ภูมิปัญญา
เชื่อ..ศรัทธาในความมี "ภูมิปัญญา"...
ของความเป็น "มนุษย์"
เห็นด้วยค่ะ วัฒนธรรมอันเก่าแก่อย่างนี้น่ะ
ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าจะมีผู้สืบทอดหรือเปล่า
หวังว่ายังคงมีคนสืบทอดพิธีกรรมสืบทอดต่อไป ชั่วลูก ชั่วหลานค่ะ
พิธีกรรม มองสองด้านนะ
ด้านสว่าง สมัยก่อนเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจทำให้ฮึกเหิม ก่อนออกรบ ทำให้จิตใจเข็มแข็ง เกิดความสามัคคี เน้นพิธีกรรมที่ทำโดยพระสงฆ์และบุคคลที่ได้รับการยอมรับนับถือ
ด้านมืด เป็นเครื่องมือหากินกับคนที่กำลังจิตใจอ่อนแอ ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ เช่นสมัยเทวราชา ที่นำเอาพิธีกรรมเข้ามาทำให้เชื่อว่าอำนาจเกิดจากบุญบารมีชาติก่อน พระเจ้าประทานให้ ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด ฝ่าฝืน เป็นการนำวัฒนธรรมของขอมมาปะปน เน้นพิธีกรรมและคาถาที่กระทำโดยแม่หมอ พ่อหมอ เหมือนที่พณฯท่าน.......ไปทำที่สุรินทร์ไง
เห็นว่ามีสองด้าน ก็แยกแยะก่อนใช้บริการด้วยครับ อีกอย่างไม่ได้ขึ้นกับบทสวดหรอก (ความเห็นส่วนตัวนะครับ) เพราะฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ขึ้นกับกรรมวิธีมากกว่า ว่าสามารถสร้างบรรยากาศให้ดูน่าเชื่อถือและอบอุ่นแค่ไหน
หากจะกล่าวถึงเรื่องของ พิธีกรรม การสร้างขวัญกำลังใจ คงต้องกล่าวเชื่อมโยงไปถึงความเชื่อ ความศรัทธา และ ประเพณีวัฒนธรรม อันว่ามนุษย์เรามีอยู่สองสถานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ หนึ่งคือผู้เคยก้าวผ่าน สัมผัสเสพซึ้ง รวมทั้งผ่านอบรมสั่งสอน จนทำให้เกิดความเชื่อความศรัทธาขึ้นมา แต่จะมากน้อยเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ส่วนสถานที่สองของมนุษย์ คือผู้ที่ไม่เคยได้รับรู้ สัมผัส เลยไม่เกิดความเชื่อ ความศรัทธา ต่อพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ฉะนั้นมนุษย์ประเภทแรกจึงต้องสืบทอดพิธีกรรม ภายใต้ความเชื่อและศรัทธาต่อพิธีกรรมเหล่านั้น อย่าลืมว่ามนุษย์เราอยู่ได้ด้วยความหวังและกำลังใจ เป็นพลังขับเคลื่อนแห่งจิตใจไปสู่ความสุขและสำเร็จ และบางครั้ง มนุษน์เราก็ยอมตายได้ต่อพลังความเชื่อแห่งศรัทธาไม่เสียดายแม้ชีวิตดับสิ้นแต่กลับภูมิใจ ซึ่งผมเองก็จัดอยู่ในมนุษย์ประเภทแรกและมีความเชื่อและศรัทธาต่อพิธีกรรมเหล่านั้นอย่างมาก
"ไม่มีศาตราวุธเหล็กไหลใดในโลกแกร่งเทียบเท่าศรัทธา"