หลังจากเรียนจบปริญญาตรี มสธ. มาเมื่อ ปี 40 ฉันก็ไม่คิดที่จะเรียนอีก เพราะว่าต้องทำงาน ต้องรับผิดชอบ ทั้งเรื่องครอบครัวและหน้าที่การงาน จนมาเมื่อปีที่แล้ว ปี 51 ฉันได้รู้จักกับ ศูนย์การเรียนรู้ (กศน) อำเภอขุขันธ์ ชวนไปเรียน ม.รังสิต เพราะขยายเครือข่ายมาที่ศรีสะเกษ อาจารย์จาก ม.เดินทางมาสอนด้วยตนเอง ฉันตัดสินใจไปเรียน หลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง เป็นการเรียนที่มุ่งสร้างภาวะผู้นำให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง แล้วฉันก็เรียนจบ จะรับปริญญา 13 -14 ธ.ค.นี้ ที่ เมืองเอก
ตอนนี้ ฉันได้รับการติดต่อจากเพื่อนๆครู ศูนย์การเรียนรู้ให้ไปเป็นอาจารย์ช่วยสอน (TA) แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยชีวิต ฉันรู้ว่าคงเป็นอีกงานหนึ่งที่น่าสนุกและได้เรียนรู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง ฉันจะพยายามทำหน้าที่ใหม่ที่ได้เพิ่มมานี้ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เพื่อนผิดหวัง แล้วก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้เพิ่มมากขึ้น อย่างเป็นอิสระ แต่ฉันจะเสริมและเพิ่มเติมในส่วนที่พวกเขายังขาดไปหรือไม่สมบูรณ์พร้อม ฉันเชื่อว่า ด้วยบุคลิกและความสามารถของฉันน่าจะสามารถทำสิ่งนี้ได้ดี ฉันจะพบกับนักศึกษาครั้งแรก วันที่ 16 พ.ย.นี้แหละ
ดีใจด้วยครับคุณเทียนขาว ผมชักสนใจแนวทางมหาวิทยาลัยชีวิตครับ จะเป็นพระคุณมาก หากจะกล่าวถึงหลักการและเหตุผล รวมทั้งแนวทางดำเนินการโดยย่อ ขออนุโมทนาในความตั้งใจของคุณครับ
ขออนุญาติ copy คำบรรยายของ อ.สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์ มาให้อ่านเลยนะคะ เพราะ ดิฉันก็เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนในการจัดกระบวนการเรียนรู้กับโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต เหมือนกัน อาจจะอธิบายได้ไม่ดีเท่า แต่ดิฉันก็มีโอกาสได้ฟังอาจารย์บรรยาย เมื่อวันที่ 31ตค.51 ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เช่นเดียวกันคะ เนื้อหาทีท่านบรรยายเป็นเรื่องเดียวกันเลยคะ รบกวน อ่านเลยนะคะ คำบรรยาย หัวข้อ
"การเป็นอาจารย์ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต"
โดย อ.สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2551
ท่านกรรมการบริหารหลักสูตร ท่านผู้อำนายการศูนย์เรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต ท่านผู้ประสานงานรายวิชา ท่านอาจารย์ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ ทุกท่าน
เมื่อวานนี้ผมก็ได้ขึ้นมานั่งพูดในเรื่องเดียวกันนี้ กับคณาจารย์และผู้บริหารศูนย์เรียนรู้ ในหัวข้อเดียวกัน แต่เมี่อวานกลุ่มไม่ได้ใหญ่ขนาดวันนี้ ที่ท่านคณบดีรายงานต่อท่านอธิการบดีตะกี้นี้ว่ามีถึง 250 คน
กลุ่มที่เข้าร่วมสัมมนาเมื่อวานนี้เป็นคณาจารย์และผู้บริหารที่ผ่านประสบการณ์มหาวิทยาลัยชีวิตมา 2 ปีแล้ว ผมจึงใช้เวลาพูดกับท่านเหล่านั้นเพียงประมาณ 20 นาที เพื่อให้ท่านได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ปรึกษากันในกลุ่มวิชาต่างๆ แต่วันนี้จะขอเพิ่มเป็น 30 นาที เพราะถือว่าเป็นอาจารย์ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้รุ่นใหม่ เมื่อเทอมที่แล้ว เทอมที่ 1 ท่านอาจารย์เสรี พงศ์พิศ ได้พูดกับพวกท่านถึงแนวคิดและทิศทางของมหาวิทยาลัยชีวิต ในภาคเรียนที่ 2 นี้ ท่านให้ผมมาพูดแทน ก็จะลงรายละเอียดเพิ่มขึ้น
พิธีกร อาจารย์เฉลิมชัยได้กล่าวแนะนำไปบ้างแล้วว่า หลักสูตรนี้มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อชีวิต เรียนแล้วชีวิตต้องดีขึ้น ภายในหลักสูตร 3 ปี ไม่ใช่จะดีขึ้นหลังเรียนจบ แต่ต้องดีขึ้นในขณะเรียนด้วย อันนี้เป็นหัวใจของปรัชญาการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่เลย การเรียนในมหาวิทยาลัยชีวิตคือการเรียนรู้เพื่อตอบสนองชีวิตนั่นเอง เราจึงเรียกว่า มหาวิทยาลัยชีวิต
มีอาจารย์บางท่านบอกผมเมื่อวานนี้ว่า นักศึกษาขาดเรียนเยอะ ผมก็ตั้งคำถามว่า เราจะทำอย่างไรให้เขาอยากมาเรียน ให้วันที่จะพบกันเป็นวันแห่งการรอคอยของผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งท้าทายอาจารย์ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิตมาก แต่เราก็มีศูนย์เรียนรู้ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อยู่หลายศูนย์ เมื่อเทอมที่แล้ว ผมไปสอนที่เชียงใหม่ ศูนย์เชียงดาวกับศูนย์พร้าวเขาจัดการเรียนการสอนร่วมกันที่วิหารของวัดแห่งหนึ่ง นักศึกษารวมกัน 2 ศูนย์ทั้งหมด 98 คน ปรากฏว่ามาเรียน 97 คน คนที่ไม่ได้มาเขาติดไปต่างประเทศ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีของศูนย์ทั้งสอง สิ่งที่ผมสนใจก็คือเขาทำอย่างไรให้การมาพบกลุ่มเรียนเป็นเรื่องที่ผู้เรียนอยากมาร่วม เป็นวันที่เขารอคอย
เรื่องที่ผมจะเล่าให้ท่านฟังต่อไปนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผมรู้มาก่อน แต่เป็นเรื่องที่รู้มาจากพวกท่าน ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
ข้อดีของการจัดแบบศูนย์เรียนรู้ในท้องถิ่นก็คือ ไม่ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ไม่ต้องเดินทางไกล
ก่อนที่จะกล่าวต่อไปถึงกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยชีวิต จะขอสรุปวิชาที่เราเรียนในมหาวิทยาลัยชีวิตอีกครั้งเพื่อปูพื้น ก็มีอยู่ 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก เราเรียกว่า GE - General Education หรือกลุ่มวิชาศึกษาทั่วไป เกี่ยวกับภาษาและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาพื้นฐานทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ซึ่งในเทอมนี้เราก็มีอยู่ 2 วิชา คือการสืบค้นสารสนเทศ และภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร วิชาในกลุ่มพวกนี้ แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดกันเองว่าผู้ที่จะจบเป็นบัณฑิตต้องรู้กว้างๆ ในเรื่องพวกนี้ วิชาในกลุ่มนี้มีทั้งหมดประมาณ 10 วิชา
กลุ่มที่สอง เราเรียกว่ากลุ่ม LM - Life Management หรือกลุ่มวิชาการจัดการชีวิต ซึ่งกลุ่มนี้ใน สสวช. ผมดูแลอยู่ มี 4 วิชา คือ การจัดการความรู้ การวางเป้าหมายและแผนชีวิต และ สปช.1 สปช.2 และ สปช.3 เรียงกันไปเลย สรุปแล้วทั้ง 3 ปี เรียนทุกปีเลย เทอมแรกเรียนวิชาการจัดการความรู้ การวางเป้าหมายและแผนชีวิต เทอมที่ 2 สปช.1 เทอมแรกเริ่มที่จะวางเป้าหมายเพื่อการเจริญเติบโตของชีวิตทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม พอเทอมที่ 2 เริ่มทำโครงงานต่างๆ ที่ลงรายละเอียดให้ลึกซึ้งขึ้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผู้เรียนแต่ละคนเลือกเอง ประสบการณ์ที่นักศึกษาได้ในวิชา สปช.1 มี 2 อัน คือ
หนึ่ง นักศึกษาได้รู้วิธีทำโครงงานพัฒนาตนเองอย่างเป็นระบบ
สอง ได้ประสบการณ์ตรงกับบางเรื่องที่เรายกมาเป็นหัวข้อของโครงการที่เกี่ยวกับตัวเองด้วย เราจึงกำหนดให้ชื่อโครงงานต้องมีคำว่า "ของข้าพเจ้า" ต่อท้ายอยู่ด้วยเสมอ
พอขึ้นปี 2 เรียน สปช.2 ก็เริ่มให้ทบทวน ให้พิจารณาชีวิตด้านในของตัวเองเพื่อการรู้จักตัวเอง แล้วก็ทำโครงงานพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเอง
พอปีที่ 3 เรียน สปช.3 ก็นำเอาประสบการณ์ในวิชาการจัดการความรู้ การวางเป้าหมายและแผนชีวิต วิชา สปช.1 และ สปช.2 มาพัฒนาการงานอาชีพทีตนเองทำอยู่ ความจริงก็ให้ใช้ความรู้และประสบการณ์จากทุกวิชาที่เรียนมาทั้ง 3 ปี ด้วย เรียกว่า บูรณาการทั้งหมด
กลุ่มที่สาม เราเรียกว่ากลุ่ม CM - Community Management ก็คือกลุ่มจัดการชุมชน อันนี้คือกลุ่มใหญ่สุดเลย มี 20 กว่ารายวิชา สาขาของเราเรียกว่า สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นก็ต้องเรียนเกี่ยวกับชุมชนท้องถิ่น วิชาในกลุ่มจัดการชุมชนนี้แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มวิชาย่อย ในแต่ละกลุ่มมี 3 หรือ 4 วิชาที่นักศึกษาต้องเรียน เช่น ในกลุ่มแผนแม่บทชุมชน ก็มีวิชาการเป็นวิทยากรกระบวนการ วิชาการทำแผนแม่บทชุมชน วิชาสัมมนาแผนแม่บทชุมชน 1 และวิชาสัมมนาแผนแม่บทชุมชน 2 ส่วนวิชาในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนก็มี 3 วิชา กลุ่มเกษตรและสิ่งแวดล้อมก็มี 3 วิชา กลุ่มสุขภาพชุมชน และอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
ที่พูดมาข้างต้นเป็นเรื่องที่เมื่อวาน (วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2551) ไม่ได้พูด เพราะผู้ฟังทราบดีอยู่แล้ว ต่อจากนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ผมพูดเมื่อวาน มี 3 หัวข้อ คือ
1. กระบวนการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่ควรเป็นอย่างไร เทอมที่แล้วก็พูดไปบ้างแล้วแต่เทอมนี้จะทบทวนสักหน่อย
2. คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต เราไม่อยากเรียกว่าอาจารย์ซึ่งมักจะทำให้เข้าใจว่าเป็นผู้บรรยายความรู้ ของเราเน้นที่การจัดกระบวนการเรียนรู้
3. เรื่องการบูรณาการ ที่หลายคนกล่าวถึงกันอยู่ตลอดเวลา ก็อยากเสนอความเห็นเพื่อกระตุ้นให้ท่านทั้งหลายคิดต่อในเรื่องนี้ด้วย
เรื่องแรก กระบวนการเรียนรู้ มีหลายประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วันนี้จะยกขึ้นมาเพียงบางประเด็นที่ผมคิดว่าสำคัญ นั่นคือ จะทำอย่างไรที่เราจะจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียน เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง นั่นคือ ชีวิตผู้เรียนจะต้องดีขึ้นในขณะเรียนเลย เราจะจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิดที่สำคัญของมหาวิทยาชีวิตข้อนี้ในวิชาที่เรารับผิดชอบอย่างไร
เวลาผมออกข้อสอบในวิชาการวางเป้าหมายและแผนชีวิต ผมให้นักศึกษาทำเครื่องหมายถูกหรือผิดหน้าข้อความเพื่อตรวจสอบแนวคิดของเขาหลายข้อ มีข้อหนึ่ง มีข้อความว่า นักศึกษาในโครงการมหาลัยชีวิตจะนำความรู้ในขณะเรียนไปปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้นหลังจบการศึกษาแล้ว ผมดีใจที่นักศึกษาส่วนมากทำเครื่องหมายผิดหน้าข้อความนี้ เพราะเขาทราบว่าข้อความนี้มันไม่จริงสำหรับมหาวิทยาลัยชีวิต เพราะชีวิตเขาจะต้องดีขึ้นในขณะเรียนทันทีเลย ไม่ใช่หลังจากจบการศึกษาแล้วค่อยดีขึ้น
ปรัชญาของเราที่ท่านอาจารย์เสรีย้ำอยู่ตลอดเวลาก็คือ เรียนแล้วต้องได้ทั้งปริญญาบัตรและปริญญาชีวิต หากก่อนมาเรียนเป็นความดัน เป็นไขมันในเลือดสูง หรือมีปัญหาสุขภาพ มาเรียนแล้วสุขภาพต้องดีขึ้น เท่าที่ติดตามมา 2 - 3 ปี นักศึกษาหลายร้อยคนความดันลดลง ไขมันลดลง ปวดเข่าปวดข้อน้อยลง บางคนก็หายไปเลย หล่อขึ้นสวยขึ้น หุ่นดีขึ้น แล้วก็ไม่ต้องกินยาอะไรอีกหรือหมอสั่งลดยาเขาลง เพราะเขาแข็งแรงขึ้น เศรษฐกิจครัวเรือนก็เช่นเดียวกัน ต้องดีขึ้น ต้องมีการออม ต้องมีความมั่นคงทางการเงินขึ้น ความสัมพันธ์ที่เขามีกับตัวเอง กับคนอื่นๆ ในครอบครัว ในชุมชน ต้องดีขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองขึ้น เพราะคำขวัญอันหนึ่งของเรา คือ เรียนแล้วต้องสามารถอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีกินในท้องถิ่นต่อไปได้
ปลายปีนี้เราจะมีพิธีมอบรางวัล เรียกว่า รางวัลปริญญาชีวิต ให้กับนักศึกษาจากทั้ง 118 ศูนย์ โดยให้ ผอ.ศูนย์เรียนรู้แต่ละแห่งคัดเลือกมา โดยกำหนดว่าต้องเป็นนักศึกษาชั้นปี 2 และ ปี 3 เท่านั้น จะมีทุนการศึกษาให้จำนวนหนึ่ง และมีรางวัลชมเชยเป็นประกาศนียบัตร เพราะเราไม่มีเงินพอจะให้ทุกศูนย์ สรุปก็คือชีวิตต้องดีขึ้นในขณะเรียนและเมื่อเรียนแล้วก็ต้องได้ทั้งปริญญาชีวิตและปริญญาบัตร
ในแง่ของชุมชน นักศึกษาได้คะแนนจากการเรียน แต่ตัวชี้วัดความสำเร็จของการเรียนที่สำคัญก็คือการเปลี่ยนแปลงของชุมชน เราอยากกระตุ้นให้ท่านทั้งหลาย ที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้ เป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ในกลุ่มวิชาการจัดการชุมชน ว่าชุมชนที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ต้องดีขึ้น ใช้ตรงนั้นเป็นโจทย์ในการเรียน เพราะมันสัมพันธ์กับชีวิตเขา เวลาทำโครงงานไม่ต้องไปทำชุมชนอื่น การไปทำชุมชนของคนอื่นมีประโยชน์แค่ได้ทำแบบฝึกหัด ที่ควรเป็นก็คือใครอยู่ชุมชนไหนก็จับกลุ่มกันทำในชุมชนนั้นเลย ทำแล้วมันมีความหมายกับชีวิตของผู้ทำ เพราะถ้าชุมชนแก้ปัญหาบางอย่างได้ ชุมชนปลอดยาเสพติด ชุมชนปลอดแหล่งอบายมุข ชุมชนมีสุขภาวะ มันก็สะท้อนกลับมาสู่ครอบครัวสู่ลูกหลานของของผู้เรียนเอง ทำเช่นนี้แล้ว ทุกคนจะอยากมาเรียน มี 50 คนก็มา 50 คน เพราะมันเป็นเรื่องของเขาเอง
ถ้าเราทำตัวเป็นอาจารย์บรรยายความรู้แบบในการเรียนการสอนกระแสหลัก ที่ทำตัวเป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญไปถึงศูนย์เรียนรู้ก็บรรยายทั้งวันเสาร์วันอาทิตย์ ผู้เรียนฟังตลอดทุกเสาร์-อาทิตย์ก็เบื่อ ถ้าผมเป็นผู้เรียนผมก็เบื่อ ฝากเพื่อนอัดเทปไว้ก็ได้ แต่การสอนแบบไม่บรรยายหรือบรรยายน้อยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การจะเพียงแค่บอกว่าอาจารย์มาพบกลุ่มนักศึกษาแล้วอย่าบรรยายนะ ให้จัดกระบวนการให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ คนไม่เคยทำก็จะงง เราจึงต้องมีการสัมมนากันก่อนเปิดภาคเรียนทุกภาค เพื่อมาออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ครอบครัว และชุมชนของเขาเอง
ผมอยากจะแนะนำท่านทั้งหลายว่า ให้นักศึกษาจับกลุ่มเรียนผ่านการปฏิบัติในทุกวิชาในชุมชนของเขาเองตลอดทั้ง 3 ปีเลย ทุกวิชาลงชุมชนเดิมนี้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้ง 3 ปี เพราะตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับมหาวิทยาลัยชีวิตไม่ใช่คะแนน แต่ดูกันที่ผลของการปฏิบัติจริง เรียนวิชาชีวิตแล้วชีวิตเขาต้องดีขึ้น เรียนวิชาการจัดการชุมชนแล้ว ชุมชนเขาก็ต้องดีขึ้น ก็ดูกันว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างใน 3 ปีที่ได้ทำอะไรหลายอย่างในวิชาต่างๆ
การเรียนที่ไม่ได้ผ่านการปฏิบัติไม่ได้ลงมือทำหาใช่การเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ ไม่มีใครรู้จริงโดยไม่เคยลงมือทำ เช่น ท่องตำราขั้นตอนการว่ายน้ำท่าผีเสื้อแล้วมาตอบมาเขียนให้ครูดูได้ ได้คะแนนสอบ แต่ยังไม่เคยลงไปว่าย ก็ยังไม่ถือว่าว่ายเป็น
เรื่องที่สอง คุณสมบัติผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ ที่สำคัญก็คือท่านจะสามารถสร้างแรงบัลดาลใจให้ผู้เรียนได้อย่างไร มีคำสองคำที่ใกล้เคียงกัน คำหนึ่งคือแรงบันดาลใจ อีกคำหนึ่งคือแรงจูงใจ ในภาษาฝรั่งเขาใช้คำแยกกันชัดเจน แรงบันดาลใจตรงกับคำ inspiration ส่วนแรงจูงใจตรงกับ motivation ซึ่งแรงจูงใจมักเกิดจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น คะแนน ปริญญาบัตร แต่แรงบันดาลใจมันมีคำว่า in นำหน้า คือ มันต้องออกมาจากข้างใน อย่างที่ในหลวงท่านบอกว่า ระเบิดจากข้างใน
แต่ว่าอาจารย์จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนยังไง จะจัดกระบวนการเรียนรู้ยังไง ให้คนเขารู้สึกอยากจะมา นี่เป็นเรื่องสำคัญ แรงบันดาลใจจึงไม่ใช่แค่การใช้คะแนนล่อ เราใช้ทั้งสองอย่าง ใช้ทั้งแรงจูงใจและแรงบันดาลใจ
มีอันหนึ่งที่ผมมักพูดอยู่เสมอๆ คือ การใช้การดำเนินชีวิตของเรานั่นแหละเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ท่านปัญญานันทภิกขุเคยเทศน์ออกอากาศวันหนึ่งท่านบอกว่า การทำตัวเป็นตัวอย่างนั่นแหละคือคำสอนที่ดีที่สุด ซึ่งก็ตรงกับที่อัลเบิร์ต ชไวเนอร์ นายแพทย์ชาวฝรั่งเศสที่ได้รางวัลโนเบิลไพรส์ในปีที่ผมเกิดพอดี ผมจึงจำได้ ท่านอุทิศตัวเพื่อรักษาคนในอัฟริกา ท่านเชื่อว่า มีแต่ตัวอย่างเท่านั้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ ไม่มีอย่างอื่น ในกระบวนการเรียนการสอนเราจึงเน้นให้มีการดูงาน การไปพบปะกับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ด้วยเหตุนี้การมาเป็นอาจารย์ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต ทำอย่างไรให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน ข้อคิดที่ผมมีก็คือ การกระทำต่างๆ ในชีวีตของเราเป็นอันหนึ่งกันเดียวกับสิ่งที่เราพูดเราสอน หากเราพาร่างกายที่น้ำหนักตัวเกินขนาดมากๆ หรือน้ำหนักตัวน้อยขนาดลมพัดก็เซแล้วไปจัดกระบวนให้คนอื่นหันมาให้ความสนใจดูแลสุขภาพตัวเอง ก็ยากที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครได้ อย่างไรก็ตาม เราทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แต่เราก็สามารถทำให้เขาเห็นว่าเราก็อยู่ในกระแสแห่งการพัฒนาตัวเองอยู่เช่นกัน เช่นที่อาจารย์รุ่งนภา การบุญ ตอนนี้เปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว ท่านเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้วิชาการวางเป้าหมายและแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตศูนย์เชียงดาว ท่านเป็นภูมิแพ้ทั้งผิวหนัง ทั้งในระบบทางเดินหายใจ จามแล้วจามอีกทุกเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อท่านให้ผู้เรียนทำโครงงานสุขภาพ ท่านก็ทำของตัวเองไปพร้อมๆ กันด้วย ทั้งการกิน การอยู่ การออกกำลัง ทำอย่างตั้งใจ ตอนนี้ท่านไม่มีอาการอะไรอีกแล้ว แข็งแรงขึ้น หลังจากนั้นท่านก็แต่งงานและมีลูกแล้ว ท่านได้ใช้การดำเนินชีวิตของท่านนั่นแหละเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน ผมคิดว่าคงไม่ได้เป็นการเรียกร้องท่านทั้งหลายมากเกินไปนะครับ เพราะท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เป็นแบบอย่างที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ผมเชื่อว่า เราไม่อาจให้อะไรกับใครในสิ่งที่เราไม่มีได้
เรื่องสุดท้าย บูรณาการ เราพูดถึงเรื่องบูรณาการกันเยอะ ผมก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราบูรณาการอะไรกันบ้าง และจะทำยังไงให้การเรียนการสอนมันมีบูรณาการกับชีวิตของเขา แล้วผมก็คิดว่าอย่างน้อยน่าจะมีบูรณาการกับชีวิตส่วนตัวของผู้เรียน กับครอบครัว กับชุมชน และการบูรณาการกันระหว่างวิชาต่างๆ
การบูรณาการการเรียนกับชีวิตของผู้เรียน ในกลุ่มวิชาการจัดการชีวิตทั้ง 4 วิชา ต้องบูรณาการอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของชีวิตตรงๆ ในวิชาเหล่านี้ในวันสุดท้ายของการพบกลุ่มเรียน ผู้เรียนต้องมานำเสนอผลการปฏิบัติโครงงานพัฒนาชีวิตตัวเองกัน เราก็ขอให้ผู้เรียน เชิญสามี เชิญภรรยา ลูก พ่อแม่ ญาติมิตร เชิญมาเลย เชิญมาฟังรายงานการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตข้าพเจ้า มาร่วมแสดงความยินดี วิชาในกลุ่มการจัดการชุมชนก็เหมือนกัน เทอมนี้มีวิชาการทำแผนแม่บทชุมชน มีสัมมนาแผน เชิญชาวบ้านมาร่วมฟังด้วย ว่าได้เรื่องได้ราวอย่างไรบ้าง เชิญมาสิครับ ให้พวกเขาได้เข้ามาร่วมวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ท่านได้ค้นพบด้วย
ที่เราต้องบูรณาการกันระหว่างวิชาต่างๆ นั้น เพราะชีวิตคนเกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง คือเป็นองค์รวม ไม่ได้แยกส่วนหรือลดทอนลงเป็นวิชาๆ อย่างที่เราแยกศึกษากัน ชีวิตครอบครัว ชีวิตของชุมชนก็เช่นเดียวกัน มันมีหลายเรื่อง และทุกเรื่องก็สัมพันธ์กันไปหมด ดังนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลายที่รับผิดชอบวิชาที่ท่านสอนแล้ว ก็ให้ความสนใจว่าในเทอมนี้ เทอมที่ผ่านมา เทอมต่อไปเขาเรียนอะไรกันบ้าง เขามีงานอะไรมีโครงงานอะไรที่ต้องทำ เวลาลงไปชุมชนให้เขาเก็บข้อมูลทีเดียวได้ทุกวิชาเลยได้ไหม เวลาทำรายงานชิ้นเดียวส่งได้หลายวิชา เพียงแต่ให้มีส่วนที่ใช้แนวคิด ใช้มุมมองของแต่ละวิชาให้ตรงกับเรื่องนั้นๆ ด้วย การทำเช่นนี้จะช่วยลดเวลาของผู้เรียนลงด้วย เขาจะได้ไม่บ่นว่าเรียนมหาวิทยาลัยชีวิตแล้วต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะเหลือเกิน การบูรณาการระหว่างรายวิชาจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตในชุมชน เริ่มจากการที่ท่านทั้งหลายต้องหันหน้าเข้ามาคุยมาเล่าให้กันฟังว่าเนื้อหาสาระ มวลประสบการณ์ที่จะเกิดกับผู้เรียนในวิชาของท่านมีอะไรบ้าง ประสบการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจากงานเดี่ยว-งานกลุ่มกี่ชิ้น จะทำร่วมกันไปได้อย่างไรบ้าง
สุดท้ายก่อนจะจบนี้ก็ขอฝากคำถามให้ท่านแต่ละคนไปคิดไปพัฒนากันต่อว่า ท่านจะจัดกระบวนการเรียนรู้ในวิชาของท่านอย่างไรให้ผู้เรียนได้บูรณาการกับชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ชุมชนของเขา ผมเองก็อยากเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับท่านทั้งหลายด้วย
ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในเทอมนี้ดังที่กล่าวมา
ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของดิฉันและอาจารย์หลัก ต่อไปค่ะว่าจะจัดการเรียนรู้วิชา สุขภาพและวิถีชุมชน ไปในรูปแบบไหนให้นักศึกษาได้ประโยชน์มากที่สุด ขอบคุณค่ะ