แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องยุโรป


แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องยุโรป
                 16ภ1.16บ้านเวนิส
 
 
                         

 

                                                         เรือกอนโดลา                                                         บ้านเรือนในเมืองเวนิส

การเดินทางจากเวนิสไปลูเซิร์น จะต้องไปเริ่มต้นที่มิลาน ซึ่งเป็นชุมทางรถไฟ  เราจองตั๋วไว้เมื่อเย็นของวันที่ 19 ตุลาคม รถไฟจะออกจากเวนิสเวลา 14.51 น. จะถึงมิลานเวลา 17.55 น. 

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง   เมื่อถึงมิลานจะต้องเปลี่ยนรถไฟเพื่อไปลูเซิร์นตามกำหนด ถึงลูเซิร์นเวลาประมาณ 22.41 น. เราต้องการที่จะไปถึงมิลานเร็วกว่านั้น เพื่อจะได้ถึงลูเซิร์นให้เร็วขึ้น   จึงขอเลื่อนเวลาที่พนักงานขายตั๋วให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยให้ถึงมิลานเวลา 17.10 น. แต่เป็นการผิดพลาดอย่างมากในการทำเช่นนั้น   เพราะเราไม่ทราบว่าชานชาลาที่รถไฟจากเวนิสไปถึงมิลานเป็นชานชาลาที่เท่าไร  เพราะที่มิลานมีชานชาลาอยู่ถึง 22 แห่ง  มีเวลาเพียงแค่ 3 นาทีที่จะเปลี่ยนรถไฟ ลงจากรถรีบแบกเป้ไปชานชาลาที่ 2 ที่จะต่อไปยังลูเซิร์น แต่หาไม่พบ  ถามเจ้าหน้าที่เขาชี้ให้  เราไปตามทางนั้นแต่ไม่เห็น  กลับมาถามใหม่เขาบอกให้ไปทางเดิม เลี้ยวขวาแล้วตรงไป จึงจะเห็นชานชาลาที่ 2    เราออกวิ่งทันทีพร้อมแบกเป้   โถ! เห็นแต่ท้ายขบวนรถไฟ กลับมานั่งพักครู่หนึ่งเพราะเราพลาดรถไฟขบวนนั้นไปแล้วต้องไปจองตั๋วใหม่   ถ้าเขาบอกให้ละเอียดตั้งแต่ตอนแรก คงไม่ต้องเสียเงินจองตั๋วอีก  เป็นบทเรียนอีกครั้ง  รถขบวนต่อไปออกจากมิลานเวลา 19.15 น.   สถานีมิลานแปลกกว่าสถานีรถไฟอื่นๆที่เคยเจอ เมื่อผู้โดยสารจองตั๋วจะไม่รู้ชานชาลาที่รถไฟเข้า จนกว่าขบวนรถไฟจะจอดเทียบ    ให้ดูที่บอร์ดไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สถานี จึงไม่แปลกที่เห็นผู้โดยสารมายืนออกันดูบอร์ด   บอร์ดไฟฟ้าขึ้นข้อมูลชานชาลาให้เห็นเพียงไม่กี่นาทีก่อนรถไฟจะออกจากสถานี จึงมักเห็นผู้โดยสารวิ่งแทบชนกันเพื่อขึ้นรถไฟ  เรายืนเฝ้ามองบอร์ดไฟฟ้า    สักครู่เห็นตัวเลขว่ารถไฟที่เราจะไปจอดอยู่ชานชาลาที่ 8 เรากับผู้โดยสารอื่นๆ  พร้อมใจกันออกวิ่งราวกับได้ยินสัญญาณนกหวีดสตาร์ทให้ออกจากลู่วิ่งก็ไม่ปาน  รีบขึ้นรถไฟ   โดยรถไฟขบวนนี้ไม่ตรงไปลูเซิร์นเลยทีเดียว ต้องเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Arth-Goldau  เรากางแผนที่ดูว่าก่อนถึง Arth-Goldau ต้องถึงสถานีใดก่อน และจะถึงเวลาเท่าไร  ถ่างตาไว้ไม่ยอมหลับนอน ก็กลัวนั่งเลยสถานีที่จะลงต่อรถ  กำลังนั่งเบื่อๆ ชักง่วง  รถไฟจอดที่สถานีเล็กๆ ข้างนอกมืดบ้านเมืองก็ไม่ใหญ่โตเลย  แต่ทำไมผู้คนในรถหิ้วกระเป๋าลงจากรถหมด   หลังได้ยินประกาศจากเจ้าหน้าที่ในขบวนรถไฟ  ด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ คือเราฟังไม่รู้เรื่อง  หันไปเห็นฝรั่งท่าทางใจดีกำลังลากกระเป๋าลง   เราส่งยิ้มหวาน ถามว่าจะไปไหนกัน พึ่งถึงบางอ้อ เขาบอกว่ารถไฟขบวนนี้ เกิดไฟฟ้าขัดข้องวิ่งต่อไปไม่ได้ให้เปลี่ยนรถ  ยิ้มหวานที่ค้างอยู่หายทันที ทีนี้ล่ะหน้าซีด ตกใจหมดเลยรีบคว้าเป้ สัมภาระวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว  จะไม่หน้าซีดได้อย่างไรเขาไปกันหมดขบวนแล้ว  ต้องตามให้ทัน ว่าพวกเขาเดินไปทางไหน ไปชานชาลาที่เท่าไร ต่อรถขบวนไหน  ซึ่งรถไฟจะมารับช่วงในเวลาใกล้เคียงกัน วิ่งซะหอบเลย  พอขึ้นรถ ขบวนรถไฟก็ออก เฉียดฉิวจริงๆ  นี้ล่ะ ! ที่เขาบอกว่า การแบกเป้เที่ยวมันตื่นเต้นระทึกใจ ได้รสชาติของชีวิตจริงๆ     เรานั่งรถไฟต่อไปถึงลูเซิร์นเวลาประมาณ 23.30 น.   วันนี้เป็นวันมหาโหดของเรา ถึงสถานีลูเซิร์นลงจากรถไฟแบกเป้หาโรงแรมใกล้กับสถานีเหมือนเคยปฏิบัติมา ถึงแม้ว่าราคาค่อนข้างสูงแต่ก็สะดวกในการเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ  และอีกประการหนึ่งเรามาถึงลูเซิร์นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว จึงไม่มีโอกาสหาโรงแรมอื่นๆ จากการที่ได้ค้นจาก Internet  ตามตารางที่เราวางไว้พลาดหมด  พระเจ้าคงสงสารเรากระมัง  เพราะเราเดินตรงไปนิดเดียวก็เจอโรงแรม เข้าไปถาม พนักงานให้การต้อนรับดีมาก โรงแรมก็ดี ราคาพอสู้ไหว 100 ยูโร รีบอาบน้ำ รับประทานอาหาร ไม่ลืมเก็บภาพไว้ในฮาร์ทดิสและชาร์ทแบตเตอรี่ก่อนเข้านอน ที่นี่ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ ปลั๊กไฟฟ้าแบบขากลมสองขา    ดึกมากแล้ว ... เหนื่อยจังเลยนอนก่อนนะจ๊ะ

 

 

 

 

19 

 

 

สะพานชาเพล ( Chapel  Bridge )

 

 

วันที่ 21 ตุลาคม

ลูเซิร์น - อินเทอลาเก้นออส 

ตื่นแต่เช้าตรู่ หายเหนื่อยเหมือนปลิดทิ้งเป็นเพราะเราหลับสนิทอย่างสุขสบายบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม  สะอาดบวกกับบรรยากาศของสวิตเซอร์แลนด์เมืองที่ไร้มลพิษ ภูมิประเทศที่สวยงามไปหมด สวยสมกับคำกล่าวที่ว่าเป็นสวรรค์บนดินที่หลายคนอยากมาเยือนสักครั้งในชีวิต  รับประทานอาหารในโรงแรมที่พัก แล้วรีบออกเดินทางไปยังสถานีรถไฟ   ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ  5 นาที ตรงไปยัง  Tourist Information ซึ่งอยู่ในสถานีรถไฟ  สอบถามเจ้าหน้าที่ซึ่งมีมิตรไมตรียิ้มแย้มแจ่มใสและเต็มใจให้ข้อมูล ขอตารางลงเรือเพื่อล่องไปตามทะเลสาบลูเซิร์น  ใช้เวลาตั้งแต่ 1-6 ชั่วโมง เราขอใช้เวลาแค่  2  ชั่วโมง   เดินออกจากสถานีรถไฟไปยังท่าเรืออยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟ   เราชูตั๋วยูเรลพาสให้เจ้าหน้าที่ดูก่อนลงเรือพูดคำเดียว Free ได้ผลเจ้าหน้าที่ยิ้มให้ ตอบคำเดียวเหมือนกัน  “Yes”   เราส่งยิ้มสยามให้เลยคราวนี้   สะพายเป้ลงเรือสำราญ ซึ่งเป็น เรือท่องเที่ยวมีขนาดใหญ่มาก  2 ชั้น  ชั้นล่างตรงกลางลำเรือเป็นห้องกระจกส่วนชั้นบนเป็นที่นั่งชมวิว   เราเลือกนั่งแถวหน้านอกห้องกระจกจะได้ชมวิวชัด ๆ ถึงแม้ว่าในช่วงที่ไปนั้นอากาศจะหนาวมาก ส่วนใหญ่เขาจะนั่งในห้องกระจก ซึ่งจะมีอาหารและเครื่องดื่มบริการ แต่ของรับประทานเราเตรียมไว้พร้อมแล้ว ในเป้ไง ทั้ง ข้าวกระป๋อง  แกงเผ็ด ไข่ต้มจากโรงแรม เรื่องอะไรจะเสียเงิน  นั่งนอกห้องกระจกทำให้เห็นวิวสวยงามได้ชัดเจน เราเตรียมพร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น โดยสวมเสื้อและกางเกงหนาๆ พร้อมผ้าพันคอ     พบนักท่องเที่ยวมากมายหลายชาติ  แม้แต่คนพิการเขายังนั่งรถเข็นลงมาในเรือ   ญาติๆ ที่พามาให้การดูแลเป็นอย่างดี  หน้าตาสดชื่น มีความสุข  คนรอบข้างมองด้วยความชื่นชม    เราใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 2 ชั่วโมง  สองข้างทางที่ล่องเรือผ่านไปในทะเลสาบที่มีน้ำสีฟ้าใสสงบนิ่ง   บ้านหลังเล็กหลังน้อยปลูกลดหลั่นไปตามไหล่เขา เหมือนบ้านตุ๊กตา อยากหยิบมาเก็บไว้ดูเล่นสักหลัง  เรามีความสุขมากในการล่องเรือชมธรรมชาติ  อายุคงจะยืนยาวไปอีกหลายปี เรือได้จอดแวะตามสถานีต่างๆ ตามหมู่บ้าน ชุมชน ผู้คนผลัดเปลี่ยนกันขึ้นลงตลอดเวลา  คงจะเป็นเรือโดยสารของคนสวิสที่ใช้ในชีวิตประจำวันและรับนักท่องเที่ยวด้วย  ผู้คนที่นั้นยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดี    เด็กวัยรุ่นก็ดูสุภาพ น่ารัก

 

 

                                                        2021

 

 

 

ถ่ายกับท่าเรือ  Vitznau                                                     ภูมิประเทศที่สถานี

 

เราแวะขึ้นไปชมภูมิประเทศและความสวยงามของชุมชนที่สถานีใดก็ได้  เพราะจะมีเรือลำต่อไปวนมารับตามเวลาในตาราง   เมื่อเรือจอดที่สถานี Vitznau  เห็นนักท่องเที่ยวขึ้นที่สถานีนี้มากกะเหรี่ยงอย่างเราเลยขอร่วมด้วย ตามตามเขาไป ไม่ผิดหวังจริงๆ   ดอกไม้และบ้านเรือนที่สวยงามร่มรื่น   ที่เมืองนี้มีรถไฟไต่เขาด้วย  นักท่องเที่ยวจะ เดินทางไปที่ยอดเขาก็ได้    ใช้เวลาประมาณ 10 นาที แต่เราไม่ได้ใช้บริการเพราะเวลาไม่อำนวยให้ กลัวไม่ทันเรือเที่ยวต่อไปที่จะมารับกลับ เลยเดินชมความงามอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น  เรือมาตรงเวลา  นั่งเรือชมวิวขากลับจนถึงสถานีปลายทางอยู่ใกล้ซึ่งสะพาน ชาเพล  ( Chapel Bridge )  สะพานนี้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตรงกลางสะพานจะมีหอคอย  (Water  Tower)   อยู่กลางน้ำ ปลายสุดของสะพานทอดไปยังประตูเข้าโบสถ์ St.Peter     ในขณะที่เราเดินจะมองเห็นฝูงห่าน แหวกว่ายในน้ำใสอย่างสนุกสนาน ทั้งตัวเล็กๆและใหญ่  ดูท่าทางมีความสุข ตรงสะพานจะมีนกเกาะอยู่ร้องส่งเสียงดัง   เดินไปบนสะพานไม่นาน พบคนไทยอีกแล้วแต่เดินอยู่คนเดียว สอบถามมาเที่ยวกับทัวร์และแยกชมความงามของสะพาน  เราคุยกันสักครู่รีบเดินไปยังโรงแรมที่พัก เพราะก่อนออกมาเที่ยวล่องเรือ เราฝากเป้ไว้ที่เขา 1 ใบไม่อยากหอบไปให้หนัก และแอบวางแผนไว้ในใจว่าจะขอเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาอีกครั้ง       พนักงานโรงแรมยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับเราอย่างดีถึงแม้จะคืนห้องแล้ว    รับของที่ฝากไว้    แบกเป้เดินไปยังสถานีรถไฟ ระหว่างทางมีร้านขายช้อคโกแลต ของที่ระลึก และ นาฬิกาซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ เราได้แต่ดู  เพราะเรามาครั้งนี้ต้องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างเดียว และคิดว่าน่าจะไปซื้อที่อินเตอลาเก้น เพราะราคาคงพอกัน ส่วนของฝากที่ตั้งใจซื้อคงเป็นสถานที่และเมืองสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย คงจะเป็นฝรั่งเศส    การมาเที่ยวลูเซิร์นในครั้งนี้ใช้เวลาน้อยเพราะเราเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขาติทลิส และสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง  เราเดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟตรงไปที่ประชาสัมพันธ์ขอตารางรถไฟที่จะไปอินเทอลาเก้น  พนักงานขายตั๋วแนะนำให้จองที่นั่งขบวนรถไฟที่มีหน้าต่างกว้างสำหรับชมวิว เราเลยโชคดีและขอบคุณที่เขามีไมตรีจิตที่ดีกับคนผมดำ ( เอเชีย ) อย่างเรา     รถไฟออกจากลูเซิร์นเวลา 14.30 นาฬิกา ใช้เวลาวิ่งประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อใกล้ถึงอินเทอลาเก้น       รถไฟจะวิ่งผ่านเส้นทางที่เห็นทะเลสาบ สวยงามมากเหมือนเมืองในฝัน ถึงอินเทอลาเก้น ออส  เวลา 16.30 นาฬิกา  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอินเทอลาเก้น เวสท์ ใช้เวลาเดินทางระหว่างอินเทอลาเก้นออส และเวสท์ประมาณ 5 นาที  การเดินทางในเวลากลางวันทำให้เห็นวิวสองข้างทางสวยงามมาก  เหมือนกับที่เราเห็นในภาพถ่ายที่เขาทำโปสการ์ดกัน  ผู้คนที่นี้เขาแต่งบ้านสวยงาม  มีสวนดอกไม้เล็ก ๆ มีหน้าบ้านทุกหลัง  และที่น่ารักสุดๆ เห็นจะเป็นรางปลูกต้นไม้ใต้หน้าต่างออกดอกสวยงาม  ทำให้จินตนาการไปถึงเจ้าของห้องคงสวยเหมือนเจ้าหญิงน้อยๆ ที่แสนใจดี  เนินหญ้าสะอาดเหมือนใครเอาพรมสีเขียวผืนใหญ่มาปูไว้   ต้นไม้ สองข้างทางเขียวชอุ่ม  แกะ ตัวสีขาวยืนเล็มหญ้าอย่างมีความสุข   

สีของมันตัดกับต้นหญ้าและต้นไม้สีเขียว มองแล้วสบายใจ สบายตา คลายความเหนื่อยที่ได้ผจญภัยจากการเดินทางอย่างมาก  ถ้าเราได้เห็นอย่างนี้ทุกวัน โลกนี้คงน่าอยู่อาศัยมากขึ้น

 

 

 

 

 

                                                             28.

 

                                            สถานีรถไฟอินเทอลาเก้นออส                         

 อินเทอลาเก้นเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างสองทะเลสาบ  คือทะเลสาบตูนและทะเลสาบเบี๊ยนเมื่อมาถึงสถานีรถไฟอินเทอลาเก้นออส  กำลังดูแผ่นพับเพื่อหาโรงแรมหันไปเจอคนไทยมาเที่ยวสามคนแม่ลูกทักทายด้วยความดีใจ   เมื่อไปต่างแดนถ้าเจอคนไทยแล้วรู้สึกอบอุ่น อยากคุย แต่เสียดายที่พวกเขาไม่ได้พักที่อินเทอลาเก้น  จะต่อรถไฟไปอีกเมืองเพราะเขาแบกเป้และซื้อตั๋วรถไฟเหมือนเรา  เนื่องจากไม่อยากเสียสิทธิในการใช้บัตรรถไฟ  เราถามถึงเรื่องที่พักเขาแนะนำ ให้ดูไดอะแกรมโดยกดปุ่มสถานที่ๆ เราต้องการพัก จะมีการบอกรายละเอียดว่าอยู่ตรงไหนของเมือง ห่างจากสถานีรถไฟเท่าไรและมีโทรศัพท์ให้ติดต่อได้พร้อมราคา  เราขอบคุณความมีน้ำใจของคนไทยทำให้ตัดสินใจได้ว่าจะพักโรงแรมใด     โรงแรมที่เราหาจากอินเตอร์เน็ทต้องขึ้นรถประจำทาง หน้าสถานีรถไฟซึ่งมีรถประจำทางจอดอยู่      มีทั้งวนซ้ายและวนขวา โรงแรมที่จะพักต้องนั่งรถประจำทางที่วนทางด้านขวามือ    เราแบกเป้ขึ้นรถพร้อมทั้งชูตั๋วยูเรล ซีเล็ก  พาส  คนขับพยักหน้า หมายความว่าใช้ได้ แต่เรายังไม่แน่ใจ เพราะลงเรือที่เวนิสใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง  เราบอกชื่อโรงแรมที่จะพักเขาพยักหน้า หมายความว่าเข้าใจแน่   ใกล้ถึงผู้โดยสารเก้าอี้ถัดไป บอกให้เราเตรียมตัว ป้ายรถเมล์ข้างหน้าจะถึง และบอกให้เดินตรงไปอีกเล็กน้อยถึงโรงแรมที่พัก การแสดงความมีน้ำใจของคนสวิส  มีให้เห็นทั่วไป แต่จะพบน้อยในอิตาลี คงเป็นเพราะประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประชาชนน้อย เศรษฐกิจดี ธรรมชาติสวยงามผู้คนจึงไม่เครียด   เราเดินไปยังโรงแรมที่ค้นหาจากอินเตอร์เน็ท แต่ไม่ได้จองเอาไว้ กะว่ามาดูให้เห็นด้วยตนเอง  แล้วจึงจะจ่ายเงินค่าที่พัก ปรากฏว่าเราคิดถูกต้องทีเดียวที่ไม่ได้จองไว้ เพราะชั้นล่างของโรงแรมเป็นห้องอาหาร พลุกพล่านไปด้วยผู้คนส่งเสียงเอะอะ  ส่วนชั้นบนเป็นที่พักเราเดินเข้าไปสอบถาม ที่เคาน์เตอร์ที่เขาเก็บเงินอยู่   เขาไม่สนใจที่จะตอบ หน้าตาพนักงานคล้ายคนอิตาเลี่ยน  เราแบกเป้เดินย้อนกลับเดินข้ามถนนไปพักอีกโรงแรม  ซึ่งชั้นล่างเป็นบาร์เบียร์ ส่วนชั้นที่สองขึ้นไปเป็นห้องพัก เราขอดูห้องพักก่อน  ปรากฏว่าสะอาดและเงียบ มีชาวต่างชาติพักอยู่อีกหลายห้อง   ราคาไม่แพงนักรวมทั้งอาหารเช้าด้วย ถูกกว่าที่เราพักที่ลูเซิร์น เมื่อได้ที่พักเรียบร้อย จ่ายเงิน วางเป้และสัมภาระ เดินข้ามถนนเพื่อที่จะไปขึ้นรถประจำทางไปชมทิวทัศน์ของอินเทอลาเก้นในช่วงเย็น  รถประจำทางแต่ละคันจะมาจอดรับกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง  ผู้โดยสารมีจำนวนน้อยตรงป้ายที่คอย  มีเรายืนอยู่  2 คน  ขึ้นรถประจำทางตั้งใจจะไปร้านโคออบ (CO-OP) ที่อยู่หน้าสถานีรถไฟ  ปรากฏว่าร้านปิดตั้งแต่เวลา 18.00 น.เราตัดสินใจนั่งรถประจำทางหน้าสถานีรถไฟที่จอดอยู่ เพื่อจะกลับที่พักโดยที่ไม่ได้ดูหรือถามทางที่จะไป คิดว่าคงจะเป็นเส้นทางเดิมกับที่เราเพิ่งมาถึง   ปรากฏว่ารถเลี้ยวซ้ายพาเราไปอิเทอลาเก้นเวสท์  จะลงก็ไม่ได้  สองข้างทางเป็นป่ามืดสนิท ป้ายรถเมล์ก็ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน คนในรถมีไม่ถึง 10 คน เรานั่งไปเรื่อย  กะว่าไปให้สุดระยะทาง แล้วค่อยหาทางกลับ เพราะเราจำได้ว่า อินเทอลาเก้นออสและเวสท์อยู่ห่างกันใช้เวลาเดินทางไม่นานประมาณ  5 นาที   เรานั่งในรถประจำทางด้วยใจระทึก เพราะในขณะนั้นค่ำมืดมากแล้ว ถามพนักงานขับรถเขาก็ไม่สนใจที่จะตอบ   ทำหน้าที่ขับอย่างเดียวหรืออาจจะฟังเราไม่รู้เรื่องเลยไม่อยากตอบ นั่งไปเรื่อยๆจน  ในรถมีเรา 2 คนเท่านั้น พนักงานขับรถยังคงขับรถต่อไป   เราปลงตกเลยนั่งชมเมือง รถวิ่งผ่านทะเลสาบ แสงไฟระยิบระยับ เมื่อมองออกไปไกลๆ  เรานั่งรถไปจนสุดทาง   ไม่ยอมลงนั่งรอบนรถจนรถเมล์คันนั้นออกจากท่ารถเพื่อวนกลับไปอินเทอร์ลาเก้นออสอีกครั้ง  เดินทางไปอีกสักครู่ มีคนขึ้นมากลุ่มหนึ่งประมาณ   8 คนเขาส่งเสียงภาษาไทย   ดีใจได้พบคนไทยอีกแล้ว คราวนี้ดีใจเป็นสองเท่าเพราะเรากำลังหลงทาง   เขาก็มาสะพายเป้เที่ยวแบบเรา  ไต่ถามทางที่จะไปโรงแรมซึ่งอยู่ในอินเทอลาเก้นออส เขาบอกว่าให้ลงพร้อมเขาซึ่งรถหมดระยะทาง พวกเขาพักที่อินเทอลาเก้นเวสท์ และให้เราต่อรถอีกด้านหนึ่งและนั่งไปอีก 2-3 ป้ายก็จะถึงโรงแรมที่พัก เราลงจากรถเห็นร้านนาฬิกาเปิดอยู่ เข้าไปในร้าน เจอคนไทยที่ร้านอีก  ส่งเสียงดังฟังชัดแย่งกันซื้อนาฬิกา ของที่ระลึก  คนขายส่วนหนึ่งก็เป็นคนไทย คงจะเป็นทัวร์คณะใหญ่ เราเดินดูความงามของนาฬิกาและสินค้าภายในร้าน แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะคนซื้อมีมากกว่าคนขายหลายเท่านัก เดินไปแวะซื้อของเพื่อเป็นอาหารค่ำ  ร้านใกล้จะปิดแล้ว  ซื้อน้ำผลไม้  ไส้กรอก และขนมปังไปทานในโรงแรมที่พัก จัดสัมภาระที่จะเดินทางไปพิชิตยอดเขาจุงเฟรา  สถานที่ๆเรามุ่งมั่นจะไปชมความงาม ให้สมความตั้งใจ  

หมายเลขบันทึก: 229209เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2008 15:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 20:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอบคุณเรื่องดีแบบนี้ การอ่านเหมือนกับการเดินทางที่ประหยัด

สวัสดีครับ อาจารย์ :)

แหะ แหะ ย้าว ยาว นะครับ ... นำเสนอให้แบ่งเป็นตอน ๆ ครับ อ่านง่ายด้วยครับ :)

ขอบคุณครับ :)

ถ้าคุณมาเที่ยวกรุงเวียนนา ต้องการที่พักราคาถูก อยู่ในตัวเมือง ติดต่อที่ [email protected] หรือ โทร.0043664 427 2151 ชลดา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท