วันนี้ฉันได้รับเปิดอ่าน mail ของเพื่อนคนหนึ่งที่ส่งมาให้ด้วยความปรารถนาดี ซึ่งในความรู้สึกของฉันเขามีความคิดและความรู้สึกที่ผูกพันมากกับการดำเนินไปของสภาพสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ฉันอาจจะเห็นในบางเรื่องเหมือนเขา แต่อาจจะมีบางมุมมองที่ต่างออกไป ถึงฉันจะไม่ได้มีบรรพบุรุษที่ใกล้ชิดเป็นชาวนา แต่ ณ ปัจจุบัน สามีของฉันก็มีอาชีพเป็นชาวนาและเป็นเกษตรกรของชาติเช่นเดียวกัน ฉันจะขออนุญาต นำข้อความที่เขาส่งมาให้ท่านที่สนใจได้อ่านแล้วรอพิจารณาดูว่า ทำไมเหตุการณ์นี้ถึงเกิดกับชาวนาไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผื่อเราอาจจะมีแนวทางดีดี เพื่อคนไทยกลุ่มหนึ่งได้ เช่นเดียวกัน "อวิชชา และความเห็นแก่ตัวของชนชั้นกลางในสังคมไทย
นักวิชาการชาวนา
ชาวนา คือ กระดูกสันหลังของชาติ เป็นผู้ผลิตข้าวเพื่อเลี้ยงชาวโลก เสาหลักของชาติไทย ถ้อยคำหรูหราที่ได้รับบ่มเพาะจากครูอาจารย์ตั้งแต่สมัยประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา ผมได้รับโอกาสทางการศึกษาจากโรงเรียนประถมเล็กๆในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ สมัยประถมศึกษา(ผมเรียนในรุ่นที่ไม่มีระดับอนุบาล กะว่าพอเอามือคร่อมศีรษะแล้วมาจับหูได้ ก็ถือว่าสามารถเข้าเรียน ป.๑ได้) มีโอกาสเข้าไปเมืองประมาณปีละ ๑ ครั้ง หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ แม่จะนำข้าวก้นลานซัก ๑ – ๒ กระสอบไปขายที่ตัวอำเภอได้เงินไปซื้อเสื้อผ้าให้คุณพ่อ ผม และน้องๆ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมมีความสุขแค่ไหน ขนมจากอำเภอมันช่างอร่อยเหลือเกิน เสื้อผ้าใหม่ กางเกงกีฬาใหม่ ที่มีกลิ่นอายของผ้า เป็นสิ่งที่ดูดดื่มมากสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีโอกาสเข้าเมืองเพียงปีละ ๑ ครั้ง
ผมไม่มีโอกาสรู้มากนักว่าแม่ขายข้าวก้นลานได้เท่าไร จำได้แต่ว่าเวลาไปขายข้าว เมื่อพ่อค้าสั่งให้ลูกจ้างยกข้าวขึ้นตาชั่ง แล้วก็บอกแม่ว่ากี่กิโล คำนวณเงินเสร็จให้แม่ถือใบกระดาษเขียนตัวเลขซักอย่างไปรอรับเงินอีกห้องหนึ่งที่มีผู้หญิงวัยกลางคน ผิวขาวรอจ่ายเงิน แม่นำกระดาษใบนั้นไปยื่นด้วยท่าทางที่นอบน้อม แล้วมานั่งรอเขาเรียกชื่อไปรับเงิน แม่ยกมือไหว้รับเงินจากเขาคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจูงมือลูกไปขึ้นรถและพานั่งชิดในเพื่อความปลอดภัย รถนำเราแล่นจากโรงสีมาถึงตัวตลาด เด็กน้อยคนหนึ่งรำลึกสิ่งที่เกิดขึ้นได้เพียงความจำ รับรู้ภาพที่เกิดขึ้นด้วยภวังค์ที่มิอาจลืมเลือนถึงเรื่องราว ชีวิตของชาวนาไทย ผ่านคุณแม่และคุณพ่อ คนที่สังคมไทยยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ข้าวก้นลานที่ออกจากที่นา มันเป็นรางวัลแห่งความเหน็ดเหนื่อยของคุณแม่ คุณพ่อ และลูกๆทุกคน ผมบรรจงกวาดข้าวทุกเมล็ดที่ปนอยู่กับดินใส่กระสอบปุ๋ย เสียงคุณแม่เตือนว่าอย่าให้ดินติดมาเยอะเดี๋ยวจะถูกโรงสีหักราคา ผมถามว่าเขาหักราคาเท่าไร แม่บอกว่าไม่รู้หรอก เวลาขายเขาจะบอกเอง ภาพที่คุณแม่รับเงินด้วยกิริยาที่นอบน้อม ผมไม่รู้ว่าแม่มีทีท่านอบน้อมเพราะแม่รู้สึกขอบคุณเขาหรือแม่รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย เพราะแม่ไม่ได้เรียนหนังสือ แม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปเรียนได้ ป. ๒ ก็ออกไปเลี้ยงควายกับเพื่อนๆ ไปๆมาๆก็ออกมาเลี้ยงควายและช่วยงานที่บ้านเต็มตัว แม่เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านไม่ได้ แต่แม่ขอแค่ให้สามารถเขียนชื่อตนเองได้ เวลาจะเขียนชื่อ สกุลตนเอง ผมต้องเอากระดาษเขียนเป็นตัวอย่างให้แม่ดู แม่ก็จะค่อยๆวาดตัวหนังสือตามที่เขียนให้ดู
วันนี้ที่เติบใหญ่เป็นหนุ่มใหญ่ ได้รับโอกาสทางการศึกษามาบ้าง วันที่ผมได้กลายเป็นชนชั้นกลางในสังคมไทย เป็น “มนุษย์ซีดินา” และในอนาคตอันใกล้ผมก็จะเป็น “มนุษย์แท่งดินา” ผมไม่รู้หรอกว่าซีดินาหรือแท่งดินามันต่างกันอย่างไร เพราะมันก็เป็นผมคนเดิม ชื่อ - สกุลเหมือนเดิม ทำงานที่เดิม ยีนในตัวเหมือนเดิม มิได้มิวเตชั่นใหม่ แต่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(กพ.)เขาบอกว่ามันจะดีขึ้น ยอดเยี่ยมขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ได้ ผมว่า กพ.ประเทศไทยคงเป็นยิ่งกว่าผู้วิเศษ เพราะสามารถเสกคนแบบเดิมๆ จากซีดินา ไปเป็นแท่งดินา แล้วอะไรๆก็ดีขึ้นในชั่วข้ามคืนหลังการยกเลิกระบบซีแล้วเข้าสู่ระบบแท่ง ภาพของคนชั้นกลาง คือ กลุ่มคนที่มีความรู้ มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง ฐานะปานกลาง เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างมีความสุข มีสำนึกต่อความทุกข์ยากและความเป็นไปทางสังคมสูงมาก แต่แล้วในปีนี้เอง ผมเริ่มตั้งคำถามถึงความเชื่อเหล่านี้ พลันที่เห็นภาพของชนชั้นกลางออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช ออกมาตรการแซงชั่นราคาข้าวสารในท้องตลาดที่กำลังสูงขึ้น ด้วยเหตุผลเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แต่ชาวนาละใครจะคุ้มครอง
ในครอบครัวชนชั้นกลางในกรุงเทพ โดยทั่วไปมีสมาชิก ได้แก่ พ่อ แม่ และลูก ๒ คน ซื้อข้าวสารมาถุงหนึ่ง ๕ กิโลกรัม รับประทานได้ประมาณ ๕ วัน เฉลี่ยวันละ ๑ กิโลกรัม ในช่วงแรกข้าวสารราคากิโลกรัมละ ๒๐ - ๒๕ บาท ก็จ่ายค่าข้าวสารวันละ ๒๐ - ๒๕ บาท ต่อมาเมื่อประเทศผู้ส่งออกข้าว เช่น เวียดนาม อินเดีย มีผลผลิตส่งออกสู่ตลาดน้อยลง ปริมาณข้าวภายในประเทศมีน้อย ทำให้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นประมาณกิโลกรัมละ ๒๐ บาท ชาวนาพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง ช่วงนี้เองข้าวสารสูงขึ้นประมาณกิโลกรัมละ ๓๕ - ๔๐ บาท คนชั้นกลางในสังคมไทยถึงอดทนไม่ได้ ออกมาเรียกร้องว่าตนเองประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วชนชั้นกลางเพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มวันละ ๑๕ บาท เท่านั้น ซึ่งมันก็มีมูลค่าเท่ากับเครื่องดื่มชาเขียว, กาแฟกระป๋อง, เครื่องดื่มบำรุงกำลัง, น้ำอัดลมกระป๋อง หรือซุปไก่ แค่ ๑ ขวดที่ชนชั้นกลางนิยมดื่มกินอย่างสนุกสนาน และกินกันวันละหลายๆขวดด้วย แปลกไหมครับ คนชั้นกลางรู้สึกรับไม่ได้กับการยอมจ่ายค่าข้าวสารซึ่งเป็นอาหารหลักเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเพื่อช่วยชาวชาวนา แต่ยินดีจ่ายเงินของครอบครัวเพิ่มขึ้นวันละ ๑๕ – ๓๐ บาท เพื่อซื้อเครื่องดื่มที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ และเม็ดเงินที่จ่ายไปก็ลงไปสู่มือของนายทุนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ผมเพียงแค่คิดว่าถ้าชนชั้นกลางจะยอมลดหรือเลิกกินเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์มากนัก และไม่ใช่อาหารหลักเหล่านี้ เขาจะมีเงินเหลือวันละ ๑๕ – ๓๐ บาท ไปซื้อข้าวสารในราคาที่ขึ้น ถ้าข้าวสารราคาสูงถึงกิโลกรัมละ ๔๐ บาท ชาวนาจะสามารถขายข้าวเปลือกได้ในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๒๐ บาท ซึ่งในฐานะลูกชาวนาตอบได้เลยว่าชาวนาจะอยู่ได้ เลี้ยงตนเองได้ ส่งลูกเรียนต่อได้ ใช้หนี้ใช้สินได้ สามารถแก้ปัญหาสังคมด้านอื่นๆได้มากมาย สังคมโดยรวมจะดีขึ้น ทุกข์ของชาวนาหรือทุกข์ของแผ่นดินจะลดลง สังคมไทยจะน่าอยู่กว่านี้ครับ
ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นและการกระทำของชนชั้นกลางในช่วงที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลของอวิชชา(ความไม่รู้) หรือ ความเห็นแก่ตัวก็ตาม สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อชาวนาไทยอย่างรุนแรง และแน่นอนที่สุดครับมันได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อชาติไทย(ชาติที่กระดูกสันหลังไม่แข็งแรง มันจะเข้มแข็งได้อย่างไร) เลิกพูดเถอะครับว่าโรงสีข้าวเอาเปรียบชาวนา ชาวนาขี้เกียจถึงทำให้จน ชาวนาโง่ เพราะมันเป็นแผ่นเสียงตกร่องหรือนิยายน้ำเน่าไปแล้ว แต่นิยายสดหรือแผ่นเสียงใหม่ คือ อยากให้ชนชั้นกลางเสียสละเพื่อชาวนาบ้าง ก็แค่นี้แหละ" นี่คือ บทความที่กลั่นจากความรู้สึก ฉันว่า เขาคงรู้สึกอะไรบางอย่างที่ฉันอาจจะไม่สามารถรู้สึกได้เหมือนเขา แต่คงต้องคิดได้ในสักวัน
ไม่มีความเห็น