เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2549 พ.ต.ท ทักษิณ
ชินวัตรได้ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่จะถึงนี้
ทำให้ความตึงเครียดในระยะเวลากว่าสองเดือนที่ผ่านมาได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
นับเป็นการตัดสินใจที่ดีและสอดคล้องกับแนวทางสันติสมานฉันท์อันเป็นที่พึงประสงค์ของสังคมไทย
กลุ่มนักสันติวิธีที่ได้แสดงความความห่วงใยโดยตลอดต่อสถานการณ์ที่ผ่านมา
ขอแสดงความชื่นชมต่อศักยภาพของสังคมไทย
ที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้โดยยึดมั่นในสันติวิธี
และเห็นว่าเป็นโอกาสดี
ที่จะเน้นในเรื่องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
เพื่อให้เกิดสันติสมานฉันท์ที่ยั่งยืนต่อไป จึงมีข้อเสนอดังนี้
1. พรรคไทยรักไทยคัดเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้หนึ่ง
ตามกระบวนการรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
และจัดตั้งรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อดำเนินภารกิจที่สำคัญอย่างน้อย 3
ประการคือ:
ก.
แปลงเปลี่ยนความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมไทยไปสู่สันติสมานฉันท์
ที่เคารพความแตกต่างหลากหลายทางความคิดของผู้คนในสังคม
ข. เอื้ออำนวยให้มีกระบวนการที่ดี เป็นอิสระและเป็นที่ยอมรับ
เพื่อทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับความคิดเห็นและความต้องการของประชาชนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
เช่นภายใน 6 – 12 เดือน
ค.
ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุดเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว
ผลการเลือกตั้งใหม่จะกำหนดผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
2.
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การตัดสินใจทางการเมือง
การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ตามมาตรา 76
แห่งรัฐธรรมนูญ ดังนั้น
ก่อนที่คณะรัฐมนตรีช่วงเปลี่ยนผ่านจะตัดสินใจในเรื่องที่มีผลผูกพันรัฐบาลระยะยาว
หรือเกี่ยวข้องกับการลงทุนจำนวนมาก หรือมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง เช่น
เม็กกะโปรเจกต์ เอฟ ที เอ ฯลฯ
ควรมีการรับฟังและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเพียงพอจากประชาชนโดยตรง
หรือโดยผ่านองค์กรภาคประชาสังคมหรือองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
3. เนื่องจากความขัดแย้งมีที่มาส่วนหนึ่งจากข้อสงสัย
เช่นการขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ดังนั้น
เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้
จึงควรแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม
เพื่อตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว
4.
เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาที่คงจะมีสมาชิกฝ่ายค้านจำนวนน้อยมาก
ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาร่างกฎหมายเป็นไปด้วยความรอบคอบ
และมีการตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ตามสมควร
จึงควรที่จะมีการกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมของผู้ทรงคุณวุฒิจากบุคคลภายนอก
ที่จะทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการวิสามัญและอนุกรรมาธิการสามัญ
5. รัฐสภาควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 313 โดยเร็ว
เพื่อให้มีคณะบุคคลมายกร่างการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
คณะบุคคลดังกล่าวอาจมาจากการเลือกกันเองของบุคคลกลุ่มต่างๆ เช่น
กลุ่มวิชาชีพ ชุมชนท้องถิ่น ผู้สนใจจากแต่ละจังหวัด
และทรงคุณวุฒิทางกฎหมายมหาชน รัฐศาสตร์ และทางศาสตร์สาขาต่างๆ
เป็นต้น
6.
ประเด็นเฉพาะหน้าประเด็นหนึ่งที่ควรให้มีการเสนอความคิดเห็นจากประชาชนอย่างกว้างขวาง
คือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านนี้
ควรที่มีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร ทั้งนี้ อาจใช้กระบวนการ
“สานเสวนาประชาชน” เป็นต้น
กลุ่มนักสันติวิธี
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
วันชัย วัฒนศัพท์
สงวน นิตยารัมภ์พงศ์
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
โคทม อารียา
5 เมษายน 2549
หมายเหตุ
เป็นเอกสารแถลงข่าวของ “กลุ่มนักสันติวิธี”
ซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วย โดยเปิดการแถลงข่าวที่
สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อ 5 เม.ย. 49
คณะผู้แถลงข่าวประกอบด้วย (1) รศ.ดร.โคทม อารียา
ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล (2)
ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์
ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า และ
(3) ผม
ในฐานะประธานกรรมการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม
(ศูนย์คุณธรรม) สังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
(องค์การมหาชน)
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
5 เม.ย. 49