ขอให้ทุกท่าน..."จงเป็นสุขเถิดๆ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ "....
สาธุ ด้วยค่ะ ได้เรียนรู้เรื่องดีๆ จากบล็อกนี้ค่ะ ขอบคุณนะคะ
เคยมีโอกาสได้ไปศึกษา การนั่ง เดิน สมาธิด้วยค่ะ เป็นประสบการณืที่ดี และสามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ตลอด
ส่วนมากจะไปที่วัดอัมพวันค่ะ
การทำสมาธิ เดินจงกรม เป็นเรื่องที่ดีครับ สาธุนะครับ เพราะหาคนรุ่นใหม่รุ่นเก่าทำแบบนี้ไม่ค่อยจะมีแล้ว
สวัสดีค่ะ
- ขอร่วมอนุโมทนาสาธุ กับการทำกรรมดีคะ
ไปที่วัดอัมพวัน ดีมากค่ะ
กิจกรรมคล้ายกับที่เขียนมาเล่าให้ฟังค่ะ วันทั้งวันให้ทำสมาธิ สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น ถือศีล8
ขอบคุณนะคะ คุณ sarah..ไว้ถ้ามีโอกาสจะไปบ้าง!
จะลองนำไปปฏิบัติค่ะ
ขอบคุณ และจะเป็นกำลังใจให้ค่ะ..คุณบุหงา..
ให้จิตว่างโดยไม่ไปรู้กับสิ่งที่เกิดหรือสิ่งที่มากระทบอารมณ์ ให้สิ่งที่มากระทบดับของมันเองโดยที่ไม่ต้องไปรู้เพราะการรู้คือกรรมไม่ว่าจะรู้ดีหรือรู้ชั่ว แต่การทำมันจะยากตรงที่ไม่ไปรู้กับสิ่งที่เกิดอันนี้สิที่ทำยาก
อนุโมทนาสาูธุครับ
ขอให้เดินในรอยสัมมาทิฏฐินะครับ...
ไม่ต้องไปยึดติดกับการกำหนดไม่ว่าจะพุทโธหรือกำหนดการเดินการนั่งทำจิตให้ไม่มีอะไรมากระทบอารมณ์ให้ได้ จากที่ตัวเราเคยมีอารมณ์มากระดับนี้เราก็จะเบากว่าที่เคยเป็นแต่ทุกอย่างอยู่กับบารมีที่เคยทำมาแต่ชาติก่อนด้วยนี้คือทางฝึกดับขันต์ 5 เพียงแต่อย่าท้อในการทำแล้วก็อย่าทุกข์กับการที่ทำไม่ได้เพราะทุกอย่างไม่จีรัง สุขที่มีก็คือทุกข์ สมบัติที่ได้มาก็คือทุกข์ ให้พิจารณาแล้วฝึกละให้ไม่มีความอยาก ผมไม่รู้ว่าทำจิตว่างจะต้องไปอยู่ระดับไหนแต่ผมใช้ทุกเวลาที่มีอยู่ละทุกอย่างที่เข้ามา ที่เป็นและที่เห็นและที่อยาก ผมใช้ศัพท์ในทางธรรมไม่เป็นแต่ผมรุ้หลักในการดับ
จิตของคนเราไม่มีอะไรแน่นอนวันนี้ว่างโล่งอีกวันฟุ้งซ่าน ทุกสิ่งนี้ให้มันเกิดแต่อย่าไปแตะต้องมันเช่นโกรธ แต่อย่าไปจับมันโดยการก่อกรรมโกรธเค้าแล้วไปกระทำเค้าต่อก็คือกรรม พอเราโกรธตัวโกรธมันจะวิ่งซ่านในตัวเราอาจจะมือสั่นใจสั่นหรืออาจจะมากกว่านั้นถ้าไม่ไปกระทำปล่อยให้มันวิ่งไปแล้วมันก้จะดับเอง ต่อไปมันจะทำอะไรเราไม่ได้เราจะเห้นว่าไม่ว่าทุกอย่างมันเกิดแต่เดี๋ยวมันก็ดับเองโดยที่ไม่ต้องไปรู้กับมัน อธิบายมันง่ายแต่ตอนมันเกิดคุณจะทำยังไงในเมื่อรู้หลักแล้ว
ถ้าคุณคุ้นเคยกับมันแล้วชีวิตประจำวันที่ต้องเจอะเจอกับสิ่งที่ยั่วใจยั่วอารมณ์ยั่วกิเลศก็จะเป็นเรื่องที่ตัวคุณรู้ว่าทุกอย่างไม่จีรังคุณก็ปฏิบัติตัวตามหน้าที่ใช้ชีวิตประจำวันโดยที่ไม่ต้องทุกข์เพราะคุณจะเห็นว่ามันเกิดเดี๋ยวมันก็ดับเองโดยที่ไม่ต้องไปแตะมัน วกเข้าเรื่องธรรมะเมื่อจิตคุณว่างจากทุกอย่างแล้วคุณจะสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรก็จะมีอนิสงค์หลายเท่าเพราะจิตคุณบริสุทธิ์ อุทิศให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วก็จะได้ถึง7ชั่วโคตรเลยทีเดียว ให้เทวดาๆก็รับรู้ให้เจ้ากรรมนายเวรๆก็รับรู้ เวลาจิตว่างให้กรวดน้ำถึงสิ่งที่คุณนึกถึงด้วยน่ะ จำไว้ว่าไม่ยึดติดกับทุกอย่างไม่ต้องไปรู้กับสิ่งที่เข้ามากระทบไม่ต้องกำหนดลมหายใจแล้วทุกอย่างจะว่างเอง แล้วผมมีอะไรจะมาบอกให้อีกสวัสดี
การยึดติดดีก็ขออธิบายแบบง่ายคือทำบุญแล้วขอ ทำดีกับคนก็ขอทำดีกับสัตว์ก็ขอ ก็คือติดดีนั่นแหละเพราะในความดีก็มีทุกข์ และความสุขในการทำดีก็ไม่จีรัง การทำดีย่าไปจำลืมได้ก็ลืมไปเพราะจะเป็นการติดสัญญา ส่วนการยึดติดชั่วก็คือสิ่งที่เคยทำไว้ไม่ดีไม่ว่ามากหรือน้อยก้ไม่ควรไปยึดเพราะจะทำให้จิตหม่นหมองตายไปก็ไปภพภูมิที่ไม่ดี ไม่ยึดติดชั่วแต่ไม่ใช่การให้ไปทำชั่ว พูดง่ายเดินทางสายกลางไม่ติดดีและติดชั่ว ทำจิตว่างโดยไม่ยึดติดไม่มีสัญญาอย่างเดียว ฝึกทำไว้ให้ได้ตลอดจนกว่าจะตายไม่เสียหายมีแต่ได้ เปรียบกับทางโลภแล้วทำงานซื้อบ้านซื้อรถยากกว่าทำจิตให้ว่างอีก
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
เมื่อเราเกิดมโนกรรมเราปล่อยให้มันดับเองเพราะมันเกิดถ้าไม่ไปเจตนาที่จะรู้ก็จะไม่เป็นการสานต่อของมโนกรรมที่เราเห็นเพราะถ้าเจตนาที่จะเข้าไปรู้ไปทำมันจะเกิดกรรม เมื่อฝึกใหม่อาจจะมีการเข้าไปพิจารณาก่อน เช่นเมื่อเราเกิดมโนกรรมว่าจะไปเที่ยวก็ต้องมีการดื่มและก็มีการบันเทิงไม่ว่าจะทางด้านไหนก็ตาม กรรมมันก็เริ่มมาจากการนึกแล้วมาต่อที่การดื่มและท้ายสุดที่สถานบันเทิงกี่กรรมแล้วนี่ ในเมื่อเกิดมโนกรรมก็ดับกรรมซะตั้งแต่เกิดเลยไม่ต้องเข้าไปรู้และไปทำมันก็จะไม่เกิดกรรม ใช้ได้ทั้งกรรมที่ดีและกรรมที่ไม่ดี มาถึงกรรมที่ดีก็ในเมื่อทำดีก็ให้ละความพอใจ ดีใจที่ทำความดี เพราะการติดดีก็มีทุกข์ ขอยกตัวอย่างเช่น ชอบการทำบุญทำดีมีคนยกย่องสรรเสริญจิตก็ติดหลงในความพอใจ พอไม่มีใครกล่าวสรรเสริญเหมือนเช่นเคยก็จะรู้สึกหดหู่ท้อใจ ทำไปก็ไม่มีใครเห็นดีเห็นชอบเลย ก็เกิดทุกข์ที่ใจอีก อยู่ระหว่างกลางสุขกับทุกข์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีเกิดมันก็มีการดับตามกาลเวลาของสรรพสิ่งนั้นๆ
ขอให้ทุกท่านลองไปอ่านของพระอาจารย์ชานนท์ การยอมรับที่มาที่ไปของธรรมชาติ การไม่ยึดมั่นในขันธ์ 5 คือตัวเรา อาการของเรา ความรู้สึกของเรา แล้วเราจะหาทางออกของชีวิตและทางธรรม
การหาความว่างเพื่อความสงบแต่หารู้ไม่ว่าความว่างและความสงบก็ไม่เที่ยงเป็นแค่อาการของขันธ์ 5 ท้ายสุดแล้วใช้สติพิจารณากายไปว่าเราไม่มีเรากายเราก็คือธรรมชาติๆก็ไม่เที่ยง อารมณ์ก็ไม่เที่ยง มันมาได้ตามอาการของขันธ์ 5 เพราะจิตที่ยึดกับขันธ์ 5 ๆยึดจิตใช้สติสมาธิพิจารณาให้ออกไม่เอาขันธ์ 5 ทั้งหมด แต่ตราบใดยังมีกายอยู่คู่กับขันธ์ 5 ก็ต้องรู้จักใช้มันไม่สุขหรือทุกข์กับมัน ยังคำทที่ท่านพระอาจารย์ชานนท์ท่านกล่าวไว้ว่า"การปฎิบัติธรมถ้ายังปฏิบัติได้อยู่ก็คือยังยึดอยู่ เพราะการปฏิบัติที่จริงคือการล้มเหลวๆคือการไม่ยึดติดรูป-นาม ,พอใจ-ไม่พอใจ "
ประสบการณ์นั่งปฏิบัติมา สี่ เดือนก็มีอะไรมากมายตลอดรยะเวลาที่ปฏิบัติตลอดทุก ๆ วัน
ช่วงที่ได้ปฏิบัติที่วัดอัมพวันมาตั่งแต่วันที่ 3 ถึง 9 เดือนสิงหาคม 2553
ช่วง 1 ถึง 6 ก็ปฏิบัติตามปกติที่อาจารย์สอน และก็วันที่ 7 วันนี้แสนทรมานมาก ๆ ก็วันนี้อยากลองของว่าที่ทำมาปฏิบัติจะเป็นอย่างไรบ้าง ก็ เดินครึ่งชม นั่ง2ชมเลยช่วงแรกก็ไม่มีอะไรปวดก็กำหนดไปเรื่อย ๆ มันทรมานมากทั้งปวด รร้อน หนาว เย็น ปวดหัว ขนพอง เดียวก็ตัวใหญ่ ตัวสูง ตัวหดลง เมื่อกำหนดก็หายไป แล้วน้ำตาก็ใหลออกช่วงที่เราอุทิศอุศลช่วงนั่นขนลุกขนฟองออกมาน้ำตา
ก็ออก แอบอิ่มอกอิ่มใจมากเบาสบายมีความสุขมากครับ ตั้งนั้นมาก็ปฏิบัติมาทุกวันครับมีเรื่องเล่าประสบการณ์มากมาย
ก็เล่าให้วันใหม่
ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน
ขอขอบคุณมากๆเลยนะคะ
ขออนุโมทนาสาธุด้วยคนนะคะ และจะลองนำไปปฏิบัติค่ะ