ฉบับที่ ๘
กานต์วลี ที่แสนคิดถึง
ผมขอแสดงความเสียใจกับธุรกิจของเพื่อนกานต์ด้วย และขอโทษที่ผมไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที กานต์ก็คงจะรู้ว่าเหตุการณ์ผันผวนทางเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้นมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งความจริงแล้ว นักธุรกิจในประเทศไทยทุกคน ควรจะต้องตระหนักและจดจำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิกฤตเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๔๐ ได้ และได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ความจริงแล้ว ผมไม่อยากที่จะพูดหรือตำหนิการทำธุรกิจของเพื่อนกานต์ เพราะการทำธุรกิจนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาความสามารถในการบริหารและวางแผนธุรกิจอย่างรอบคอบของตนเองเป็นหลัก ให้ธุรกิจของตนเองมั่นคง จนสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ เมื่อประสบภัยทางธุรกิจที่ไม่อาจคาดถึง
กานต์วลี
ไม่มีนกตัวใดจะบินสูงเกินไป หากมันทะยานขึ้นด้วยปีกของมันเอง
No bird soars too high, if it soars with its own wings.๑
William Blake ( ค.ศ. ๑๗๕๗ -๑๘๒๗)
กานต์คงอยากจะทราบสินะ ว่าวิกฤติเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๔๐ นั้นเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้กานต์ฟัง แต่การที่เราจะทราบถึงตัวปัญหาของเศรษฐกิจที่แสนเลวร้ายในปีนั้น ผมคิดว่ากานต์จะต้องทำความเข้าใจถึงเศรษฐกิจพื้นฐานของไทย ก่อนเกิดวิกฤตเสียก่อน.
เศรษฐกิจสังคมไทย เป็นกระบวนการที่มีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงมานับพันปี
ในอดีต เศรษฐกิจของไทย ต้องพึ่งพาการเกษตรกรรมเป็นหลัก สินค้าออกสำคัญที่ทำรายได้เข้าประเทศมีไม่กี่ชนิด เช่น ข้าวโพด ยางพารา มันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งการผลิตในภาคเกษตรส่วนใหญ่ ยังคงต้องพึ่งพาธรรมชาติ และยังขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในระบบการผลิต ดังนั้น หากราคาผลผลิตด้านการเกษตรตกต่ำ ประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบและเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ
กานต์วลี บรรพบุรุษของไทยเรา ต่างเป็นผู้ที่มีความขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและมานะอดทนต่อการทำงาน แต่
ความพยายามและความกล้าหาญ ไม่เป็นการเพียงพอ หากปราศจากจุดประสงค์และทิศทาง
Efforts and courage are not enough without purpose and direction.๑
John F. kenedy ( ๑๙๑๗ – ๑๙๖๓ )
และ เมื่อความเจริญเข้ามา วัฒนธรรมจากต่างชาติหลั่งไหลมา เศรษฐกิจและสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปในแนวทางทุนนิยมมากขึ้น ธนาคารโลกได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจให้รัฐบาลไทย โดยเสนอให้มีการจัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๙) แต่กลยุทธ์ ในการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ ๑ เป็นต้นมาจนถึงฉบับที่ ๗ (๒๕๐๔-๒๕๓๙) ได้เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการพัฒนาสาขาอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งเน้นการพัฒนาเขตเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้มีการกระจุกตัวของการถือครองทรัพย์สินการผลิตและรายได้ ขณะเดียวกันรัฐขาดการวางแผนระยะยาวในการพัฒนาภาคการเกษตร
ผลจากการพัฒนาตามแนวทางนี้ สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ มีอยู่ ๔ ประการ
๑. ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยห่างกันมากมาย กานต์ลองนึกถึงประเทศที่มีระบบทุนนิยมเสรี สิ อย่างอเมริกา ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ถ่างกว้างขึ้นทุกที ๆ คนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด ๒๐๐ กว่าคน มีทรัพย์สินมากกว่าคนในโลก ๒,๐๐๐ ล้านคนรวมกัน ส่วนในประเทศไทย คนร่ำรวยในประเทศมีอยู่ไม่กี่ตระกูล
เส้นความยากจน |
๑,๓๘๖ |
บาท/คน/เดือน |
สัดส่วนคนจน |
๙.๕๕ |
% ของประชากร |
จำนวนคนจน |
๖.๐๖ |
ล้านคน |
สัดส่วนครัวเรือนยากจน |
๘.๗ |
% ของครัวเรือนทั้งประเทศ |
จำนวนครัวเรือนยากจน |
๑.๖๖ |
ล้านครัวเรือน๒ |
๒. การทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ผมขอยกตัวอย่างเพียงแค่ทรัพยากรป่าไม้ของไทย..
พื้นที่ป่าไม้ ปี ๒๕๐๓ มี ๕๓% ของพื้นที่ทั้งหมด
แต่ ปี ๒๕๔๓ เหลือเพียง ๒๕% ๑
ในปัจจุบัน คงจะเหลือ ๑๘% - ๒๐%
๓.การทำลายวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ จากกระแสที่หลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกทำให้คนไทยมีความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
หนี้สินต่อครัวเรือน ปี ๒๕๔๙ มีหนี้ ๑๑๖,๕๘๕ บาท ต่อปี ๒
๔. วิกฤตการณ์ทางสังคมอย่างรุนแรง หย่าร้าง,ฆ่าตัวตาย ปี ๒๕๔๙ มีคนไทยฆ่าตัวตาย
ปีละ ๓,๕๐๐ คน หรือ ๑๓ คนต่อวัน หรือประมาณ ๑ คนทุก ๆ ๒ ชั่วโมง การหย่าร้างในปี ๒๕๔๙ สูงถึง ๘๙,๑๕๓ ราย ๓
ความไม่สมดุลของการพัฒนาดังกล่าว ได้สร้างผลกระทบทางลบต่อคนยากจนและสังคมส่วนรวมอย่างไม่อาจประมาณค่าได้ ลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย ยังคงถูกจัดเป็นเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา คือ ยังมีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ รายได้เฉลี่ยต่อประชากรต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
ในปี ๒๕๐๔ รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของคนไทยที่เป็นตัวเงินตกประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าบาท เวลา ๓๖ ปีผ่านไป เปลี่ยนเป็นรายได้ประมาณ ๗๐,๐๐๐ บาท ก็หมายความว่า รายได้เฉลี่ยได้เปลี่ยนแปลงไปประมาณ ๓๔ เท่าตัว โดยที่ค่าครองชีพ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตาม ซึ่งก็คือ มาตรฐานการครองชีพของคนไทย โดยเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างมากมายในช่วง ๓๖ ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง ๑๐ ปีหลังก่อนเกิดวิกฤตการณ์ ปี ๒๕๔๐ เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่รวดเร็วเป็นพิเศษในสังคมไทย ทั้งระบบการค้า เศรษฐกิจและความมั่งคั่งของคนไทยจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงความนึกคิดของคนไทย โดยทั่วไปไม่ว่า เรื่องการเมือง การดำรงชีวิต ค่านิยมและรสนิยม และถูกล่อหลงด้วยภาพลวงตาที่ว่า ไทยจะเติบโตเป็น เสือเศรษฐกิจตัวที่ ๕ ๔
แต่กานต์วลี การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยขาดการวางแผน การพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งโดยรวมแล้ว ทำให้ป่าไม้ สภาพแวดล้อม ถูกทำลาย เพียงเพื่อใช้พื้นที่และทรัพยากรในการผลิตสินค้าและเพื่อการบริโภคที่มากขึ้น ชนบทเปลี่ยนสภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ เลียนแบบเมือง ที่เน้นเรื่องการหาเงินการใช้เงินแบบตัวใครตัวมัน เกิดปัญหาการแข่งขัน การเอารัดเอาเปรียบและความขัดแย้งมากขึ้น
ไม่เหมือนกับคนไทยที่แสนน่ารักในอดีตเลย กานต์วลี
“ คนไทยที่ยากจน แม้จะมีเสื้อผ้าสวมเพียงตัวเดียว แต่ถ้าเขาพบคนอื่น
ที่ยากจนกว่าเขา เขาสามารถยอมเสียสละเสื้อที่เขาสวมอยู่นั้น ให้แก่
คนที่ยากจนกว่าเขาได้ คุณสมบัติเช่นนี้ยากจะพบเห็นในสังคมชาว
ตะวันตก ซึ่งถือเอาวัตถุเป็นยอดปรารถนาแห่งชีวิต....”
กานต์วลี การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างขาดสติปัญญาทำให้ผม กานต์ เขาคนนั้น และคนไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่รู้ตัว...
ผมขอจบจดหมายฉบับนี้ลงก่อน ฉบับต่อไป ผมจะมาเล่าให้กานต์ฟังว่า ทำไม “เสือตัวที่ห้าของเอเชีย จึงกลับกลายมาเป็นแมวตัวที่หนึ่งของเอเชีย” ไปได้
คิดถึงอดีต..บ้างเถิด
อภิษฐา
ไม่มีความเห็น