มรรค คือ ทางนำไปสู่ความดับทุกข์ มรรคมีองค์ 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ
ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค)
1. สัมมาทิฏฐิ
คือ ปัญญาเห็นชอบ มีศรัทธาที่ถูกทาง คือการมีความเห็นไม่ผิด
เป็นมูลฐานที่ต้องถึงก่อนมรรคอื่น
เป็นเหมือนประตูแรกที่เปิดเข้าสู่แหล่งปรารถนา
โลกนี้มีลักษณะเหมือนคุกมืด
ผู้อาศัยอยู่ในโลกมีภาวะเหมือนนักโทษในคุกนั้น
ภายในคุกนั้นมีแต่ความมืด ไม่มีแสงสว่างส่องเข้าไป
นักโทษไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้
นักโทษนั้นไม่ใช่เพียงเป็นผู้บอดอยู่ในความมืดสิ้นกาลนานเท่านั้น
ในขณะบอดนั้น ยังเป็นผู้สงสัยว่า ไม่มีทางรู้ว่าสิ่งใดอยู่ในที่ใด
การจะยังความสว่างให้เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดนั้น
ก็มีอยู่แก่ใจของนักโทษนั้นๆ อย่างเดียว
ใจเป็นเครื่องมืออันเดียวจะช่วยให้เห็นความสว่างภายในคุกมืดได้ทุกประการ
นักโทษยังไม่หมดหวังที่จะได้พบแสงสว่างภายในคุกมืดได้ฉันใด
บุคคลทั้งหลายย่อมมีภาวะเช่นเดียวกัน
ใจของเขาเองจะเป็นเครื่องมือทำลายความมืดที่เขามีอยู่ได้
ความมืดเหล่านี้เรียกว่าอวิชชา
ความสว่างที่เป็นเครื่องมือทำลายความมืดเรียกว่า ปัญญา
นักโทษภายในคุกมืดก็ดีบุคคลผู้ที่ติดอยู่ในเรือนแห่งชีวิตของตนก็ดี
ต้องฝึกใจตนพิจารณาเหตุผลให้ถูกทาง การพิจารณาไม่ถูกทาง
ความมืดจะคงอยู่ไม่สูญหาย ชีวิตจะบอด จะหมดอิสระ
หากความเห็นถูกเกิดขึ้น
ศรัทธาถูกก็จะเกิดตามและในเวลานั้นความมืดในคุกมืดก็จางหาย
กลายเป็นแสงสว่าง
บุคคลที่รับโทษติดอยู่ในคุกอันมืดแสนมืดแต่วางความคิดตามเหตุผลที่ถูกทาง
ความสว่างคือปัญญาจะเกิดขึ้นทำลายอวิชชา คือความไม่รู้ความจริง
ไม่รับรู้ความจริงแห่งทุกข์ เสียได้ด้วยประการนี้
สัมมาทิฐิจะเกิดได้ด้วยการละทิ้งเสียซึ่งศรัทธาต่อโอวาทใดๆ
ที่พิสูจน์ไม่ได้ตามความจริง สัมมาทิฐิ คือการวางใจให้เป็นอิสระ
วางความคิดให้หมดข้อผูกพันกับสิ่งใด
2. สัมมาสังกัปปะ
คือ ดำริชอบ คือการดำริเพื่อผลอันชอบ ทุกคนมีความมุ่งหมาย
มีความใฝ่ฝันเพื่อให้ได้มีได้เป็นในผลต่างๆกัน
แต่ต้องมีความหมายเพื่อผลอันชอบ ผลอันชอบนั้น
คือผลที่เกิดขึ้นไม่ทำลายประโยชน์ของตนและไม่ทำลายประโยชน์ของผู้อื่น
3. สัมมาวาจา
คือ เจรจาชอบ คือการปราศรัยถูกทาง
ได้แก่พูดแต่สิ่งที่เป็นจริง ไม่พูดให้ร้ายส่อเสียดใคร
เว้นจากการพูดดูหมิ่นผู้ใด ไม่พูดด้วยความโกรธ
ไม่ใช้วาจาบิดเบือนให้เข้าใจผิด พูดด้วยวาจาอ่อนหวาน ด้วยเมตตากรุณา
พูดให้มีจุดหมาย ไม่พูดด้วยความเขลา
4. สัมมากัมมันตะ
คือ ทำการงานชอบ
ได้แก่การทำการงานถูกทางให้งานทำงานนั้นเป็นไปเพื่อความสามัคคี
ไห้เป็นไปตามแบบแผนอันถูกทาง
5. สัมมาอาชีวะ
คือ เลี้ยงชีพชอบ
คือการดำเนินอาชีพถูกทาง
บุคคลทุกคนต้องเลี้ยงอาชีพเพื่อให้เป็นอยู่ได้
อาชีพแต่ละอย่างมีทั้งดีและชั่วเลือกกระทำแต่สิ่งไม่เดือดร้อนต่อผู้อื่นและเดือดร้อนตน
6. สัมมาวายามะ
คือ เพียรชอบ ได้แก่ ความพยายามถูกต้อง
รากฐานของความพยายามเบื้องแรก
คืออย่าพยายามทำอะไรไปด้วยความไม่รู้จริง ละจากความไม่รู้เสียแล้ว
จึงลงมือพยายามทำงาน ความพยายามนั้น
จะไม่เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อน และความไม่ยุติธรรมแก่ผู้ใด
7. สัมมาสติ
คือ ระลึกชอบ ได้แก่การมีสติระลึกอยู่เป็นนิจว่า
เราจะกระทำอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ไม่เป็นคนเผลอ
การไม่เผลอการรู้ตัวอยู่เป็นนิจเป็นทางให้หลีกได้จากการกระทำความชั่ว
8. สัมมาสมาธิ
คือ ตั้งใจชอบ คือ ความตั้งใจมั่นโดยถูกทาง เป็นยอดแห่งมรรคทั้งหลาย
ด้วยว่าการวางสมาธิ คือ การทำใจให้นิ่งอยู่ได้
จะยังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ
คำว่าสมาธิ กับคำว่าสัมมาสมาธิ ผิดกัน
สมาธิได้แก่ถือเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ทำให้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์นั้น
ถ้าจิตจับที่เรื่องร้ายมาเป็นอารมณ์แน่วแน่อยู่ในเรื่องนั้น สมาธินั้น
เป็นสมาธิไม่ชอบไม่ถูกตามธรรม
ส่วนคำสัมมาสมาธิหมายถึงการยึดเรื่องดีมาเป็นอารมณ์แน่วแน่อยู่ในเรื่องที่เป็นกุศล
สมาธินั้นจึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จ
อริยมรรค 8 คือหนทางแห่งการดำรงชีวิตอย่างรู้แจ้ง
มีสติเป็นพี้นฐานด้วยการฝึกสติสามารถพัฒนาสมาธิจิตซึ่งจะช่วยให้บรรลุถึงปัญญา
เพราะสัมมาสมาธิจึงสามารถบรรลุถึงสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ และสัมมาวายามะ
ปัญญาความเข้าใจซึ่งพัฒนาขึ้นนั้นสามารถปลดปล่อยตัวเราให้เป็นอิสระจากห่วงทุกห่วงทุกข์และก่อให้เกิดความสงบ
ความเบิกบานอย่างแท้จริง
ไม่มีความเห็น