(23 มี.ค. 49) ไปร่วม “โครงการสังคมสนทนา”
หัวข้อ “การเมืองสมานฉันท์
สร้างสรรค์ความเข้มแข็งท้องถิ่น” จัดโดย
วิทยาลัยการจัดการทางสังคม (ครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์ เป็นประธาน
คุณชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เป็นผู้อำนวยการ)
ในการสนทนานี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี
เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ แล้วมีการนำเสนอ
“ความรู้การจัดการทางสังคม : การเมืองสมานฉันท์”
โดย
1. คุณอัครชัย ทศกูล ตำบลควนรู อ.รัตภูมิ
จ.สงขลา
2. คุณประสาน ขันติวงศ์ ตำบลเสียว
อ.โพธิศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ
3. คุณสนิท สายรอคำ ตำบลน้ำเกี๋ยน
กิ่งอ.ภูเพียง จ.น่าน
4. คุณโชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ (บ้านหนองกลางดง)
ต.ศิลาลอย กิ่งอ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
ผมรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการสนทนาสำหรับการนำเสนอข้างต้น
และในเอกสารการประกอบการสนทนา ซึ่งใช้ชื่อว่า
“การเมืองสมานฉันท์ สร้างสรรค์ความเข้มแข็งท้องถิ่น”
ได้ลงบทสัมภาษณ์ผม โดยคุณกฤนกรรณ
สุวรรณกาญจน์ แห่งทีมงานไทยเอ็นจีโอ และ
วิทยาลัยการจัดการทางสังคม ข้อความของบทสัมภาษณ์ ปรากฏดังนี้
การเมืองสมานฉันท์ ..ไพบูลย์
วัฒนศิริธรรม
เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นกำลังแบ่งประชาชนออกเป็น 2
ฝ่าย บนเจตนาที่ชัดเจนชี้ขาด
ถึงความไม่ชอบธรรมของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยการแบ่งข้างแยกขั้วตัดสินผลแพ้ชนะกันด้วยการวัดพลังทาง
สังคมจนเกิดการแยกยื้อมวลชนและ/หรือกดดันด้วยพลังต่าง ๆ
ฝ่ายหนึ่งยืนยันว่าเมื่อทำตามกติกา
ไม่ได้ก็ต้องไล่ออกโดยพลังประชาชนบนท้องถนน
ขณะอีกฝ่ายย้ำและประกาศชัดว่าตนถูกต้องและยังมี ความชอบธรรม ยัน
'ขออยู่ทำงานต่อไป เพื่อชาติ' พร้อมจัดกำลังหนุนเตรียมพร้อม
ขณะคนไทยกำลังจับตา สถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมือง
ในความรู้สึกคนไทยถูกสั่นคลอนตกอยู่ในภาวะบีบคั้น
ให้เลือกข้างถึงแม้ว่ากลุ่มองค์กรทางสังคมการเมือง (ทั้ง2ฝ่าย)
หลากหลายกลุ่มจะเดินหน้าชี้แจงทำความเข้าใจถึงหนทางที่เป็นไปได้และนำเสนอทางออกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มากมายหลายทางก็ตาม
ถึงกระนั้นไม่มีใครอยากเห็นเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย
แนวทาง
การเมืองสันติ - สมานฉันท์ โดย
อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
ย้ำเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้จำเป็นต้องมีคนกลางเข้าช่วยดำเนินการ
และมั่นใจว่า"บุคคลอันเป็นที่น่าเชื่อถือได้ในเมืองไทยมีอยู่ด้วยกันหลายคน"
และหนึ่งในแนวทางที่จะนำมาจัดการให้สังคมเป็นสุขได้นั้น คือ
“แนวคิดใหม่ การเมืองสมานฉันท์”
แนวคิดหลัก คือการสวนกระแสการเมืองแบบเก่า
สังคมโดยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของ การขัดแย้ง
โต้แย้งและใช้พลังอำนาจทางสังคมในแง่มุมต่าง ๆ
เพื่อเอาชนะคะคานทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น
การเมืองเป็นเรื่องของการบริหารจัดการและการตรวจสอบการใช้อำนาจ
การเมืองเป็น
เรื่องการจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
การเมืองเป็นการจัดการการใช้อำนาจบริหารจัดการ
ไม่ใช่ต่อสู้แย่งชิง
การเมืองสมานฉันท์เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แต่อาจจะไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้ การเมืองไทยในรอบ 80
ปีที่ผ่านมาเป็น เรื่องของความขัดแย้ง แก่งแย่ง
ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องที่ไม่ดีในสายตาของคนทั่วไป
หรือกระทั่ง ณ
วินาทีนี้ที่เราบอกว่าเรามีประชาธิปไตยเต็มใบหรือมีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด
(เท่าที่เคยมีมา) แต่จะเห็นได้ว่า
กระบวนการทางการเมืองของเรายังอยู่ในลักษณะแบ่งแยกขัดแย้ง
ไม่ว่าจะอย่างไร รัฐธรรมนูญฉบับ 2540
ถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่ได้มาอย่างราบรื่นสันติ - สมานฉันท์
การบริหารจัดการ
หลังจากบังคับใช้รัฐธรรมนูญถือเป็นการจัดการบนแนวทางสันติ -
สมานฉันท์
ทั้งนี้ หากกล่าวถึงแนวทางการเมืองสมานฉันท์นั้น เราพบว่า
ในส่วนการเมืองท้องถิ่นกระบวนการจัดสรร
หรือสรรหาคณะทำงานเพื่อเข้าสู่ระบบอำนาจทางการบริหารก็มีการจัดการบนแนวทางสันติ
– สมานฉันท์
หรือในระดับสากลการสรรหาสันตะปาปาผู้นำทางศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก
ใช้กระบวนการสร้าง ฉันทามติกันนานพอสมควร หรือการสรรหาผู้นำ WTO
มีการสร้างกระบวนการทางฉันทามติเพื่อขจัด ความขัดแย้งนำไปสู่ทางออก
ความคิดเห็นต่างไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยความขัดแย้งหรือมีผู้แพ้ -
ผู้ชนะ การเมืองแนวทางสมานฉันท์คือ
การตั้งคำถามกับระบบการเมืองแบบมีแพ้มีชนะ แพ้-ชนะที่วัดเอาจาก
ระบบการลงคะแนนเสียง การเมืองสมานฉันท์จะใช้ระบบฉันทามติ
สร้างบทสรุปที่ตกลงกันได้ สำหรับ
กระบวนการจัดการการเมืองในระดับย่อยต่างๆ ตั้งแต่นายกสภามหาวิทยาลัย
อธิการบดีมหาวิทยาลัย หรือ คณบดีหลายแห่ง
ใช้ระบบฉันทามติปรึกษาหารือเพื่อลงความเห็นร่วมกันว่าอะไรใครหรือมีประเด็นใด
ที่เหมาะสมก่อนเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมายและกระบวนการทางสังคมจนเกิดเป็นความเห็นพ้อง
อย่างไม่มีการแบ่งฝักฝ่ายหรือแพ้-ชนะ
การเมืองสมานฉันท์รูปแบบการขจัดความขัดแย้ง
การเมืองสมานฉันท์เกิดเป็นจริงได้ในสองกรณี กรณีที่หนึ่ง
คนหรือกลุ่มคนในสังคมมีเป้าประสงค์ต้องการเห็นการร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์
กรณีที่สองคือสังคมมุ่งเป้าเข้าสู่ความสุขไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การครอบครองอำนาจโดยใครคนใดคนหนึ่ง
ไม่ได้มองอำนาจเป็นเป้าหมายแต่มองความสุขสมบูรณ์ของสังคมร่วมกันเป็นเป้าหมาย
หากสังคมยังมองเรื่องอำนาจเป็นเป้าหมายจะเป็นเชื้อประทุของความขัดแย้ง
เลยเถิดไปถึงการสร้างวิธีการ
ใดก็ตามเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจแทนที่จะสร้างสังคมที่ดีเป็นสังคมการเมืองสมานฉันท์
การเมืองบนแนว ทางสมานฉันท์ต้องค่อย ๆ สร้างตั้งแต่ระดับครอบครัว
ระดับชุมชน ระดับองค์กร เป็นกระบวนการการจัดการสร้างสันติ –
สมานฉันท์ซึ่งในระดับย่อยสร้างได้ง่ายกว่าระดับชาติ
สร้างในระดับย่อยเพื่อขยาย ผลไปในระดับชาติ
หากการเมืองในระดับย่อยยังมีการแบ่งแยก แย่งชิง
เราจะไปหวังให้การเมืองในระดับ
ชาติเป็นการเมืองแนวสมานฉันท์คงลำบาก
ต้องเริ่มแนวทางสมานฉันท์ในระบบการเมืองระดับย่อยก่อน
มุ่งหมายและส่งเสริมการเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วม
มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในการใช้อำนาจ ในการตรวจสอบอำนาจ
ในการแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจ ร่วมปฎิบัติได้ในบางเรื่อง
ร่วมติดตามประเมินผล ร่วมเรียนรู้ ร่วมปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ควรออกเป็นพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยอนุวัติตามมาตรา 59 และ 76 ของรัฐธรรมนูญ
การมีส่วนร่วมที่ดีหมายถึงการเปิดโอกาสให้คนจากหลาย ๆ
ฝ่ายได้เข้ามาทำงานร่วมกัน ร่วมคิดร่วมทำโดยใช้เหตุผล และคุณธรรม
จากข้อมูลกรองไปสู่การเห็นพ้องต้องกัน สร้างทัศนคติเชิงสันติ –
สร้างสรรค์ - สมานฉันท์ ตลอดจนสร้าง วัฒนธรรม การคิด – การพูด –
การทำเชิงสมานฉันท์ เกิดเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง –
การปกครองซึ่งเป็นวิธีการป้องกันและจัดการกับความขัดแย้งที่ได้ผลดีที่สุด
แต่ความขัดแย้งไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหาย
ความแตกต่างในเรื่องความคิดเห็นเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมประชาธิปไตย
แต่ต้องไม่นำไปสู่ความรุนแรงจนเกิดความบาดหมางเคียดแค้น
ยุติทัศนะทางการเมืองเพื่อการแย่งชิง
กระบวนการการแย่งชิงในการเมืองระดับชาติมีอยู่มากและกำลังระบาดไปถึงการเมืองในระดับท้องถิ่น
แต่ไม่ได้หมายความว่าการเมืองบนแนวทางสมานฉันท์จะไม่มี
อาจจะมีน้อยแต่ก็มีศักยภาพ
เป็นความหวังในการดำเนินการเพื่อเข้าสู่หนทางการเมืองแนวสมานฉันท์ที่จะแปรเปลี่ยน
การเมืองเชิงขัดแย้งแย่งชิงให้หมดไป
อาจจะเป็นเรื่องที่พูดได้ง่ายกว่าการกระทำโดยเฉพาะในสถานการณ์
การเมืองในปัจจุบันที่ความขัดแย้งต่อสู้ช่วงชิงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายได้ขยายตัวออกไป
อันเป็นภาวะที่เราคง
ต้องมาทำความเข้าใจถึงเหตุและผลของเหตุการณ์ตามหลัก
'อิทัปปัจจยตา' ความเป็นเหตุเป็นผล
ต่อเนื่องซึ่งกันและกัน หรือตาม 'หลักทฤษฎีระบบ'
หลายสิ่งหลายอย่างเกาะเกี่ยวเป็นปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
เกิดอะไรขึ้นอย่างหนึ่งจะเกิดเหตุกระทบกันไปเป็นลูกโซ่
สภาพการเมืองไทยในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ ยากต่อการแก้ไข
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขไม่ได้
ในหลายกรณีที่เกิดความขัดแย้งจนกระทั่งใช้อาวุธรบราฆ่าฟันก็ยังไม่มีกรณีใดที่สายเกินไปที่จะใช้
กระบวนการสันติ - สมานฉันท์
ในบางประเทศต่อสู้ฆ่าฟันกันด้วยอาวุธมาหลายปีก็ยังสามารถมานั่งโต๊ะเจรจากันได้
ระบบการเมืองของประเทศไทยยังไม่สายเกินไปที่จะนำการเมืองแนวสันติ
- สมานฉันท์ มาใช้ ซึ่งอาจเรียกว่า
กระบวนการสันติวิธี
หรือกระบวนการจัดการความขัดแย้ง,แก้ปัญหาความขัดแย้ง,
แปรเปลี่ยนความขัดแย้ง
ซึ่งโดยทั่วไปจะมีคนกลางทำหน้าที่จัดกระบวนการให้คู่ขัดแย้งได้มาพูดคุยกัน
แล้วนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาในที่สุด
ทางเลือกของนายกฯอาจไม่ใช่ข้อใดข้อหนึ่ง
ขณะนี้มีเงื่อนไขให้นายกฯสองทาง
ฝ่ายหนึ่งบอกให้ลาออกอีกฝ่ายหนึ่งบอกให้ทำงานต่อได้
การยื่นเงื่อนไขอย่างนี้เป็นเรื่องยากที่จะหาทางขจัดข้อขัดแย้ง
เพราะจะเกิดฝ่ายที่ชนะกับฝ่ายที่แพ้จนเป็นเหตุของความเคียดแค้น
เป็นบทสรุปที่ไม่นำเข้าสู่การเห็นพ้องต้องกัน
ต้องคิดให้กว้างถึงทางออกที่จะนำไปสู่ความพอใจร่วมกัน
อาจต้องดำเนินการช้าๆ ค่อยๆ
ศึกษาและจัดกระบวนการในการสร้างข้อตกลงร่วมกัน
ซึ่งในเรื่องนี้คนที่ทำหน้าที่คนกลางจะเป็นผู้จัดกระบวนการที่สอดคล้องกับการเมืองบนแนวทางสมานฉันท์
สำหรับบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่คนกลางเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา
ต้องมีความจริงใจ เชี่ยวชาญในการจัดกระบวนการ
เป็นที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจของคู่ขัดแย้ง
การจะบอกว่าใครจริงใจหรือไม่อาจจะดูยากแต่คนกลางต้องสามารถทำให้กระบวนการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น
นำไปสู่บทสรุปและเกิดการปฏิบัติที่เป็นจริงภายใต้กลไกการควบคุมเพื่อให้ได้ผลในทางปฏิบัติตามที่ตกลงกัน
การเมืองสมานฉันท์เป็นการจัดการทางสังคมรูปแบบหนึ่ง
เป็นการจัดการความสัมพันธ์ของบุคคลเพื่อหาข้อยุตินำไปสู่ผลซึ่งเป็นความพอใจร่วมกัน
การเมืองเชิงสมานฉันท์หรือการเมืองเชิงสันติ -
สมานฉันท์ต้องใช้กระบวนการทางสังคมเข้าไปดำเนินการ
เกิดขึ้นได้ทั้งในสภาและนอกสภา
ไม่ใช่กระบวนการเชิงกฎหมายหรือกระบวนการในระบบสภาเพียงเท่านั้น
หรือเป็นส่วนหนุนกระบวนการทางกฎหมายให้เกิดเป็นภาวะยืดหยุ่นและอยู่ร่วมกันได้
การเมืองเกี่ยวข้อง
กับการจัดการเชิงอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ระบบสภาหรือกฎหมายเพียงสถานเดียว
แต่อาจอาศัยอำนาจทางสังคมเข้าไปจัดการร่วมกันทั้งสังคม
ทั้งนี้ อ.ไพบูลย์ ระบุว่า
หากทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับแนวทางการเมืองสมานฉันท์และยอมให้มีคนกลางก็จะสามารถจัดกระบวนการได้
และยังเชื่อว่ามีบุคคลอื่น ๆ
อีกมากในสังคมที่มีความเหมาะสมในการเป็นคนกลาง "ผมคิดว่า
ในเมืองไทยมีอีกหลายคนที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย"
โดยส่วนตัวแล้วไม่มีความเห็น
เรื่องการถอดถอนหรือยื่นเงื่อนไขให้นายกรัฐมนตรีลาออกเพราะแนวทางการเมืองแบบสมานฉันท์
จะต้องไม่เริ่มที่การให้ใครต้องทำอย่างนั้นหรือต้องทำอย่างนี้
แต่เน้นไปที่จุดประสงค์หรือเป้าหมายร่วมกันว่าคืออะไร
เป้าหมายที่สูงกว่าการลาออกหรือไม่ลาออกคืออะไร
“ขณะนี้เราไปให้ความสำคัญกับการลาออกหรือไม่ลาออกของตัวนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นเพียงวิธีการไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย
การลาออกหรือไม่ลาออกของนายกฯ
ไม่ได้หมายความว่าสังคมจะดีขึ้นหรือไม่ขึ้นโดยอัตโนมัติ
ยกตัวอย่างหากร่างกายเราป่วยวิธีการคือกินยาชนิดใด เป้าหมายคือร่างกาย
เราเป็นปกติหายป่วย
แต่มียาให้เลือกเพียงสองขนานแล้วมาเถียงกันว่าขนานไหนจะทำให้ร่างกายหายป่วย
อย่างนี้จะเถียงกันไม่จบสิ้น เกิดเป็นความขัดแย้ง ที่น่าพิจารณาคือ
มีทางเลือกอื่นๆ อีกหรือไม่"
"เรื่องลาออก-ไม่ลาออกไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่สุด
ความขัดแย้งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย
ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดี โต้กันไปโต้กันมาแล้วเกิดอะไรขึ้น
ขณะนี้เราไม่ได้ใช้กระบวน การสันติ - สมานฉันท์ เรากำลังใช้
กระบวนการการต่อสู้ – เรียกร้อง
เป็นการคิดวิธีการเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ร่วมคิดวิธีการด้วย
เป็นการยื่นเงื่อนไขเพียงข้างเดียว "ฝ่ายหนึ่งบอกว่า
นายกฯต้อง ลาออก ขณะที่ฝ่ายนายกยืนกรานว่ายังไงก็ไม่ออก"
ส่วนว่าเมื่อลาออกแล้วจะทำอย่างไรต่อไปข้อนี้ยังไม่ชัดเจน"
"การมานั่งพูดคุยกันทั้งหมดอาจจะยังทำไม่ได้ทันที
จุดนี้เป็นหน้าที่ของคนกลาง คนกลางอาจเข้าไปพูดกับฝ่ายหนึ่ง
แล้วจึงไปพูดกับอีกฝ่ายหนึ่ง อาจจะต้องทำหลาย ๆ
รอบจนได้รับความไว้วางใจและเห็นลู่ทางชัดเจนขึ้น
เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสมก็จะสามารถจัดให้ทั้งสองฝ่ายหรือหลายฝ่ายมานั่งพูดคุยเจรจากันโดยตรง
แล้วพยายามหาบทสรุปที่จะบรรลุจุดประสงค์ร่วมกันซึ่งมิใช่บนฐานของจุดยืนที่ขัดแย้งกันคือออกหรือไม่ออก
ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สร้างความขัดแย้ง แพ้ -ชนะกันไปข้างหนึ่ง
และไม่ใช่กระบวนการเจรจาหาข้อยุติร่วม
ความจริงทางเลือกใหญ่ของนายกฯวันนี้มีด้วยกัน 3 ทาง คือ
อยู่บริหารงานต่อไป ลาออก และยุบสภา หากเลือกทางหนึ่งทางใดใน 3
ทางนี้โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นจะเกิดความขัดแย้งขนาดใหญ่จากความไม่พอใจของฝ่ายที่แพ้"
ดังนั้นต้องพยายามหาข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆ
ที่ทุกฝ่ายพอใจหรือรับได้
หากนายกฯบริหารประเทศต่อไปจะเพิ่มเงื่อนไขอะไร หรือ
ถ้าลาออกจะต้องมีเงื่อนไขอะไร
หรือหากเลือกยุบสภาจะทำอย่างไรให้เกิดสภาพที่แต่ละฝ่ายรับได้
อย่างนี้คือวิธีการบนแนวทางการเมืองสมานฉันท์ ซึ่ง
อ.ไพบูลย์ย้ำเอาไว้ในบรรทัดถัดมาว่า
"ทั้งสองฝ่ายหรือผู้เกี่ยวข้องต้องสมัครใจให้เกิดการพูดจาหาข้อตกลงโดยมีบุคคลอิสระช่วยทำหน้าที่
'คนกลาง' ให้ การเจรจาถึงจะเกิดขึ้นได้
หากทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการเจรจาหรือไม่ต้องการคนกลางก็คงไม่มีใครจะเข้าไปทำให้เพราะจะทำไม่ได้
" อ.ไพบูลย์ สรุป
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ทีมงานไทยเอ็นจีโอ
และวิทยาลัยการจัดการทางสังคม
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
28 มี.ค. 49ไม่มีความเห็น