วันก่อนได้ไปประชุมเพื่อทำโครงการระบบป้องกันอัคคีภัยสำหรับส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งที่ภาคอีสาน โรงไฟฟ้านี้สร้างขึ้นมาเพื่อผลิตไฟฟ้าให้โรงงานน้ำตาล หากมีกำลังผลิตเหลือก็ขายให้กับการไฟฟ้าฯ เชื้อเพลิงหลักของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็คือชานอ้อยครับ
ผมเคยไปดูโรงไฟฟ้าคล้ายๆกันนี้อีกแห่งหนึ่งที่ภาคตะวันออกทางปราจีนบุรี โรงนั้นก็ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพคือแกลบและวัสดุที่เหลือจากการทำกระดาษซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของเขาด้วย แต่คราวนั้นไปแค่นั่งประชุม ไม่ได้ดูแลโครงการอะไรเป็นชิ้นเป็นอันพอที่จะเห็นรายละเอียดครับ
ขอข้ามส่วนของคุณภาพบางจุดไป เพราะประเด็นที่ผมจะเขียนขึ้นเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากความเห็นของผมที่มีต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ว่าไม่ควรทำ และไม่ควรจะไปสนใจมันอีก
แต่หากเราไม่ทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แล้วเราจะเอาไฟฟ้าจากไหนในช่วงเวลาที่ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ
คำตอบหนึ่งอยู่ที่ พลังงานชีวภาพ เหมือนกับโรงไฟฟ้าแห่งนี้ที่ผมกำลังดูแลโครงการอยู่ครับ
พลังงานชีวภาพคือการนำเอาผลิตผลทางการเกษตรที่เรามีความพร้อมนี่แหละมาทำพลังงาน แม้ว่าการนำเอาชานอ้อยมาเผาเพื่อนำความร้อนมาต้มน้ำและนำไอน้ำมาผลิตกระแสไฟฟ้าจะเป็นการเผาไหม้เช่นเดียวกับการเผาน้ำมัน มี Carbon Dioxide สู่บรรยากาศ แต่สำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพแล้ว Carbon Dioxide จำนวนเท่าๆกัน (หรือมากกว่าหากเราปลูกและเก็บเกี่ยวพืชพลังงานมากขึ้น) จะถูกพืชพลังงานที่เราปลูกอยู่ ดูดกลับเข้าไปตามกระบวนการสังเคราะห์แสง เปลี่ยน Carbon Dioxide เป็นเนื้อเยื่อพืช และปล่อย Oxygen ที่เหลือใช้ออกมาตามที่เราเคยเรียนมาแต่เล็ก
การใช้พลังงานชีวภาพจึงไม่เพิ่มปริมาณ Carbon Dioxide ในบรรยากาศ แต่จะหมุนเวียนไปโดยมีแหล่งพลังงานคือ แสงอาทิตย์
พลังงานชีวภาพจึงเป็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์โดยทางอ้อมครับ และมนุษย์ก็มีเทคโนโลยีค่อนข้างพร้อมสำหรับการผลิตพลังงานชีวภาพทีละมากๆ พอสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอยู่แล้ว
เราน่าจะพิจารณาการใช้พลังงานชีวภาพควบคุ่ไปกับนโยบายประหยัดพลังงานในภาคที่ไม่ผลิตพลังงานโดยตรงเช่น ไฟฟ้าแสงสว่างและการปรับอากาศ เพื่อให้สามารถผลิตพลังงานได้อย่างพอเพียงกับความต้องการ เพิ่มสัดส่วนแหล่งพลังงานอื่น ปัจจุบันเราใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าถึง 70% ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่ดี เพราะหากพลังงานแหล่งนี้ติดขัดในการจัดส่ง เราจะขาดแคลนพลังงานทันที
อีกอย่างหนึ่งการขยายจำนวนและการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานชีวภาพก็ยังทำให้เกิดการลงทุนในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย ทำให้เพิ่มการผลิตพืชผลมากขึ้น เกิดการค้าขายมากขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจของเราได้ด้วยทางหนึ่ง
หากมองในระยะยาว โรงไฟฟ้าเหล่านี้ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เป็นโอกาสที่เราจะมีเทคโนโลยีพลังงานของตัวเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาสู่การขายเทคโนโลยีพลังงานสู่ภูมิภาคอื่นของโลก ที่มีความต้องการและมีทรัพยากรชีวภาพเช่นกัน
เรายังมีโอกาาสอีกมากครับกับธุรกิจพลังงาน ไม่ใช่เพียงการขุดเอาฟอสซิลที่ธรรมชาติดึง Carbon ไปสะสมให้เราไว้ ออกมาอบตัวเราเอง
สวัสดีค่ะ
แบบนี้เรียกว่า...เห็นแก่ตัว..มองข้ามส่วนรวม
ขอบคุณค่ะอาจารย์ ที่มีเวทีให้ได้พูดบ้างค่ะ
ขอบคุณครูอ้อยเช่นกันครับ
บางทีแนวคิดแบบนี้อาจถูกมองว่า ถ่วงความเจริญ
ผมเพิ่งได้อ่านบทความชิ้นหนึ่ง เขียนโดยผู้บริหาร Hedge Fund ในอเมริกา และเขาคนนั้นได้เลิกจากอาชีพของเขา พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจและการปกตริง รวมทั้งการใช้พลังงานของอเมริกา
ได้อ่านความเห็นของคนที่มาถึงจุดสูงสุดจุดหนึ่งของชีวิตคน ในสังคมที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาถ่ายทอดมาก็คือ ความทุกข์ ความไม่พึงพอใจ ไม่ต่างจากคนในสังคมอื่นๆ ในยุคอื่นๆเลย
แล้วเรากำลัง "เจริญ" ไปทำอะไรกัน