ใครๆก็รู้…การที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างมันยากสักแค่ไหน?????? ยิ่งบอกว่าต้องทำงานอย่างเป็นระบบ ก็รู้สึกหนักใจ หนักใจกับระบบที่ไม่คุ้นเคย “ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน”
โอ้โฮ!!! เอกสารอะไรทำไมเยอะแยะมากมาย ใครจะทำกันไหวล่ะ ?????? ไม่เคยมีการยอมรับอะไรเกิดขึ้นในสมอง ทำไปทำไม??? ทำเพื่ออะไร ??? เพื่อมีหลักฐานร่องรอยไว้รอรับการประเมินตามขั้นตอนของระบบดูแลหรือ????? เอาไว้เพื่อผ่านการประเมินเป็นโรงเรียนต้นแบบ
หรือว่าโรงเรียนเหรียญทองเท่านั้นหรือ???? ถูกต้องแล้วสำหรับบุคคลที่ไม่รู้จักระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างแท้จริง “แท้จริง” ในที่นี่หมายถึง ลงมือทำด้วยตนเอง ถูกต้องแล้วสำหรับบุคคลที่ทำระบบดูแลแค่เอกสาร วันหนึ่งก็นั่งนึกเอาว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นอย่างนั้น เด็กคนนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ขีดๆเขียนๆเอา ซึ่งฉันคนหนึ่งก็เคยเป็นเช่นนั้น แล้วก็รู้สึกเบื่อไม่อยากจะทำงานนี้เลย ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์อะไรสักนิด พอหมดการประเมินหรือจบปีการศึกษาก็ปล่อยให้มันผ่านไปแล้วพอเปิดเทอมใหม่ก็….วุ่นวายอีกเหมือนเคย
ก็ด้วยความสับสนปนขี้เกียจ!!!!! ผ.อ. ของโรงเรียนฉันจึงได้เชิญ ศ.น. จากเขตพื้นที่การศึกษามาจัดการอบรมให้กับคณะครูที่โรงเรียนโดยตรง ก็ได้จุดเริ่มต้นในการทำงานตามขั้นตอนของระบบดูแล (จริงๆแล้วก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่อยากทำ อันไหนมันเสร็จเร็ว ก็ทำก่อนมันง่ายดี)
เรื่องเยี่ยมบ้านไม่ต้องพูดถึง…ใครจะไป ตอนเย็นก็ต้องรีบกลับบ้าน ( เพราะบ้านฉันไม่ได้อยู่ในโรงเรียน) ธุระตอนเย็นก็เยอะแยะอยู่แล้ว ความจริงเราคนเรามีสองด้านค่ะ ด้านหนึ่งขาว ด้านหนึ่งดำ แต่ส่วนใหญ่ฉันคงจะแสดงด้านดำให้เห็นมากกว่า ซึ่งสิ่งนั้นน่าจะเป็นเหตุผล เหตุผลที่คนเรามักเข้าข้างตัวเองเสมอ อ้อ!!! แต่ว่าด้านขาวของฉันก็มีอยู่นะคะ “สำนึก” ยังไงล่ะ สำนึก คือเสียงเล็กๆที่คนเราไม่ค่อยฟัง (จำมาจากการ์ตูนเรื่อง พิน็อคคิโอ) สำนึกของฉันบอกว่าน่าจะลองแบ่งเวลาไปเยี่ยมบ้านนักเรียนบ้าง
การเยี่ยมบ้านครั้งแรก…ก็เกิดขึ้นกับเด็ก 2-3 คน (เลือกคนที่มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป)โอ้โฮ!! เหนื่อยจัง เมื่อยอีกด้วย (อาการทางร่างกายค่ะ) แต่สิ่งที่ได้ในใจ ในสมองของฉัน คือ ฉันต้องเยี่ยมบ้านเด็กในความรับผิดชอบของฉันให้ครบทุกคน( เด็กม.3ค่ะ) เพราะฉันได้ความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิด บางคนน่าสงสารกว่าที่ฉันคิด บางคนอยู่โรงเรียนเป็นเด็กดีเรียบร้อย แต่อยู่บ้านว่านอนสอนยาก (คงจะขี้เกียจเพราะอยู่โรงเรียนขยันแล้ว) เหมือนคนละคน
ก็มี ส่วนผู้ปกครองก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีตามสภาพของบ้านแต่ละคน และผู้ปกครอง
เกือบทุกบ้านที่พูดออกมาเหมือนกันว่าดีใจที่ครูมาเยี่ยมและเล่าเรื่องของลูกเขาที่โรงเรียนให้ฟัง เพราะเขาก็อยากรู้ว่าลูกอยู่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง (จริงๆแล้วลูกของเขาไม่อยากให้ครูไปหรอกค่ะเพราะกลัวครูฟ้อง)
ตอนเช้า….กลับมาเจอกันที่โรงเรียน บางคนก็เปลี่ยนพฤติกรรมไปเลยจากที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยก็แต่งตัวได้ถูกระเบียบของโรงเรียน(สงสัยเมื่อคืนจะถูกอบรมเป็นกระบุงโกย) บางคนก็รู้จักทักทายครูนอกจากคำว่า สวัสดี (ทุกทีไม่เคยคุยเล่นกันเลย) พฤติกรรมที่มักก่อกวนในห้อง
ก็ลดลงอย่างสิ้นเชิง (เพราะขู่เอาไว้ถ้าไม่สนใจเรียนจะไปฟ้องอีก) อันนี้ก็แล้วแต่ยุทธศาสตร์ใคร
ก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อห้องเรียนนะคะ
การเยี่ยมบ้านของฉัน…ทำให้ฉันได้ดูแลเด็กในความรับผิดชอบได้ดีขึ้นจากเดิม และเห็นประโยชน์ที่ได้รับมากขึ้น ไม่มีคำบรรยายไหนจะอธิบายให้เข้าใจถึงการรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ลงมือทำด้วยตนเอง ไม่มีสิ่งไหนที่จะทำให้เราเข้าใจและรู้จักผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ลงมือทำด้วยตนเอง ประสบการณ์ของใครก็ของคนนั้นเพราะประสบการณ์จะทำให้เราเข้าใจ และรู้จักผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ถ้าเราลงมือทำด้วยตนเอง
สำหรับสิ่งที่ทำให้ระบบดูแลของโรงเรียนฉันเดินไปอย่างเป็นระบบ มีแนวทางในการดำเนินการ คือ จัดทำยุทธศาสตร์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2 ยุทธศาสตร์
1. ยุทธศาสตร์เชิงรับ
2. ยุทธศาสตร์เชิงรุก
ยุทธศาสตร์เชิงรับ ประกอบด้วย การปฐมนิเทศผู้ปกครองพร้อมกับจัดกิจกรรมพบผู้ปกครอง(Classroom meeting) หลังจากนี้ ก็ดำเนินงานตามขั้นตอนของระบบดูแลอย่างสม่ำเสมอ จัดกิจกรรมเสริมตามที่นักเรียนสนใจและตามสภาพของโรงเรียนที่เอื้ออำนวย
ยุทธศาสตร์เชิงรุก ประกอบด้วย การเยี่ยมบ้านนักเรียน นำข้อมูลนักเรียน ผลงานของนักเรียนที่ปรากฏขณะร่วมกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนให้ผู้ปกครองได้ชื่นชม
การรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างแท้จริง ทำให้ฉันได้ดูแลเด็กในความรับผิดชอบได้อย่างเป็นระบบโดยอัตโนมัติ
“การที่เราจะรู้จักใครสักคน
…ถ้าเราเข้าไม่ถึงเขา…
หรือไม่ได้เป็นในสิ่งที่เขาเป็นอยู่
หรือไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาทำอยู่
…เราจะไม่มีวันได้รู้จักเขาเลย…”
โดย ทัศนีย์ ไชยเจริญ
ครูโรงเรียนวัดพวงนิมิต
ไม่มีความเห็น