พบกับประสบการณ์และได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆโดยตรง การพบเห็นครั้งแรกอาจจะประหลาดใจว่าเป็นของแปลก แต่เมื่อพบปะมากขึ้นเกิดการคุ้นเคยมากขึ้นก็จะมองว่าเป็นเรื่องปกติ (เช่น เมื่อก่อนฝรั่งเดินทางเข้ามาประเทศไทย คนไทยต่างอายและไม่กล้าเข้าใกล้ มองฝรั่งว่าแปลกแยก แต่ปัจจุบันคนไทยคุ้นเคยกับฝรั่งชาวต่างชาติมากขึ้น จนเห็นเป็นเรื่องปกติ) ในยุคโลกาภิวัตน์นี้การยึดมั่นในวัฒนธรรมของตนเองหรือความหลงใหลในชาติพันธุ์ของตนได้ลดลงอย่างมาก
เป็นยุคที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างกลุ่มชนต่างๆได้ลดน้อยลงอย่างมากประชาชนทั่วไปมีเสรีภาพมากขึ้น การกดขี่ทางเพศหรือการเหลื่อมล้ำทางเพศมีน้อยลง สาเหตุเราะประชากรบนโลกมีการศึกษาสูงขึ้น การติดต่อระหว่างกลุ่มต่างๆได้ไวมากขึ้น มีการแลเปลี่ยนความคิด ความเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน และองค์การสหประชาชาติเองก็ได้เข้ามามีบทบาทสนับสนุนในการรณรงค์ในเรื่องสิทธิมนุษยชนผ่านสื่อต่างๆอย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มคนด้อยโอกาสได้เล็งเห็นสิทธิในฐานะความเป็นมนุษย์ของตนมากยิ่งขึ้น การต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคต่างๆมีมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำต่างๆทางสังคมจะลดลงไปเรื่อยๆ
เป็นยุคมีคนเริ่มตื่นตัวในเรื่องความสูญเสียของสภาพแวดล้อม เนื่องมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยไม่ใส่ใจกับสภาพแวดล้อม เช่น ชาติด้อยพัฒนาโค่นต้นไม้นับหมื่นไร่ เพื่อตั้งเขตโรงงานอุตสหกรรม ทำให้สิ่งแวดล้อมละแวกนั้นเปลี่ยนแปลงไป เกิดปัญหาด้ายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมา ทำให้มีบรรดานักวิชาการหรือปัญญาชนจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องคุณภาพชีวิตมากขึ้น
ประเด็นที่สอง
ลักษณะสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในยุคโลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของมนุษย์จากอดีต เราจะพบความจริงที่ว่ายุคแรกเริ่มของสังคมมนุษย์นั้นเป็นแบบโดดเดี่ยว ดำรงชีพด้วยการพึ่งพิงธรรมชาติด้วยการหาของป่าและการล่าสัตว์ หมื่นปีต่อมามนุษย์จึงได้มีการริเริ่มเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เป็นการเริ่มต้นของการใช้วิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม และในอีก 200 ปีต่อมามนุษย์ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบการดำรงชีพแบบอุตสหกรรมต่อมาตามลำดับ มีการนำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการผลิตทรัพย์สินหรือเทคโนโลยีต่างๆทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ้นเปลืองกว่าสมัยก่อนมากยิ่งขึ้น
ก่อนยุคโลกาภิวัตน์มนุษย์ได้เริ่มตระหนักถึงความสูญเสียสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ในการการนำเอาพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสหกรรม ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามหาวิธีการต่างๆที่จะพัฒนาอุตสหกรรมได้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม แต่ทว่าการพัฒนาในด้านนี้ยังคงล่าช้าอยู่ในยุคปัจจุบัน ปัญหาเรื่องความอยู่รอดของมนุษย์นั้นไม่น่าขึ้นอยู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจหรือการพัฒนาด้านเทคโนโลย แต่ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาด้านของจิตใจมากกว่า จิตใจที่มีแต่ความกลัว ความหวาดระแวง ความโลภ และขณะเดียวกันผู้คนมากมายกลับต้องอยู่อย่างยากลำบาก อดอยากและหิวโหย ขาดปัจจัยด้านพื้นฐานต่างๆ ในยุคโลกาภิวัตน์นั้นจะมองเห็นปัญหาต่างๆมากยิ่งขึ้น ผู้ได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์นั้นมักเป็นชนชั้นกลาง และชนผู้มีอำนาจชั้นสูง ส่วนคนจนคนด้อยโอกาสนั้นไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากยุคโลกาภิวัตน์เลย
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตทำให้ต้นทุนเทคโนโลยีถูกลง ประเทศยากจนก็สามารถสรรหามาใช้ได้ ดังนั้นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจึงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว เพียงแต่อุดช่องว่างทางข้อมูลสารสนเทศและทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ได้ ช่องว่าวนี้จะเป็นช่องว่าวของประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา
เห็นด้วยค่ะ เพราะความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ทำให้การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตทำให้ต้นทุนเทคโนโลยีถูกลง ประเทศยากจนก็สามารถสรรหามาใช้ได้ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจึงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านกายภาพ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการพัฒนาทางด้านจิตใจเป็นสิ่งที่จะต้องให้ความตระหนักเป็นอย่างมากค่ะ
ขอบคุณนะคะพี่มนสุดสวย
ผู้ได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์นั้นมักเป็นชนชั้นกลาง และชนผู้มีอำนาจชั้นสูง ส่วนคนจนคนด้อยโอกาสนั้นไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากยุคโลกาภิวัตน์....เป็นเรื่องจริงๆเลย
...เจี๊ยกๆ