ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย 7


รู้ไว้ใช่ว่า

ที่มาของน้ำหนักทอง 1 บาท

มาตรวัดของไทย กำหนดว่า 4 สลึง เท่ากับ 1 บาท , 4 บาท เท่ากับ 1 ตำลึง
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง 1 ตำลึง เท่ากับ 10 สลึง มีค่าน้ำหนัก เท่ากับ 38.11 กรัม
เรียกว่า " ต้าซือหม่าเหลียง "
เพราะฉะนั้น 1 สลึง จึงเท่ากับ 3.811 กรัม
เท่ากับว่า ทองคำ 1 บาท มีน้ำหนัก 3.811 X 4 = 15.244 กรัม
แต่ น้ำหนัก 1 ตำลึงปัจจุบันถูกเปลี่ยน เป็น 37.5 กรัม เนื่องจาก สมัยราชวงศ์ชิง
ประสพกับปัญหาด้านเศรษฐกิจ เงินคงคลังพร่องลง หนี้สินมาก แต่เพื่อคงค่าเงิน
ตำลึงเอาไว้ ที่ต้องใช้จ่ายหรือชำระหนี้ จึงต้องลดค่าลง เรียกว่า
" เสี่ยวซือหม่าเหลียง " (เทคนิคนี้ในปัจจุบันอาจเรียกว่า เป็น การลดค่าเงินลง)
ซึ่ง น้ำหนักทอง ต้องลดลงตามไปด้วย

ทุกวันนี้ 1 ตำลึง = 37.5 กรัม ส่วนใหญ่ ใช้ชั่งของเบา และมีราคาแพง เช่น ใบชา,
ยาจีน ฯลฯ

ตามมาตรฐานสากล ทองคำ 1 ตำลึง = 1 ออนซ์ = 31.104 กรัม
และ น้ำหนักทอง 1 บาท = 15.160 กรัม

อ้างอิงจาก คมชัดลึก ฉบับวันที่ 27/10/2005

หน่วยน้ำหนักของทองคำ

กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
บาท : ใช้ในประเทศไทย
ชิ : ใช้ในประเทศเวียตนาม

การแปลงน้ำหนักทองคำ
ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)
ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%

ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์
ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม

 

ที่มาของวัน อีสเตอร์

โดย ศาสนาจารย์ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำว่า อีสเตอร์นี้ไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ แต่เรื่องราวความหมายและความสำคัญของคำๆนี้ ปรากฎชัดอยู่มากมายในพระคัมภีร์

คำว่า อีสเตอร์ที่ถูกนำมาใช้เรียกเทศกาลเฉลิงฉลองการที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตายนี้ได้มาจากนามของเทวี หรือพระแม่เจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิของพวกแองโกล-แซกซอน ที่มีนามว่า “Eastre”

เข้าใจว่าการฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายหรือการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้นมาเกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ผลิ เพราะ
1. วันอีสเตอร์ อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ระหว่างเดือนมีนาคม และ เมษายน)
2. ฤดูใบไม้ผลิ เป็นสัญญลักษณ์ของชีวิตใหม่ เพราะต้นไม้ใบหญ้าที่ดูเหมือนตายไปแล้วในฤดูหนาวกลับผลิใบออกดอกดุจเกิดใหม่ นับเป็นภาพที่เหมาะสมกับการพรรณนาถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์

แต่ตัวเทศกาลนี้ จริงๆแล้วได้พัฒนามาจากเทศกาล ปัสกา” (Passover) ของยิว ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในช่วงเทศกาลปัสกาดังกล่าว

ดั้งเดิมแล้ว วันอีสเตอร์ ได้ถือปฏิบัติกันในวันปัสกา (วันที่ 14 เดือนนิสาน) จนกระทั่งในกลางศตวรรษที่ 2 คริสเตียนบางกลุ่มเริ่มเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์นั้น ในวันอาทิตย์หลังจากวันที่ 14 เดือนนิสาน โดยถือเอาวันศุกร์ก่อนหน้าเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงสิ้นพระชนม์ สุดท้ายก็เกิดการโต้เถียงในเรื่องวันที่ถูกต้องในการฉลองอีสเตอร์

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 197 วิคเตอร์ แห่งโรม ได้บีบพวกคริสเตียนที่ยังยืนกรานที่จะฉลองอีสเตอร์ในวันที่ 14 เดือนนิสาน ให้ออกไปจากหมู่คณะ แต่การถกเถียงยังคงดำเนินอยู่ต่อไป จนกระทั่งมาถึงต้นศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรงบัญชาให้ถือรักษาวันอีสเตอร์เป็นวันอาทิตย์ หลังวันที่ 14 เดือนนิสาน แทนการฉลองในวันที่ 14 เดือนนิสานเหมือนที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม

ด้วยเหตุนี้เอง วันอีสเตอร์จึงได้รับการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์แรกหลังจากคืนวันเพ็ญแรก ที่ตามหลังวัน วสันตวิษุสวัต” (Vernal equinox) ซึ่งเป็นวันที่กลางวันเท่ากับกลางคืนตรงกับวันที่ 21 มีนาคม พูดง่ายๆก็คือจากวันนี้มาจนถึงวันนี้ วันอีสเตอร์จะต้องมาหลังจากวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี

จึงสรุปได้ว่า เมื่อตอนเริ่มแรกนั้น อีสเตอร์ เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ผูกพันใกล้ชิดกับวันปัสกา ซึ่งเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอล ให้อพยพรอดออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ และเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงตายไถ่ผู้ศรัทธาในพระองค์ให้รอดพ้นจากโทษบาป

จนกระทั่งในศตวรรษที่ 4 อีสเตอร์ จึงแยกออกมาเป็นการเฉลิงฉลองเพื่อระลึกถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์หลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์และการฉลองนี้จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เคยเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิของชาวยุโรป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ จำดำเนินมายาวนานนับพันปีแล้ว แต่สำหรับชาวไทยนั้น วันอีสเตอร์ยังนับว่าเป็น สิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

หวังว่า จากนี้ไป อีสเตอร์ จะกลับกลายเป็นเทศกาลที่คนไทยตื่นเต้นที่จะร่วมเฉลิมฉลองด้วยความเข้าใจ

 

 

ที่มาของพระประจำวันเกิด
พระประจำวันเกิด


วันจันทร์
สิทธิการิยะ ท่านว่าคนที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนมีเสน่ห์
เป็นที่รักแก่บุคคลทั้งหลาย
โกรธง่ายหายเร็ว ทำการสิ่งใดมักละเอียด เหมาะสำหรับงานด้านศิลปะวิทยา
แต่เป็นผู้ใจน้อย อ่อนไหว ทำให้ขาดอำนาจและวาสนา
โบราณจารย์จึงให้พระปางห้ามญาติเป็นพระประจำวันจันทร์
เพราะดาวจันทร์ความคิดสับสน
ปางนี้จึงเหมือนเตือนเจ้าชะตา ผู้ที่กำเนิดในตำแหน่งลัขณาดาวจันทร์นี้
ดุจพระพุทธองค์ห้ามญาติทั้งสองฝ่ายแย่งน้ำซึ่งกันและกัน
เมื่อวันจันทร์เป็นวันที่มีเสน่ห์ แต่ขาดซึ่งอำนาจและวาสนา
พระเครื่องที่เหมาะสำหรับ
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ควรจะเป็นตระกูล พระยอดขุนพล เนื้อพระทำด้วยตะกั่วแก่
ดีบุก ปรอท
(ชินเงิน) ตะกั่วเดือน ( ตะกั่วสนิมแดง) พระในชุดนี้ โบราณจารย์ท่านถือว่า
เสริมบารมีในอำนาจยิ่งนัก

พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ พระในตระกูลเนื้อชิน
อาทิเช่น พระร่วงหลังรางปืน จังหวัดสุโขทัย , พระร่วงหลังลายน้ำ จังหวัดลพบุรี
,
พระเชตุพน จังหวัดสุโขทัย , พระพิจิตรข้างเม็ดกรุเขาพนมเพลิง ,
พระกรุวัดราชบูรณะจังหวัดอยุธยา ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันจันทร์ พระคู่กายควรจะเป็น พระยอดขุนพล พระกรุต่างๆ
เป็นดีที่สุด

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

วันอังคาร
สิทธิการิยะ ท่านว่าเป็นคนมุทะลุดุดัน มักเจ้าอารมณ์โมโหร้าย
โกรธเคืองขุ่นอันตราย แต่เป็นคนรักจริง เอาจริงเอาจังต่อสิ่งที่ตนเองกระทำ
โบราณจารย์ ท่านจึงให้พระปางไสยาสน์ เป็นพระปางประจำวันเกิด
เพราะพระพุทธเจ้าไสยาสน์นั้นหมายถึงตอนที่พระพุทธองค์ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
คำว่านิพพาน เป็นว่า เย็น ดังนั้นเมื่อผู้ที่เกิดวันอังคารมีอารมณ์ร้อน
จึงควรมีพระประจำวันคือ พระนอนเย็นอนุสติ เตือนใจให้รู้จักความเยือกเย็น
ส่วนพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร นั้นควรเป็นพระผงพุทธคุณ
เนื่องจากเป็นพระที่มิได้ผ่านความร้อน อีกทั้งพุทธานุภาพ ขององค์พระ
จะช่วยให้จิตใจเยือกเย็น เป็นสมาธิ สามารถบรรเทาธาตุโทสะจริต
แห่งฤกษ์ชะตาวันเกิดได้

พระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดวันอังคารได้แก่ พระผงในตระกูลสมเด็จ
อาทิเช่น พระสมเด็จวัดระฆัง , พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม , พระสมเด็จวัดเกศไชโย
รวมถึงพระผงคณาจารย์ต่างๆ เช่น พระปิสันธ์วัดระฆัง พระวัดสามปลื้ม
พระวัดท้ายตลาด
พระวัดพลับ พระผงวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ฯลฯ

สรุป สำหรับคนที่เกิดวันอังคาร พระคู่กายควรจะเป็นพระเนื้อผงต่างๆ เป็นดีที่สุด

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

วันพุธ
สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันพุธแยกเป็นสองนัย กล่าวคือ พุธกลางวันอย่างหนึ่ง
พุธกลางคืนอย่างหนึ่ง
พุธกลางวันนั้น ท่านว่าเป็นคนมีฝีปากกล้า ค้าขายคล่องแคล่ว เดินทางเก่ง
ติดต่อสื่อสารกับผู้ใดมักได้ลาภเสมอ แต่มักทำคุณคนไม่ขึ้น ทำดีสิ่งใด
มักไม่มีใครเห็น โบราณจารย์ท่านจึงได้ให้พระปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันเกิด
ในวันพุธกลางวันหมายถึงการบิณฑบาตร โปรดสัตว์
โดยมิได้เห็นแก่พระราชามหากษัตริย์หรือขอทานยาจก
แม้ผู้ใดปรารถนาในกุศล ท่านโปรดเท่าเทียมกัน จึงเป็นอนุสติ
แก่เจ้าชะตาผู้เกิดในวันพุธกลางวัน ว่าแม้ทำความดี มิมีได้เห็น ก็ไม่ต้องใส่ใจ
พุธกลางคืนนั้น ท่านว่า
เป็นคนลึกลับมีความรู้ความสามารถในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถ
มักจะมีลางสังหรณ์ทราบการณ์ล่วงหน้า แต่มักไม่ค่อยมีคนเข้าใจเวลามีปัญหา
โบราณจารย์ท่านจึงให้พระปางป่าเลไลย์เป็นอณุสติ เนื่องจากพระปางนี้
เป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายพระสาวกที่ขัดแย้งกัน พระพุทธองค์จึงทรง
เสด็จไปเพียงลำพัง ณ ป่าเลไลย์ มีช้างป่ามาถวายกล้วย และ ลิงมาถวายน้ำผึ้ง ฯลฯ

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางวันนั้น
เนื่องจากวันพุธเป็นฤกษ์แห่งการทำกิน
พระเครื่องที่เหมาะสมนั้นควรเป็นพระประเภทลีลา หรือปางลีลาเสด็จกลับจากดาวดึงส์
มีความหมายแห่งความก้าวหน้า อาทิเช่น พระกำแพงเพชรลีลา พิมพ์ต่างๆ เช่น
ลีลาเม็ดขนุน ,ลีลาพลูจีบ , ลีลากลีบจำปา , ลีลาเมืองสวรรค์ ชัยนาท
ลีลายี่สิบห้าพระพุทธศตวรรษ พุทธมลฑล ฯลฯ

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนนั้น
เนื่องจากลักษณะวันนั้น
ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนมักมีสัมผัสพิเศษ และมีลางสังหรณ์มากกว่าวันอื่น
ดังนั้นนอกจากพระเครื่องพระพิมพ์ที่อาราธนาแล้วควรจะมีเครื่องราง
เสริมดวงได้ป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งคนที่เกิดในวันนี้ สัมผัสได้ง่าย
ตัวอย่างเครื่องรางที่ควรพกพา เช่น ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย
วัดศรีษะทอง , ตะกรุดคณาจารย์ต่างๆ , ลูกอมผงพุทธคุณ ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางวัน พระคู่กายคือ พระยืนปางลีลาต่างๆ
สำหรับท่านที่เกิดวันพุธกลางคืน พระคู่กายคือ พวกเครื่องรางแบบต่างๆ

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

วันพฤหัสบดี
สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันพฤหัสฯนั้นท่านว่า เป็ฯคนมีปัญญาชาญฉลาด
มีความยุติธรรมเที่ยงตรง มีความรู้กว้างขวาง ชอบเรียนรู้ ใจเอื้อเฟื้อ
แต่เป็นคนไม่ยอมคน ไม่ฉ้อฉลจนเป็นคนสังคมแคบ ด้วยความที่เป็น
ผู้มีความรู้มีปัญญา
โบราณจารย์จึงให้พระปางสมาธิเป็นพระประจำวันเกิด
เนื่องจากหมายถึงการเจริญสมาธิอันหมายถึงปัญญา
สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดวันพฤหัสฯนั้น เนื่องจาก
เป็นผู้ที่มีปัญญา มีความรู้กว้างขวาง พระพิมพ์ที่ช่วยเสริมดวงวาสนานั้น
โบราณท่านว่า พระปางเปิดโลก ท่านถือว่าเป็นพระแห่งปัญญา
เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันนี้เป็นที่สุด พระพิมพ์นี่นี้ ที่มีชื่อเสียงอาทิเช่น
กรุเตาเรียง จ.สุโขทัย พระร่วงเปิดโลกพิมพ์เม็ดทองหลาง จ.กำแพงเพชร ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันพฤหัสฯ พระคู่กายคือพระยืนปางเปิดโลกเป็นดีที่สุด

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

วันศุกร์
สิทธิการิยะ คนที่เกิดวันศุกร์นั้นท่านว่าเป็นคนราคะจริตสูง
เป็นคนหลงในสิ่งสวยงามชอบของสวยของงาม ทำงานประณีต
โบราณจารย์ ท่านจึงให้พระปางรำพึง เป็นอณุสติเตือน ปางรำพึงนั้น
ตามพุทธประวัติเป็นปางที่พระพุทธองค์ พิจารณาธรรมสังเวช หมายถึง
อสุภกรรมฐาน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เกิดวันศุกร์จึงควรมีพระปางรำพึงไว้
เป็นอณุสติไว้ไม่ให้หลง

สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดวันศุกร์นั้น
จึงควรเป็นพระปิตตาภควัมปติเพื่อเป็นลักษณะอณุสติเตือนใจ
มิให้หลงในสิ่งต่างๆ และเสริมดวงโชคลาภวาสนา
จะไหลมาอย่างที่คาดไม่ถึง พระพิมพ์ปิตตาภควัมปติที่มีชื่อเสียงอาทิเช่น
พระภควัมปติ ของหลวงพ่อแก้ว จ.ชลบุรี พระภควัมปติของหลวงปู่เอี่ยม
วัดสะพานสูง จ.นนทบุรี ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันศุกร์ พระคู่กาย ควรจะเป็นพระปิตตา มหาอุตม แบบต่างๆ
เป็นดีที่สุด

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

วันเสาร์
สิทธิการิยะ ท่านที่เกิดวันเสาร์ ท่านว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต พูดจริงทำจริง
ภายนอกดูดุดันแต่ภายในใจเป็ฯคนใจอ่อน แต่เป็นคนที่หาคนทำร้ายได้ยากยิ่ง
เนื่องจากตำแหน่งลักขณาดาวนี้ดวงแข็ง
โบราณจารย์ถือว่า คนเกิดวันเสาร์นั้นดวงแข็งไม่มีผู้ใดทำร้ายได้
จึงถือเอาพระปางนาคปรกเป็นพระประจำวันเกิด เนื่องจากหมายถึง
พระยามุจรินทร์นาคราช มาแผ่พังพาฬป้องกันภยันตรายต่างๆแก่พระพุทธองค์
สำหรับพระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดในวันเสาร์ เนื่องจากดาวเสาร์
เป็นคนจริงจังเคร่งเครียด พระพิมพ์ที่เสริมดวงของผู้ที่เกิดวันนี้นั้นควรจะเป็น
พระที่ทำจากว่านอันเป็นคุณลักษณะที่เย็นและบริสุทธิ์จากธรรมชาติ อาทิเช่น
พระว่านหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี , พระกำแพงว่านหน้ากอง หน้าเงิน
พระว่านจำปาศักดิ์ ประเทศลาว , พระมหาว่านขาว มหาว่านดำ สำนักเขาฮ้อ พัทลุง ฯลฯ

สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันเสาร์ พระคู่กายควรเป็น พระเนื้อว่าน เป็นดีที่สุด

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

วันอาทิตย์
สิทธิการิยะ ท่านว่าคนเกิดวันอาทิตย์นั้นเป็นคนมีความมาดมั่น มุ่งมั่นในงาน
มีความว่องไว แต่มักฉุนเฉียวง่าย การตัดสินใจมักขาดความยั้งคิด
โบราณจารย์ท่านจึงให้พระพุทธปางถวายเนตรเป็นพระประจำวันเกิด
เนื่องจากปางถวายเนตร เป็นปางยืนพิจารณาธรรมอันปิติ ในท่าสำรวม
หมายถึงการกระทำอย่างมีสติ
ดังนั้นเมื่อดาวอาทิตย์ เป็นตำแหน่งลักขณาที่มีอำนาจอยู่ในตัว
พระเครื่องที่ผู้เกิดวันอาทิตย์ควรอาราธนาเพื่อความเป็นศิริมงคลนั้น
ควรจะเป็นพระพิมพ์ที่ผ่านความร้อนจากไฟ เนื่องจากจะช่วยหนุนธาตุประจำตัว
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเป็นพระปางมารวิชัย เนื่องจากเป็นพระพิมพ์
ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะพญามาร เนื่องจากเจ้าชะตาผู้เกิดวันอาทิตย์
เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจประกอบอาชีพ จึงมักมีศัตรูหรือ อริ

พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้แก่ พระรอด ลำพูน , พระดง
ลำพูน ,พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี , พระหลวงพ่อโต
กรุบางกระทิง
พิมพ์มารวิชัย , พระกริ่งคลองตะเคียน อยุธยา , พระกรุวัดตะไกร อยุธยา ,
พระกรุขรัวอีโต้ วัดเลียบ กทม. ฯลฯ

สรุป สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ พระคู่กายควรจะเป็น พระนั่ง
ศิลปแบบนั่งมารวิชัย เป็นดีที่สุด

 

 

ที่มาของชื่อวง The Beatles

ชื่อ Beatles จริงๆแล้วก็คงมาจาก Beetles ที่แปลว่าแมลงปีกแข็งนั่นแหละ โดยเป็นการเดินรอยตามวง The Crickets ที่เป็นวงสนับสนุนของ Buddy Holly แต่คำว่า Crickets ก็มีสองความหมายคือ จิ้งหรีด และกีฬาประเภทหนึ่ง จอห์นเลยต้องเปลี่ยน e หนึ่งตัวใน Beetles ให้เป็น a คำว่า Beatles จึงมีความหมายสองแง่สองง่ามเอ๊ยมุมกะเค้าได้ "เมื่อคุณอ่านมันคือแมลงแต่เมื่อคุณเขียนมันมีความหมายไปทางผู้สรรสร้างจังหวะ" จอห์นว่าไว้ในอีกวาระหนึ่ง.....


SOS ย่อมาจากคำว่าอะไร เหตุใดจึงใช้เวลาขอความช่วยเหลือ

สัญญาณ SOS มีที่มาจากการกดรหัสมอร์ส ซึ่งบัญญัติตั้งแต่ปีค.ศ.1908 ให้เป็นสัญญาณแสดงภัยพิบัติสากล หลังจากศึกษาแล้วว่า SOS เป็นสัญญาณที่กดง่าย เห็นปุ๊บรู้ปั๊บ เพียงกดแค่ 3 จุด ขีด 3 ขีด หรือ จุด 3 จุดเท่านั้น เป็นอันเข้าใจกันทันที

หลายคนมักเข้าใจว่า SOS ย่อมาจาก Save Our Souls (เซฟ อาวเวอร์ โซลส์) หมายถึงช่วยปกปักรักษาดวงวิญญาณของเรา แต่จริงๆแล้วมีที่มาจากรหัสมอร์สที่กล่าวถึงข้างต้น

  

ที่มาของคำว่าคริสต์มาส


คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว ่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จ ะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเป ิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเ ช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงย ากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว ้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้า ในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูก

ฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที ่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสั ญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโล ก คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

 


คำสำคัญ (Tags): #ความรู้
หมายเลขบันทึก: 218905เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 15:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 03:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

รู้ไว้ม่ายโง่...

แครป.......

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท