บำบัดโรคด้วยอาหาร


บำบัดโรคด้วยอาหาร

  1. กินอาหารชีวจิตกันไหม

          ลองกินอาหารชีวจิตโดยใช้สูตรดังนี้คือ กินข้าวกล้อง (หรือข้าวแดง หรือข้าวซ้อมมือก็ได้)  ปริมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ต่อมื้อ  ผักนานาชนิด  ปริมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ โปรตีนจากพืช (ถั่งเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ และเต้าหู้) 25 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ  ในจำนวนโปรตีน 25 เปอร์เซ็นต์นี้  ให้กินปลาได้อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง  และเบ็ดเตล็ด  10 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งได้แก่ อาหารกินเล่น เช่น สาหร่ายทะเล  เมล็ดพืชอบแห้ง (เช่น เมล็ดทานตะวัน  เมล็ดฟักทอง)  ถั่ว หรือผลไม้ที่ไม่หวาน เช่น ชมพู่ ฝรั่ง

2. งดของหวานโดยเด็ดขาด

          คนที่กินแป้งขาวมานาน ๆ กินหวานบ่อย ๆ จะมีอาการติดแป้งขาว  ติดหวาน  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ  ส่งผลให้มีอาการปวดหัวไมเกรน  ดังนั้นถ้าให้เลิกกินหวานอย่างเด็ดขาด อาจจะทำให้หงุดหงิด อารมณ์เสีย และเลิกไม่ได้ในทันที  วิธีแก้คือ ลองใช้น้ำแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น ดื่มวันละ 2-3 แก้ว  จะช่วยให้หายหงุดหงิดได้  ระหว่างนั้นต้องตั้งเป้าว่าจะค่อย ๆ ลดการกินหวานลง กะเวลาให้ตัวเองว่าจะงดให้ได้ภายใน 2 อาทิตย์  แล้วค่อย ๆ ลดลง  จนถึงเวลา 2 อาทิตย์ก็จะลดลงได้เด็ดขาด

3. เหตุผลดี ๆ เมื่อกินข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือ

          นิวโรทรานสมิตเตอร์ (neurotransmitter) หรือสารส่งผ่านประสาท เป็นสาระสำคัญของสมอง  มีหน้าที่เป็นตัวเชื่อมที่ทำให้ส่วนต่าง ๆ ของสมองติดต่อกันและทำงานร่วมกันได้ 
ถ้าไม่มีสารตัวนี้  สมองก็เหมือนคอมพิวเตอร์ซึ่งสายไฟเสีย  เครื่องพังไม่ทำงาน  ถ้านิวโรทรานสมิตเตอร์ทำงานได้ดี  สมองทุกส่วนจะดีตามไปด้วย  ดังนั้นเราจะต้องหาอาหารดี ๆ ไปเลี้ยงนิวโรทรานสมิตเตอร์ อาหารที่ว่านี้คือกลูโคส 
กลูโคสมาจากคาร์โบไฮเดตด  คาร์โบไฮเดรดที่ดีมาจากข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือ  เพราะจะสร้างกลูโคสที่ดีไปเลี้ยงสมอง  กินข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องจึงได้สมองที่แจ่มใส

4. ดื่มน้ำอาร์.ซี. เพิ่มความสดชื่น

ถ้าคุณมีอาการเพลียบ่อย ๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ อีกทั้งยังมีอารมณ์หงุดหงิดร่วมด้วย  เบื่อไปหมดทุกอย่าง  สาเหตุนั้นเป็นเพราะน้ำตาลในเลือกของคุณตกอยู่ตลอดเวลา  หากมีอาการแบบนี้  ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอาร์.ซี.
น้ำอาร์.ซี. เป็นน้ำที่ดื่มเพื่อความกระปรี้กระเปร่า  ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย  เพราะมีส่วนประกอบของกลูโคส (น้ำตาล) DNA และ RNA  จากธรรมชาติ  เหมาะกับทุกคน
สำหรับผู้ที่มีอาการไฮโปไกลซีเมีย ให้ทำน้ำอาร์.ซี.  ใส่กระติกน้ำร้อน  ดื่มครั้งละค่อนแก้ว วันละ 3-4 ครั้ง

5. ดื่มน้ำเอนไซม์ (enzyme)

หลังตื่นนอนทุกเช้าเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการดื่มน้ำเอนไซม์  ทั้งนี้เพื่อปรับสมดุลให้กับร่างกาย  โดยเลือกผักผลไม้ที่มีสรรพคุณเป็นยา เช่น มะระ เซเลอรี่  หรือแครอท ด้วยวิธีการใช้เครื่องปั่นแยกกาก (juicer) และควรดื่มทันทีภายใน 15-30 นาที หลังทำเสร็จ
หากจะเลือกให้ได้ประโยชน์คุ้มค่าและราคา  เราควรทำน้ำเอนไซม์จากผักผลไม้ในฤดูกาลนั้น ๆ ลองมาดูประโยชน์กัน
แครอท  ช่วยในการล้างไขมันและการทำงานของตับ
ขึ้นฉ่ายหรือเซเลอรี่  ช่วยทำให้เลือดสะอาดขึ้น
ช่วยในการเผาผลาญคอเลสเทอรอล
มะระ   ช่วยฟอกเลือดและการทำงานของไต
แคนตาลูปหรือแตงโม  ช่วยในการทำงานของไต
ตำลึง  ช่วยสมานแผลในกระเพราะอาหาร

6. ประโยชน์จากมะนาว

มะนาวเป็นผลไม้สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่แนะนำให้กินเพราะเป็นตัวกระตุ้นการทำงานและฟื้นฟูตับชั้นดี  ซึ่งตับมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด  ตับที่อ่อนล้า ทำงานหนักเกินไป เริ่มหมดสภาพหรือทำงานผิดปกติ   จะเป็นสาเหตุของการทำงานที่ผิดปกติของระบบย่อยและดูดซึมน้ำตาล   โปรแกรม 3 วันเพื่อล้างพิษในตับ ด้วยการดื่มน้ำสะอาดผสมน้ำมะนาว 1 แก้ว ทุก ๆ สองชั่วโมง เป็นวิธีสุดยอดในการคืน “สุขภาพ”  ให้กับตับที่เริ่มจะแข็งเต็มไปด้วยสารพิษ  หรือที่เริ่มทำงานผิดปกติไปแล้ว

7. นมเปรี้ยว อร่อยและย่อยง่าย

นมที่ใช้บริโภคได้ดีที่สุดคือนมเปรี้ยว ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน  เพราะนมเปรี้ยวที่ผ่านการหมักทุกชนิดมีคุณค่าทางอาหารและช่วยเสริมสุขภาพได้ไม่แตกต่างกัน  อีกทั้งนมเปรี้ยวแต่ละชนิดยังมีส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ ระบบย่อย  และระบบขับถ่ายของร่างกายด้วย  เหตุที่นมเปรี้ยวดีกว่านมสดก็เพราะนมเปรี้ยวผ่านกระบวนการ “ย่อย” มาแล้วชั้นหนึ่ง  ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่าย

8. ความหวานจากน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งธรรมชาติที่ไม่ผ่านการกลั่น กรอง หรือความร้อน  เป็นสารให้ความหวานชนิดเดียวที่อนุญาตให้ผู้ป่วยไฮโปไกลซีเมียบริโภคได้แต่ในปริมาณเล็กน้อย  คือประมาณวันละ 1 ช้อนชา  และครั้งละไม่เกินครึ่งช้อนชาเท่านั้น  โดยใช้เติมในชาสมุนไพรหรือในอาหาร   ขนาดบริโภคนี้สำหรับเด็กและคนชราทั่วไป  น้ำผึ้งประกอบด้วยคุณค่าทางยาหลายประการ  ที่สำคัญคือช่วยปรับสภาพตับ ไต และระบบการไหลเวียนของเลือด  หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะจะไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

9. จิบน้ำชาสมุนไพรกันไหม

ลองเปลี่ยนจากการดื่มกาแฟยามบ่าย  เป็นการจิบชาสมุนไพรร้อน ๆ จะได้ทั้งประโยชน์และกลิ่นหอมละมุน เช่น
เตยหอม  หั่นใบสดแล้วนำไปคั่วไฟอ่อน ชมดื่ม มีสรรพคุณบำรุงหัวใจและขับปัสสาวะ
มะตูม  ผลมะตูมดิบหั่นเป็นแว่นตากแดด  แล้วหั่นเป็นชิ้น  คั่วให้หอม  ชงดื่ม ช่วยเจริญอาหาร  แก้จุกเสียดแน่นท้องลดกรดในกระเพาะอาหาร
ขิง  ใช้ขิงแก่ล้างน้ำปอกเปลือก ทุกพอแหลก  ต้มในน้ำเดือดราว 2-5 นาที น้ำขิงมีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุในร่างกาย ขับลม ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้อาการเมารถ มีฤทธิ์แก้ปวดข้อ
ตะไคร้  หั่นตะไคร้ 3-5 ต้นเป็นท่อนสั้น ทุบให้แตก ใช้น้ำลิตครึ่งต้มให้พอเดือด กรองเอาแต่น้ำดื่ม  หรือใช้เหง้าแก่ฝานเป็นแว่น  คั่วไฟอ่อน ๆ ชงเป็นชา  น้ำตะไคร้มีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา บำรุงกระดูกและฟัน  ดื่มแก้ท้องอืด ขับลม ลดความดันโลหิต ช่วยขับเหงื่อ ลดพิษของสารปนเปื้อนในร่างกาย

10. mixed nuts อร่อยได้สุขภาพ

คนที่ชอบรับประทานของขบเคี้ยวหรือสแน็คอยู่เป็นประจำ  ลองเปลี่ยนมากินถั่วคลุกหรือมิกซ์นัท สูตรอาฉินโฉม  อินทรกำแหง กันดู  เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกต่างหาก  จัดเป็นของกินเล่นที่อยู่ในหมวดเบ็ดเตล็ดที่ชีวจิตแนะนำให้รับประทานประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ในหนึ่งมื้อ
วิธีทำแสนง่าย  เริ่มด้วยเตรียมส่วนผสม 2 ส่วน คือ ถั่วชนิดต่าง ๆ งาขาว ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า  ทั้งหมดปริมาณตามชอบ  วิธีทำคือ

  1. อบหรือคั่วถั่วลิสง  อัลมอนด์และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้สุก ไม่ใช่การทอดเพราจะอมน้ำมัน  นำมาผสมรวมกับเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และถั่วทอง (ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก)  ซึ่งเป็นชนิดคั่วสำเร็จมาแล้ว  ปริมาณตามต้องการ
  2. นำงาขาวที่คั่วสุกแล้วมาคลุกรวมกับผลไม้แห้งทั้งหมด  มีกล้วยตาก (ไม่อบน้ำผึ้ง)  มะละกอแห้ง สับปะรดแห้งและลูกเกด
  3. คลุกเคล้าถั่วจากข้อ 1 และผลไม้แห้งจากข้อ 2 ให้เข้ากัน  แค่นี้ก็ได้มิกซ์นัทพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

เคล็ดลับความอร่อยคือไม่คลุกทิ้งไว้ก่อน  เพราะถั่วจะไม่กรอบ

  1. ผักผลไม้ต้านอาการเพลีย

สารอาหารที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อการเกิดอาการเพลีย เหนื่อยล้า ได้แก่ วิตามินบี 6 วิตามินซี ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม ลองมาดูแหล่งอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารเหล่านี้กัน
วิตามินบี 6  มีมากในถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) กล้วย  กะหล่ำปลี ยีสต์ นมข้าวโพด
วิตามินซี  มีมากในผลไม้ตระกูลส้ม พริกหวาน บรอกโคลี มะเขือเทศ ใบทองหลาง มะขามป้อม หัวหอม งา ใบมะยมอ่อน ผักกระเฉด แครอท
ธาตุเหล็ก  มีมากในปลา ถั่ว เต้าหู้ ผักใบเขียวจัด น้ำลูกพรุน ดอกและใบขี้เหล็ก  มะเขือพวง น้ำตาลทรายแดง รำข้าว งา
แมกนีเซียม  มีมากในธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) ถั่วเมล็ดแห้ง ผักใบเขียว จมูกข้าวสาลี งา

2. ดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง

น้ำดื่มที่ดีที่สุดคือน้ำเปล่าสะอาดบริสุทธิ์  ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำแร่  เพราะในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปมีแร่ธาตุวิตามินอยู่แล้ว  และไม่ควรดื่มน้ำเย็น  น้ำธรรมดาหรือน้ำที่อุณหภูมิห้องเหมาะสมที่สุด  เพราะร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที  แต่การดื่มน้ำเย็นหรือเย็นจัด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหลังรับประทานอาหาร  หรือเวลาออกกำลังกาย  ซึ่งร่างกายกำลังระบายความร้อน  บางครั้งมักเกิดอาการจุกหน้าอก  เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเกิดการหดตัว  กว่าจะคลายตัวและเกิดการดูดซึมได้ต้องเสียเวลาในการปรับอุณหภูมิก่อน

3. วิตามินธรรมชาติแก้เครียด

คนเครียดต้องการวิตามินและเกลือแร่เสริม  กลุ่มวิตามินบีช่วยเสริมระบบภูมิต้านทานและระบบประสาทของร่างกาย  โดยเฉพาะวิตามินบี 6 ซึ่งควบคุมการหลั่งสารเคมีในสมองที่จำเป็นต่อการบรรเทาความเครียด เช่น สารซีโรโทนิน  แถมยังช่วยเพิ่มระบบภูมิต้านทานเวลาที่ร่างกายเครียดด้วย
อาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 6 ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน ปลาทูน่า ถั่วชิกพี ปลาแซลมอน ข้าวกล้อง และกล้วย
นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ร่างกายใช้วิตามินซีที่สำรองไว้ไปอย่างรวดเร็ว  คุณจึงควรรับประทานผักผลไม้สดอย่างบรอกโคลี กะหล่ำปลี ส้ม ฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซีให้มากขึ้น

4. วิตามินเสริมพลัง

ถ้าคุณมีอาการมากกว่า 5 อาการขึ้นไป ขอให้คุณใช้สูตรวิตามิน อาหารเสริมดังนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน  เบต้าแคโรทีน 500 IU และวิตามินดี 1,000 IU วันละครั้งหลังอาหาร  วิตามินบีคอมเพล็กซ์ 50 หรือ 100 มิลลิกรัม เช้า – เย็น  หลังอาหาร  วิตามินบี 1 และบี 16 อย่างละ 100 มิลลิกรัม เช้า – เย็น หลังอาหาร  วิตามินบี 12 300 ไมโครกรัม เช้า หลังอาหาร อาหารเสริม  น้ำเต้าหู้ขาวชนิดไม่ใส่ไข่  อาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือน้ำเต้าหู้ (ไม่ใส่น้ำตาล) หนึ่งแก้ว  วันเว้นวัน

5. ล้างผักล้างพิษ

การทำความสะอาดผักเพื่อลดปริมาณสารพิษนั้นมีหลากวิธี เช่น

  1.  
    1. ล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง โดยวิธีให้น้ำไหลผ่าน (ไม่ใช่การแช่ในภาชนะ) อาจลดปริมาณสารพิษได้ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์
    2. ล้างด้วยน้ำยาล้างผักจะลดได้ 25 เปอร์เซ็นต์
    3. ลวกน้ำร้อนสามารถลดได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ผักจะลดคุณค่าอาหารลงไปอย่างมาก
    4. การต้ม  สารพิษถูกกำจัดได้ 50 เปอร์เซ็นต์  แต่ก็งอยู่ในน้ำต้มผัก
  2. 6. กินมื้อเล็กหลาย ๆ มื้อแทนมื้อหลักแค่ 2-3 มื้อใหญ

ควรกินอาหารมื้อเล็ก ๆ ระหว่างมื้อใหญ่  ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ นมเปรี้ยว แตงโมหรือผักสด  เช่น แตงกวา มะเขือเทศ  แครอท  หรือกล้วยน้ำว้า  การกินของว่างระหว่างวันยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย  จากผลการศึกษาพบว่า  พลังงาน 1,500 แคลอรี  ที่ได้จากอาหารเพียงหนึ่งหรือสองมื้อจะแปลงเป็นไขมันสะสมในร่างกาย  ขณะที่พลังงาน 1,500 แคลอรีจากอาหารมื้อย่อย ๆ หกมื้อ ทุก ๆ สองหรือสามชั่วโมง  นอกจากจะไม่ช่วยเพิ่มน้ำหนักแล้ว  ยังอาจทำให้น้ำหนักลดได้อีกด้วย

7. เนื้อปลา โปรตีนย่อยง่าย

การกินปลาที่มีกรดโอเมก้า-3  เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาช่อน ปลาสำลี ปลาจะละเม็ด ปลาทู  เฉลี่ยอาทิตย์ละ 3 ครั้งนั้น  จะมีผลในการป้องกันโรคหัวใจอุดตันได้อีกประการหนึ่ง  เพราะโอเมก้า-3  สามารถป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มและไหลเวียนอย่างสะดวก  และทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น

8.  กินผักพื้นบ้าน

ผักสดเกือบทุกชนิดได้รับการฉีดสารเคมีกำจัดแมลงมากบ้างน้อยบ้าง  เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง  พยายามเลือกซื้อผักจากแหล่งปลูกที่เชื่อถือได้  ไม่ซื้อผักที่ใบ ต้นสวย ๆ เพราะอาจพ่นและฉีดยากำจัดแมลงอย่างแรง  ควรเลือกกินผักพื้นบ้านที่มีความแข็งแรงและไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉีดพ่น เช่น หน่อไม้ กระถิน สะเดา ตำลึง มะกรูด สายบัว ดอกโสน ดอกแค มะระ  เพื่อลดการสะสมสารพิษในร่างกายของเรา

9.  กินดีได้ดีแบบถั่ว ๆ

กินถั่วเมล็ดแห้งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ซึ่งมีใยอาหารชนิดละลายน้ำได้สูง  ใยอาหารชนิดนี้ช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอล นอกจากนี้ถั่วดังกล่าวยังมีโปรตีนสูง  ใช้แทนเนื้อสัตว์ใหญ่ได้  เพื่อเป็นแหล่งของโปรตีน   การลดเนื้อสัตว์ใหญ่ก็จะช่วยลดปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ร่างกายได้รับการรับประทานโปรตีนถั่วเหลืองวันละ 25 กรัม  จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ    โดยช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอลได้ประมาณร้อยละ 5-6 มิลลิกรัมต่อเดชิลิตร

10. แกงกะทิเพื่อสุขภาพ

กะทิคั้นจากมะพร้าวเป็นอาหารต้องห้ามของคนรักสุขภาพ  เพราะว่ากะทิมีไขมันชนิดอิ่มตัว  ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่เหมาะสม  กินเข้าไปมาก ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงทั้งโรคอ้วนและไขมันอุดตันในเส้นเลือด  ดังนั้นเรามีวิธีทำแกงกะทิสูตรใหม่เพื่อเอาใจคนรักสุขภาพ วิธีทำง่ายนิดเดียว  เริ่มจาก

  1.  
    1. ปั่นข้าวอาร์.ซี. ที่ได้จากการต้มน้ำอาร์.ซี ให้ละเอียด พักไว้
    2. ผัดเครื่องแกงกับน้ำเต้าหู้เล็กน้อยให้เหลืองหอม  จากนั้นใส่เนื้อปลาหรือโปรตีนเกษตรลงไปผัดจนสุก
    3. เติมข้าวอาร์.ซี. ปั่นและน้ำเต้าหู้ที่เหลือตามลงไป  เมื่อเดือด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายแดง และใส่มะเขือหรือฟักตามชอบ

เท่านี้ก็อร่อยแบบกะทิสุขภาพแล้ว

หมายเหต      ข้าวอาร์ซี กับ น้ำ อาร์.ซี , น้ำเอ็นไซน์  หากอยากรู้ต้องติดตามตอนต่อไป 

ที่มา :  หนังสือชีวจิต ฉบับวันที่ 16 ตุลาคม 2549

คำสำคัญ (Tags): #kmanw#kmanw3
หมายเลขบันทึก: 224586เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2008 23:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน 2012 16:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ตั้งแต่ ครูอ้อยอายุขึ้เลข 5 ครูอ้อยจะควบคุมอาหาร เวลาอยู่คนเดียว ที่เลือกกินได้
  • แต่เวลากลับมาบ้าน ลูก หรือสามี ทำอะไรให้กิน ครูอ้อยก็ต้องกิน...เลือกไม่ได้ค่ะ
  • ครูอ้อย นึกถึง พระพุทธเจ้า ที่ต้องรับ อาหารทุกอย่างที่คนมาถวาย  ไม่ขัดศรัทธา
  • แต่หาก  สมาชิกในบ้าน  รักและรู้  ก็น่าจะมีอาหารที่ดีมาให้กันและกันนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ ครูอ้อยจะอ่านต่อไปนะคะ ข้อมูลที่ดีต่อชีวิตค่ะ

เป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตจริง ๆ แต่ทำไม คนส่วนมากทำไม่ได้ แล้วจอยก็เป็นคนส่วนมากนั้นด้วยสิ

ก็มันรู้สึกว่า ไม่อร่อย แหะ ๆ แต่ก็เคยกินอยู่ช่วงนึงเพราะเพื่อนกินมังสวิรัต แต่พอเพื่อนเลิกกิน ก็เลยไม่ค่อยได้กิน และอีกอย่างหากินยาก(เวลาพักเที่ยง ร้านมันอยู่ไกลจากที่ทำงาน) จะทำเองก็ทำไม่เป็น เฮ่อ แต่ถ้ามีโอกาสก็ชอบกินค่ะ เพราะรู้สึกสบายใจดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท