ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย 4


รู้ไว้ใช่ว่า

ที่มาของคำว่า "โอละพ่อ"

 

โอละพ่อปัจจุบันใช้กับความหมายสื่อไปทาง ..ที่แปลว่ากลับตาลปัตร หรือกลับตรงกันข้าม อย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ ค่อนข้างจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ มาจากการเล่น
ระเบ็งเป็นการละเล่นในชุดพระราชพิธีที่แปลกกว่าอย่างอื่น คือแสดงเป็นเรื่องมาจากเทพนิยาย เนื้อร้องกล่าวถึงเทวดามาบอกให้บรรดากษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครไปเขาไกรลาสระหว่างเดินทางก็เดินชมนกชมไม้ไปจนพบพระกาลมาขวางทางไว้ กษัตริย์เหล่านั้นไม่รู้จักก็ไล่ให้หลีกทางไปเงื้อธนูจะยิง พระกาลกริ้วมากจึงสาปให้สลบ แล้วพระกาลเกิดสงสารจึงถอนคำสาบให้ฟื้นดังเดิม แล้วขอร้องให้กลับเมืองดังเดิม กษัตริย์ก็เชื่อฟังกลับเมือง เป็นเหตุที่มาของการใช้คำ คือจะไปแต่ไม่ได้ไปต้องกลับเลยเรียก ว่าโอละพ่อต่อ ๆ กันมา
การแต่งกาย ผู้เล่นเป็นกษัตริย์น้อยใหญ่แต่งกายเหมือนกันทุกคน นุ่งสนับเพลา นุ่งผ้าเกี้ยวสวมเสื้อคอตั้งแขนยาว ปล่อยชายไว้นอกผ้านุ่ง มีผ้าคาดพุง ศีรษะสวมเทริด มือถือธนู
ผู้เล่นเป็นพระกาลแต่งกายได้ ๒ แบบ คือ เครื่องแต่งตัวเหมือนผู้เล่นเป็นกษัตริย์น้อยใหญ่ สวมเสื้อครุยทับ ศีรษะสวมลอมพอก (ชฎาเทวดา ตลก สีขาว ยอดแหลมสูง) หรือแต่งตัวยืนเครื่อง ทรงเครื่องเหมือนกษัตริย์ในละครรำ แต่ไม่สวมเสื้อ
การเล่นในสมัยก่อนใช้ฆ้อง ๓ ใบเถาเรียกว่า "ฆ้องระเบง" ตีรับท้ายคำร้องทุก ๆ วรรคโดยตีลูกเสียงสูงมาหาต่ำ จากต่ำมาหาสูง ปรากฏในพระราชนิพนธ์โคลงดั้น เรื่อง "โสกันต์" ต่อมาใช้ปี่พาทย์บรรเลง เริ่มต้นจะบรรเลงเพลง "แทงวิสัย" ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะกับการเต้นของผู้เล่นเป็นกษัตริย์น้อยใหญ่ ซึ่งจะมีจำนวนเท่าไรก็ได้ให้พอกับเวทีหรือสนามที่เล่น เมื่อเต้นไปสุดเวที ผู้เล่นที่อยู่หัวแถวจะร้องต้นบทว่า "โอละพ่อถวายบังคม" ผู้เล่นทั้งหมดจะร้องรับพร้อมๆ กันว่า "โอละพ่อถวายบังคม" ผู้เล่นทำท่าถวายบังคมไปด้วย เป็นการรำถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดิน
ต่อจากรำถวายบังคมแล้ว ผู้เล่นจะแปรแถวอย่างเป็นระเบียบ แล้วผู้เล่นก็ร้องบทต่อไปลุกขึ้นเต้น ปากก็ร้องบทไปเรื่อย ๆ เมื่อยกขาขวาจะทำท่าเอาลูกธนูตีลงไปบนคันธนู วางขาขวายกขาซ้าย เหยียดมือขวาออกไปข้างตัวจนสุดแขนเป็นท่าง้างธนู จนกระทั่งมาพบพระกาล
ตัวอย่างบทถวายบังคมตอนหนึ่งมีว่า
โอละพ่อถวายบังคม
โอละพ่อบัวตูมทั้งหลาย
โอละพ่อกลับซ้ายไปขวา
โอละพ่อกลับหน้าเป็นหลัง
โอละพ่อเทวัญมาบอก
โอละพ่อจะไปไกรลาศ
รักพี่ข้าเอยจะไปไกรลาศ
รักแก้วข้าเอยจะไปชมนก
รักพี่ข้าเอยจะไปชมไม้
โอละพ่อขวางหน้าอยู่ไย
โอละพ่อพร้อมกันทั้งปวง
โอละพ่อกลับซ้ายไปขวา
โอละพ่อสลบทั้งปวง
โอละพ่อยกกลับเข้าเมือง โอละพ่อประนมกรทั้งปวง
โอละพ่อบัวบานทั้งปวง
โอละพ่อกลับขวามาซ้าย
โอละพ่อกลับหลังเป็นหน้า
โอละพ่อยกออกจากเมือง
รักแก้วข้าเอยจะไปไกรลาศ
รักน้องข้าเอยจะไปไกรลาศ
รักแก้วข้าเอยจะไปชมไม้
รักน้องข้าเอยจะไปชมไม้
โอละพ่อหลีกไปให้พ้น
โอละพ่อตั้งตบะทั้งปวง
โอละพ่อแผลงศรทั้งปวง
โอละพ่อกลับหน้าเป็นหลัง
โอละพ่อเรามาถึงเมือง

ที่มา เงาะโรงเรียน
เงาะโรงเรียน เป็นเงาะที่มีรสชาติอร่อย เนื้อกรอบ หวานหอม และมีปลูกกันมากอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และมีชื่อเสียงเป็นที่ นิยมของผู้บริโภคก็คือ อำเภอบ้านนาสาร ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของชื่อเงาะโรงเรียน
เงาะโรงเรียนมีประวัติเล่ามาว่า เมื่อปี พ.ศ. 2468 มีชาวจีนสัญชาติมาเลเซียชื่อนายเค วอง มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองปีนัง ประเทศ มาเลเซีย ได้เดินทางเข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่หมู่บ้านเหมืองแกะ ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสารโดยสร้างบ้านพักเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ในที่ดินที่ซื้อจำนวน 18 ไร่ ใกล้ทางรถไฟ ด้านทิศตะวันตก ได้นำเมล็ดเงาะมาปลูก ข้างบ้านพัก ปรากฎว่ามีเงาะต้นหนึ่งมีผลที่มี ลักษณะต่างไปจากต้นอื่นคือรูปผลค่อนข้างกลมเนื้อกรอบ หวาน หอม เปลือกบาง
เมื่อนายเค วอง เลิกล้มกิจการเหมืองแร่ในปี พ.ศ. 2497 ได้ขายที่ดินจำนวน 18 ไร่ พร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่กระทรวง ธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) ซึ่งได้ปรับปรุงใช้เป็นสถานที่เรียนเรียกว่า โรงเรียนนาสาร เงาะที่นายเค วอง ปลูกไว้ก็ได้ขยายพันธุ์ สู่ประชาชนโดยใช้ต้นพันธุ์เดิม จึงเรียกว่าเงาะโรงเรียน
ในปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายชัช อุตตมางกูร ผู้นำชาวสวนเงาะได้ทูลเกล้าฯ ถวายผลเงาะโรงเรียนและขอพระราชทาน ชื่อพันธุ์เงาะนี้เสีย-ใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า "เงาะโรงเรียนดีอยู่แล้ว" ตั้งแต่นั้นมาเงาะพันธุ์นี้จึงได้ชื่อว่า "เงาะโรงเรียน" อย่างเป็นทางการ

วงโยธวาทิต (หรือภาษาอังกฤษว่า MILITARY BAND )
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าเป็นหลัก แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มเครื่องลมไม้ ( WOODWIND INSTRUMENTS )
-PICCOLO
-FLUTE – OBOE
-CLARINET
-BASSOON
-SAXOPHONE
2. กลุ่มเครื่องทองเหลือง ( BRASS INSTRUMENTS )
-CORNET
-TRUMPET
-BARITONE
-HORN
-EUPHONIUM
-TROMBONE
-BASS
3. กลุ่มเครื่องจังหวะ ( PERCUSSION INSTRUMENTS )
-SIDE DRUM
-BASSDRUM
-TIMPANI
-XYLOPHONE
สำหรับขนาดของวงโยธวาทิตนั้น จะมีผู้บรรเลงตั้งแต่ 15 คน ขึ้นไป ถึง 100 คนเลยล่ะค่ะ
และสำหรับหน้าที่การบรรเลงของวงโยธวาทิตนั้น เนื่องจากเป็นวงดนตรีทีมีเสียงดัง ตื่นเต้นเร้าใจ ฮึกเหิม เหมาะแก่การใช้บรรเลงสถานที่กว้าง ๆ หรือกลางแจ้ง
เช่น สมทบแถวกองเกียรติยศ, นำแถวทหารในพิธีต่าง ๆ และนำแถวนักกีฬา, บรรเลงในพิธีหรือบรรเลงในงานตามคำสั่ง ฯ และแสดงการแปรขบวนค่ะ

 

ตำนานภูกระดึง

เมื่อประมาณปี 2348 มีพรานผู้ชำนาญในการล่าสัตว์มากคนหนึ่ง เดินทางมาจากนครจำปาศักดิ์ เขารอนแรมมาในป่าเป็นเวลาหลายวันจนมาพบแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์เหมาะที่จะตั้งเป็นบ้านเรือน จึงเดินทางกลับไปอพยพครอบครัวและชักชวนญาติพี่น้องมาสร้างหลักปักฐานอยู่ที่แห่งนั้น และตั้งชื่อว่า "หมู่บ้านท้ายเมือง" หรือก็คือ "ผานกเค้า" ที่เราชอบไปต่อรถขึ้นภูนั่นแหละ

อยู่มาวันหนึ่งนายพรานก็ได้ออกตามล่ากระทิงโทนที่ปราดเปรียวเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งถึงเชิง เขาลูกหนึ่ง รอยเท้าที่ใหญ่และหนักของกระทิงก็เริ่มปรากฏชัดตัดขึ้นสู่ยอดเขาสูง นายพรานก็แกะรอย ตามอย่างไม่ลดละจนขึ้นมาถึงยอดเขา ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับตะลึง เพราะพื้นที่บนยอดเขานั้น ราบเรียบและกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ป่านานาชนิดทั้งกระทิง เก้ง กวาง และช้างป่า หากินกันอยู่เป็นฝูงๆ สัตว์เหล่านั้นไม่ได้ตกใจหรือตื่นกลัวนายพรานเลย เพราะไม่เคยเห็นคนมาก่อน ส่วนนายพรานเองก็ไม่กล้าที่จะยิงสัตว์เหล่านั้นเพราะแกเชื่อว่า ภูเขายอดตัดที่เห็นนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จึงได้กลับลงมาและบอกเล่าเรื่องราวที่ตนได้ไปพบเจอมาได้เพื่อนบ้านฟัง เรื่องราวของภูกระดึง จึงถูกเปิดเผยตั้งแต่นั้นมา

สมัยที่ภูเขาลูกนี้ยังไม่มีชื่อ ก็มีตำนานเล่ามาว่ามีเสียงระฆังดังมาจาก "หมู่บ้านผีบังบด" ซึ่งเป็น หมู่บ้านของมนุษย์พิสดารจำพวกหนึ่งที่เราไม่สามารถจะเห็นตัวของเขาได้เมื่อเข้าใกล้ หมู่บ้านทั้ง หมู่บ้านก็จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นป่าทันที เสียงระฆังที่ว่านี้จะได้ยินเฉพาะวันพระเท่านั้น จนกล่าวกันว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์

คำว่า "ภู" หมายถึง ภูเขา ส่วนคำว่า "กระดึง" เป็นภาษาพื้นเมืองที่หมายถึงกระดิ่งหรือระฆัง เพราะฉะนั้น "ภูกระดึง" ก็หมายถึง ภูเขาที่มีเสียงระฆังนั่นเอง

 

 

แผ่นทดสอบการตั้งครรภ์ทำงานอย่างไร
ภก.รังสรรค์ โยธาประเสริฐ
เป็นเรื่องง่ายในปัจจุบันที่ผู้หญิงเราสามารถตรวจสอบด้วยตนเองว่าขณะนี้ได้ตั้งครรภ์หรือไม่ เมื่อไม่แน่ใจ
ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ เมื่อตนพบว่าประจำเดือนไม่มาตามปกติ
แผ่นทดสอบการตั้งครรภ์สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป กลไกของการทำงานและให้เกิดการแสดงผล
ออกมาก็ไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป สามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ เรามาลองพิจารณาดูหลักของการตรวจ
ทดสอบจะต้องตรวจหาฮอร์โมนชนิดหนึ่งในปัสสาวะของผู้หญิง ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกผลิตขึ้นหลังจากไข่ของ
ฝ่ายหญิงได้ถูกผสมกับสเปริ์มของฝ่ายชายแล้ว ฮอร์โมนชนิดนี้มีชื่อว่า Human Chorionic Gonadotropin
(ขอเรียกสั้นๆ ว่า hCG) โดยมันจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 2 - 3 วัน และมีปริมาณสูงสุด ณ สัปดาห์
ที่แปดของการตั้งครรภ์ การตรวจให้เกิดการแสดงผลว่ามีฮอร์โมนชนิดนี้ อาศัยการเกิดปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกัน
อิมมูล (ดูรูปประกอบ) สารภูมิต้านทาน (Antibody) ซึ่งเป็นโปรตีนลักษณะรูปตัว Y ร่างกายจะสร้างขึ้นทุกครั้ง
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่เราเรียกว่า สารก่อภูมิต้านทาง (Antigen) เพื่อจะเข้าไปจับสารก่อภูมิต้านทานเพื่อ
ทำให้หมดฤทธิ์
โดยทั่วๆ ไป ลักษณะรูปร่างของแผ่นทดสอบฯ มักจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ มีความหนาเล็กน้อย
พื้นผิวของแผ่นจะมีบริเวณที่เป็นหลุมอยู่สองส่วนที่เป็นส่วนสำคัญ และจะเคลือบด้วยสารภูมิต้านทาน (Antibody)
ที่สกัดได้จากสัตว์ 2 ประเภทซึ่งต่างชนิดกัน หลุมหนึ่งเป็นบริเวณทดสอบ อีกหลุมหนึ่งเป็นบริเวณควบคุม
สารภูมิต้านทานที่สกัดได้จากสัตว์นี้จะติดไว้ด้วยเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนให้เห็นเป็นแถบสีได้ โดยเอนไซม์จะ
ทำงานต่อเมื่อเกิดการจับกันระหว่างสารก่อภูมิต้านทานกับสารภูมิต้านทาน เมื่อเราหยดปัสสาวะบนแผ่นทดสอบฯ
ณ บริเวณที่กำหนด หากในปัสสาวะมีฮอร์โมน hCG ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นสารก่อภูมิต้านทาน
ของผู้หญิงนั้น ด้านหนึ่งของฮอร์โมน hCG ได้ถูกจับกับสารภูมิต้านทานของคนไว้ก่อนแล้ว อีกด้านหนึ่งที่เหลือ
จะถูกจับกับสารภูมิต้านทานที่เคลือบบนแผ่นหลุม ณ บริเวณทดสอบ ดังนั้นบริเวณนี้ก็จะปรากฏแถบสีขึ้น
ส่วนสารภูมิต้านทานที่เหลืออยู่ที่ไม่ได้จับกับฮอร์โมน hCG (ปกติร่างกายจะสร้างสารภูมิต้านทานไว้มากเกิน
จำนวนสารก่อภูมิต้านทานเสมอ) ก็จะเคลื่อนไปจับกับสารภูมิต้านทานที่เคลือบอยู่ ณ บริเวณควบคุม เนื่องจาก
สารภูมิต้านทานที่เคลือบอยู่นี้เป็นสิ่งที่สกัดได้จากสัตว์ จึงเป็นเหมือนสารก่อภูมิต้านทานสิ่งแปลกปลอม
ที่ปัสสาวะคนสัมผัส เกิดแถบสีขึ้นอีกเหมือนกัน การปรากฏแถบสีขึ้น 2 แห่งนี้ แสดงผลว่าผู้หญิงนั้นตั้งครรภ์
แต่หากเกิดแถบสีขึ้น ณ บริเวณควบคุมเพียงแห่งเดียว แสดงผู้หญิงนั้นไม่ได้ตั้งครรภ์ (มีเพียงสารภูมิต้านทาน
ของคนที่จับกับสารภูมิต้านทานที่สกัดจากสัตว์ ไม่มีส่วนของสารภูมิต้านทานของคนที่ถูกจับกับฮอร์โมน hCG
อยู่เลย) และถ้าเกิดแต่แถบสี ณ บริเวณทดสอบเพียงแห่งเดียว หรือไม่ปรากฏแถบสีทั้งสองบริเวณนั้น แสดงว่า
แผ่นทดสอบการตั้งครรภ์เสีย หรือเสื่อมคุณภาพ หมดอายุการใช้งาน แล้วแต่กรณี กรณีเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้
ฉะนั้นเวลาท่านไปหาซื้อมาใช้ แผ่นทดสอบฯ จะบรรจุห่อหุ้มด้วยกระดาษฟอยล์ป้องกันให้อยู่คงสภาพใช้งานไว้
เมื่อฉีกกระดาษฟอยล์ออกโปรดดำเนินการทดสอบทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน อาจเสื่อมสภาพได้ และโปรดดู
วันที่ระบุวันหมดอายุไว้บนกล่องด้วย หากท่านมีข้อสงสัยประการใด โปรดสอบถามกับเภสัชกรประจำร้านได้

 

 

ความหมาย เทควันโด

 

มีหลายคนที่ไปร่ำเรียนกีฬาสุดฮิตชนิดนี้ จากสายขาวขึ้นสายเหลืองไปแล้ว ทำท่าทำทางได้แข็งแรง แต่สิ่งที่ทุกคนดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจเลยคือภาษาเกาหลีที่ใช้ การเรียนควรให้ความสำคัญกับเจ้าของวัฒนธรรมด้วย ถึงจะครบสูตรว่ารู้จริง
อย่างแรกเลย คำที่ใช้เรียกกีฬาชนิดนี้
เท หมายถึง เท้า การใช้ขา เท้า
****มีหลายคนไปสับสนกับภาษาญี่ปุ่น เต้ ซึ่งหมายถึงมือ ทำให้ตำราหลายๆ เล่มช่วงแรกๆ จึงแปลกันผิด****
ควัน หมายถึง มือ การใช้มือ หมัด
โด หมายถึง สติ ปัญญา ศิลปะ

รวมกันเข้าก็จึงกลายเป็นการใช้มือ และ เท้า อย่างมีสติปัญญา

 

 




ทำไม โดนัทจึงมีรู


ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์ แต่เดิมไม่มีรูตรงกลาง
แต่เป็นแป้ง
ทอดมีรสหวาน บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยได้ว่า
ขนมน้ำมัน (oil cake)
ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่ 17 ได้นำขนม
ประเภทนี้ไปด้วยเนื่องจากขนมนี้มีรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท
ชาวนิวอิงแลนด์
จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โด ซึ่งแปลว่า ก้อนแป้ง
รูตรงกลางโดนัทเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19
เมื่อนาย แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมน
เจาะรูแป้งโดนัท
ที่มารดากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนม
จะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้น
และสุกเร็วขึ้น เพราะแต่เดิมนั้น ตรงกลางของโดนัทมักจะแฉะสุกไม่ทั่ว
เมืองรอคพอทมีความภาคภูมิใจในรูของ
โดนัทมาก
ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เอาไว้

 

 

ทำไมถึงสะอึก

อึก อึก โอ้ย! ทำไมถึงสะอึกนะ

อึก...อึก...อึก

เอ้า อะไรหละนี่ จู่ๆ ถึงสะอึก เอ๊..หรือว่ามีคนนินทา เขาว่ากันว่าถ้าใครกำลังพูดถึงในทางที่ไม่ดีเนี่ย คนนั้นจะสะอึก จริงหรือเปล่านะ

ไม่จริงหรอก เพราะการสะอึกเป็นสภาวะที่ร่างกายทำงานผิดปรกติต่างหาก เนื่องจากกะบังลมซึ่งเป็นแผ่นกล้ามเนื้อและเนื้อพังผืดกั้นระหว่างช่องท้องกับช่องอกยืด-หดตัวไม่สม่ำเสมอต่างหาก
นอกจากนี้ สาเหตุของการสะอึก อาจเกิดได้จาก มีสิ่งแปลกปลอมไปรบกวนเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม, ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปดันกะบังลม, กลืนอาหารหรือน้ำจำนวนมากจนไหลลงกระเพาะไม่ทัน ทำให้หลอดอาหารตอนปลายขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกระบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เป็นต้น ส่งผลให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด การบีบรัดตัวของกระบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปรกติคอยกั้นไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกระบังลมหดอย่างแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียง (เส้นเอ็น 2 เส้น) สั่นสะเทือน จึงเกิดเสียงอึ๊กๆ อย่างที่ได้ยินเวลาสะอึก ซึ่งอาการสะอึกอาจเกิดขึ้นได้นาทีละหลายครั้ง และสะอึกต่อเนื่องกันได้หลายชั่งโมง จนคนสะอึกเหนื่อย
แต่ใช่ว่าไม่มีวิธีแก้ ซึ่งก็มีหลายวิธี เช่น หายใจลึกๆ กลั้นหายใจ หายใจในถุงกระดาษสัก 3-5 นาที ดื่มน้ำแก้วโตพร้อมกับกลั้นหายใจ หาสิ่งใดแยงจมูกให้จาม ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าแล้วใช้มือลูบหลังเบาๆ ให้เรอ
เท่านี้ก็หาย อึก อึก แล้ว

 

 

ที่มา ชักโครก

สมัยก่อนถังเก็บน้ำจะอยู่สูงครับ เพื่อให้น้ำแรงพอที่จะชำระล้าง
พอมันอยู่สูง ก็เลยต้องมีสายชัก เอาไว้ดึงเปิดลิ้นกั้นน้ำ
น้ำก็ไหลลงมาจากถัง เสียงดังโครก

 



ที่มาของกระดาษ


กระดาษ
กระดาษ เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่ามีการใช้กระดาษครั้งแรกๆ โดยชาวอียิปต์โบราณ และชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณ แต่กระดาษในยุคแรกๆ ล้วนผลิตขึ้นเพื่อการจดบันทึกด้วยกันทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าระบบการเขียน คือแรงผลักดันให้เกิดการผลิตกระดาษขึ้นในโลก ปัจจุบันกระดาษไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้จดบันทึกตัวหนังสือ หรือข้อความ เท่านั้น ยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้มากมาย เช่น กระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ กระดาษลูกฟูกสำหรับทำกล่อง ฯลฯ
กระดาษของชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากหญ้าที่เรียกว่า ปาปิรุส (papyrus) และเรียกว่ากระดาษปาปิรุส พบว่ามีการใช้จารึกบทสวดและคำสาบาน บรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษที่ทำจากปาปิรุสมาตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ของอียิปต์ (ราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล)
สำหรับวัสดุใช้เขียนนั้น ในสมัยโบราณมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น แผ่นโลหะ หิน ใบลาน เปลือกไม้ ผ้าไหม ฯลฯ ผู้คนสมัยโบราณคงจะใช้วัสดุต่างๆ หลากหลายเพื่อการบันทึก ครั้นเมื่อราว ค.ศ. 105 ชาวจีนได้ประดิษฐ์กระดาษจากเศษผ้าฝ้าย และหลังจากนั้นได้มีการใช้วิธีผลิตกระดาษเช่นนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
ประวัติการใช้กระดาษในสยามไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่วัสดุที่มีลักษณะอย่างกระดาษนั้น เรามีกระดาษที่เรียกว่า สมุดไทย ผลิตจากเยื่อไม้ทุบละเอียด ต้มจนเปื่อย ใส่แป้งเพื่อให้เนื้อกระดาษเหนียว แล้วนำไปกรองในกระบะเล็กๆ ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วลอกออกมาเป็นแผ่น พับทบไปมาจนตลอดความยาว จึงได้เป็นเล่มสมุด เรียกว่า สมุดไทยขาว หากต้องการ สมุดไทยดำ ก็จะผสมผงถ่านในขั้นตอนการผลิต
ในทางภาคเหนือของไทย มีการผลิตกระดาษด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน เรียกว่า กระดาษสา เมื่อนำมาทำเป็นสมุดใช้เขียน เรียกว่า ปั๊บสา
คำว่า กระดาษ ในภาษาไทยไม่ปรากฏที่มาอย่างแน่ชัด มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะทับศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกสว่า kratus แต่ความจริงแล้ว คำว่ากระดาษ ในภาษาโปรตุเกส ใช้ว่า papel ส่วนที่ใกล้เคียงภาษาไทยมากที่สุด น่าจะเป็นคำศัพท์ในภาษามลายู คือ kertas หมายถึง กระดาษ เช่นกัน



ความหมายของ "ไดโนเสาร์ (Dinosaur)

คำว่า "ไดโนเสาร์ (Dinosaur)" มาจากภาษากรีก คือ ไดโน (Dino) แปลว่า น่ากลัวมาก (แต่ชื่อน่ารักจัง) และ Sauros หมายถึง สัตว์เลื้อยคลาน หรือ "terrible lizard" ดังนั้นคำๆ นี้จึงหมายถึงสัตว์เลื้อนคลานโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินและสูญพันธุ์หมดสิ้นจากโลกนี้เมื่อหลายสิบล้านปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหายุคมีโซโซอิกที่ซึ่งเป็นยุคของสัตว์เลื้อยคลาน (age fo reptiles) แต่โดยความจริงแล้วไดโนเสาร์มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ขนาดใหญ่มหึมา น้ำหนักกว่า 100 ตัน สูงมากกว่า 100 ฟุต จนถึงพวกที่มีขนาดเล็กๆ บางชนิดก็มีขนาดเล็กกว่าไก่ บางพวกเดินสี่ขา บางพวกก็เดินและวิ่งบนขาหลังสองข้าง บางพวกกินพืชเป็นอาหาร ในขณะที่อีกพวกหนึ่งกินเนื้อเช่นเดียวกับสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับไดโนเสาร์
:: ไดโนเสาร์ทุกตัวเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่สัตว์เลื้อยคลานบางตัวไม่ใช่ไดโนเสาร์
:: ไดโนเสาร์ทุกตัวมีสี่ขา บางตัวเดินด้วยขาทั้งสี่ แต่บางตัวเดินสองขา
:: ขาทั้งหมดของไดโนเสาร์อยู่ตรงส่วนหน้าบริเวณหน้าท้อง (under their bodies) ซึ่งทำให้มันสามารถเดินหรือวิ่งได้สะดวกขึ้น
:: ไดโนเสาร์อาศัยอยู่บนบก ไม่ได้บินอยู่ในอากาศและไม่ได้อยู่ในน้ำตลอด
:: ไดโนเสาร์บางตัวกินเนื้อ (carnivores) แต่ส่วนใหญ่จะกินพืช (herbivores)




คำสำคัญ (Tags): #ความรู้
หมายเลขบันทึก: 218901เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 15:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 07:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท