45. ผจญภัยไปมอราน


ภาพที่เห็นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

 

 

 

          วันนี้เป็นวันจักรีซึ่งจะได้หยุดชดเชยเพิ่มที่เมืองไทย ดิฉันตื่นตี 5 เพราะเสียงการ้อง  ทำธุระส่วนตัวเสร็จ เปิดทีวีดูคงเป็นเคเบิลทีวีที่มาจากเดลลีเพราะหน้าตารายการคุ้นๆ  ดิฉันทานผลไม้ที่เขาเสิร์ฟเมื่อคืน ไม่ค่อยอร่อย เปรี้ยวมาก

 

          จัดของเสร็จ ดิฉันจะฝากกระเป๋าเพื่อนไว้หนึ่งใบ จะเอาแต่ของที่จำเป็นไปเท่านั้น เพื่อนมารับดิฉันราว 7 โมงเศษ ออกจากโรงแรมไปขึ้นรถที่ท่ารถซึ่งเป็นที่ซื้อตั๋วใช้เวลาราว 10 นาที กุวาฮาตียังหลับไหลท่ามกลางแสงแรกของอรุณ มีรถปรับอากาศ VOLVO สีเทาจอดรอ 1 คัน ซุ้มที่ขายตั๋วมีที่นั่งรอผู้โดยสารอยู่ด้านใน มีเคาน์เตอร์ขายของอยู่ 1 มุมซึ่งขายน้ำและของจุกจิก เพื่อนไปถามรายละเอียดให้ว่ารถเบอร์อะไร ถึง มอราน (Moran) กี่โมง รถคันนี้วิ่งไปถึงอำเภอดิบรูการฮ์ (Dibrugarh) เพื่อนเขียนชื่อสถานที่ที่ดิฉันต้องลงตอนนั่งรถกลับมา และบอกว่าให้ดิฉันนั่งรถสามล้อเครื่องกลับเอง ดิฉันฟังแล้วงงๆ อยู่เพราะตอนนั้นไม่ทราบว่าที่นั่นไม่ใช่ที่นี่ (ที่ขึ้นรถ)  อย่างไรก็ตาม แกพาดิฉันไปฝากฝังเพื่อนผู้โดยสารที่นั่งไม่ห่างจากที่ของดิฉันนัก พร้อมขอเบอร์โทร. ผู้โดยสารคนนั้น ในเวลาเดียวกันแกช่วยโทร. บอกอาจารย์ที่รับปลายทางถึงรายละเอียดของรถ เบอร์รถ และเบอร์โทร.เพื่อนผู้โดยสารที่นั่งใกล้ๆ ดิฉันไปด้วยเผื่อต้องติดต่อกัน เพราะดิฉันไม่มีโทร. มือถือ ดูความรอบคอบของเพื่อนชาวอัสสัมนะคะ

 

          รถออกช้าไปราว 15 นาที ที่นั่งในรถกว้างดี แต่ในระหว่างทางแอร์ไม่เย็น สภาพภายในไม่ค่อยสะอาด พอรถออก กระเป๋ารถแจกถุงพลาสติกคนละใบ คงต้องมีใครเมารถเพราะทางคงคดเคี้ยวไปมาแน่ (ดิฉันนึกในใจ)  รถวิ่งผ่านในเมือง ออกตามถนนเล็กๆ คดไปเคี้ยวมา ทำให้ดิฉันได้เห็นตัวเมืองซึ่งมีทั้งเก่าๆ และใหม่ๆ และที่กำลังก่อสร้าง กว่าจะมาถึงถนนใหญ่ก็ไกลทีเดียว

 

          รถวิ่งไปรับผู้โดยสารอีกที่คล้ายสถานีขนส่งในต่างจังหวัดของไทย จอดราว 2 นาทีก็ไปต่อ ถนนอาจทำด้วยหินอัดแม้จะราดยางแต่ไม่นิ่มเลย สะเทือนตลอดทาง ถนนแคบด้วย คนขับมักเบรกกระชั้นบ่อยๆ ทำให้นั่งไม่สบาย ดิฉันก็หลับๆ ตื่นๆ ไปตามประสา ดิฉันนั่งใกล้กับหญิงสาวถามไถ่ได้ความว่าเพิ่งกลับมาจากเดลลีเพราะไปเรียนที่นั่น ดิฉันแบ่งกล้วยและ spring roll ที่ซื้อมาเมื่อวานให้เพื่อนผู้โดยสารคนนี้ทานด้วย

 

          สองข้างทางมีทั้งที่เป็นภูเขาบ้าง ที่นาบ้าง ที่ว่างๆ บ้างมีทั้งต้นหมาก และมะพร้าวสูงเพรียว บ้านชาวบ้านทำด้วยดิน มุงหญ้าก็มี หรือเป็นอาคารชั้นเดียวก็มี ตอนเที่ยงรถแวะที่ชุมทางจอดรถ ดิฉันไปเข้าห้องน้ำ เดินๆ ดูอาหารแล้วดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไร เลยขึ้นมานั่งทานข้าวของตัวเองบนรถ ผู้โดยสารทยอยขึ้นรถ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง รถออกเดินทางต่อ มีรถทัวร์เข้ามาอีก 2 คัน อาจารย์ที่จะรับปลายทางโทร. เข้ามือถือผู้โดยสารซึ่งดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นมุสลิมที่นั่งห่างจากดิฉันไปราว 3-4 เบาะ ดิฉันจึงได้พูดกันบอกท่านว่ารถกำลังพักให้คนทานข้าว เสร็จแล้วขอบคุณเพื่อนมุสลิมที่ใจดี

 

หญิงสาวที่นั่งข้างดิฉันมาช้าเธอบอกไปอาเจียนเพราะแอร์ไม่เย็น มีแต่ลม ทำให้เวียนศีรษะ ดิฉันก็เมื่อยตัวมาก ราวบ่ายสามโมงดิฉันตั้งหลักแล้วเพราะที่ขึ้นต้นทางบอกจะถึงราวบ่ายสามโมง ดิฉันพยายามอ่านหลักกิโลเมตรข้างทาง ยังอีก 37 กิโลเมตร เพื่อนมุสลิมส่งสัญญาณโบกมือว่ายังไม่ถึง เวลา 15.30 น. รถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าร้านน้ำชา เป็นที่รับส่งผู้โดยสาร น้องผู้หญิงที่นั่งข้างๆ บอกว่าถึงมอรานแล้ว ดิฉันขอบคุณเธอ และขอบคุณเพื่อนมุสลิมด้วย หิ้วกระเป๋าลงมา เจอทีมอาจารย์ที่มารับ 3 คนเป็นไทอาหมหมด ดิฉันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อาจารย์ที่เป็นหัวน้าทีมขอเรียกว่าอาจารย์ ก นะคะ แนะนำให้รู้จักเพื่อนผู้อาวุโสของท่านอีก 2 คน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับ อาจารย์ ก ขับรถเก๋งคันน้อยซูซูกิพาดิฉันไปที่บ้านท่าน พบกับภรรยาและลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ท่านมีบ้านอยู่นอกเมืองไปนิดหน่อย บ้านคล้ายบังกาโลซึ่งเป็นสไตล์แบบอังกฤษแต่ละหลังมักเป็นชั้นเดียวในพื้นที่กว้าง บ้านมีหลายห้อง ดิฉันได้มีโอกาสไปบ้านคนโน้น คนนี้ ลักษณะบ้านคล้ายกันหมด กลายเป็นแบบบ้านที่เห็นโดยทั่วไปในมอราน และตามเส้นทางที่ผ่านไป

 

อาจารย์ ก เป็นศาสตราจารย์เกษียณแล้ว ท่านเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยไท ตั้งอยู่ที่มอราน ท่านคุ้นเคยกับคนไทยมากเพราะเคยมาประชุมที่เมืองไทยหลายครั้ง และคนไทยก็ไปทำงานวิจัยกับท่านและพักกับท่านๆ จึงสร้างบ้านพักอีกหลังที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน น่าอยู่และเป็นสัดส่วนดี ดิฉันได้ไปพักที่นั่น เอากระเป๋าไปเก็บ

 

อาจารย์ให้ดิฉันไปอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วดิฉันก็นำของที่ระลึกมาฝากท่านและครอบครัว มานั่งคุยกัน แนะนำตัวกัน ท่านบอกว่ามีลูกสามคน ลูกสาวสองคนๆ โตเป็นอาจารย์อยู่กับพ่อแม่ คนรองกำลังเรียนโทอยู่ที่กุวาฮาตี ลูกชายเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยแถวๆ เดลลี ช่วงนี้ลูกๆ กลับมาพร้อมกันเพราะเทศกาลบิฮูที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นี่เป็นวัฒนธรรมอินเดียที่ต้องแนะนำตัว ครอบครัว (หากมี) เพื่อให้รู้จักกันก่อนเพราะดิฉันไม่เคยรู้จักท่านมาก่อนเลย แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีแบบคนไทท่านรักคนไทย ท่านยินดีต้อนรับนักวิชาการไทยทุกคน

 

ภรรยาท่านชงชานมกับขนมมาทานกัน เสร็จแล้วท่านพาไปชมห้องทำงานซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย หนังสือเยอะเหมือนห้องสมุดส่วนตัว ดิฉันจึงขอเช็คเมล์ ที่นี่ไฟดับบ่อย ท่านมีเครื่องสำรองไฟด้วย

 

ท่านบอกให้ดิฉันเตรียม lectures สองเรื่อง คือภาษาไทย สังคมและการเมืองไทย ท่านยังเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัย Dibrugarh ในคณะรัฐศาสตร์อยู่ ดิฉันไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนถ้าทราบจะได้เตรียมมาตั้งแต่เมืองไทยแล้ว ท่านมีหนังสืออยู่บ้าง แต่ดิฉันคิดว่าต้องค้นจาก internet เพิ่ม ดิฉันเลือกๆ หนังสือที่จะเตรียมบรรยายเอากลับมาที่ห้อง

 

ไฟฟ้าที่ห้องไม่ติด ดิฉันวิ่งไปบอกภรรยาท่านๆ ให้เทียนไขยาวมา 1 อัน และท่านมาหมุนๆ ปลั๊กอะไรไม่ทราบจนมีไฟติด ความจริงเป็นแบตเตอรีที่เกิดจากการอัดไฟจากแผงโซลาเซลล์ (วันหลังดิฉันลองทำดูก็ไม่ได้ผลแล้ว) ดิฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะ อากาศเย็นๆ จึงห่มผ้านอนพัก ราว 2 ทุ่มลูกชายท่านมาเคาะประตูเชิญไปทานข้าว มีอาหารอินเดีย 3 อย่าง ตบท้ายด้วยนมเปรี้ยวใส่น้ำตาลอิ่มมาก

 

สักพักลูกสาวคนที่สองมาจากกุวาฮาตีอีกคน คราวนี้ครอบครัวคุยกันสนุกสนานมีความสุขพร้อมหน้า ท่านก็เล่าเรื่องราวของคนไทยที่มาพักกับท่านให้ฟัง หลังจากนั้นดิฉันก็ลาไปนอน ที่นี่ตั้งแต่หัวค่ำถึงสามทุ่มไฟจะดับหรือไฟตก หลังจากนั้นไฟจะมา

 

ดิฉันกางมุ้งนอนเพราะไม่มีมุ้งลวด มีผ้าห่มหนา ใหม่สะอาด ทุกอย่างสะอาดหมดค่ะ ทำให้หลับสบาย อากาศดีมาก ฤดูหนาวคงหนาวทีเดียว

ดิฉันอยากสรุปว่าเส้นทางที่เดินทางมากว่า 6-7 ชั่วโมง หากวิ่งในตอนกลางวันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ตอนกลางคืน เรามักจะกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น ทั้งๆ ที่อาจจะไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ได้

 

------------------------

 

 

ขอเชิญท่านที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับอินเดีย สมัครเรียนในหลักสูตรปริญญาโท สาขาวัฒนธรรมและการพัฒนา วิชาเอกอินเดียศึกษา ตั้งแต่บัดนี้ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2551 โปรดเข้าชมรายละเอียดใน

www.lc.mahidol.ac.th โทร. 02-800-2308-14 ต่อ 3101 โทร. 02-800-2323

 

 

 

 

 

 

 

 

                                    

 

หมายเลขบันทึก: 220271เขียนเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2008 08:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 03:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อาจารย์โสภนาครับ

รู้สึกว่าอาจารย์จะเป็นนักวิจัยที่ลุยดีนะครับ

คราวหน้าหากไปวิจัยภาคสนามมาแล้ว ผ่านเดลี ขอเรียนเชิญบรรยายให้ฟังด้วยครับ ยินดีต้อนรับด้วยอาหารไทยแบบกันเองครับ

เรียน ท่านพลเดช ที่เคารพ

    เนื่องจากเราเป็นสถาบันวิจัยค่ะ เพราะฉะนั้นเราจะมีพื้นฐานในการทำงานภาคสนาม ทั้งในและต่างประเทศ (เพื่อนบ้าน) เราทำในเรื่องความหลากหลายของกลุ่มชนค่ะ ดังนั้นความยากของพื้นที่ไม่ค่อยเป็นอุปสรรคต่อความอยากรู้ของพวกเราเท่าไรค่ะ ยินดีค่ะถ้าได้มีโอกาสไปทำวิจัยในอนาคตค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท