ในการเรียนเรียนรายวิชา
การออกแบบและพัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 355542
อาจารย์ผู้สอนได้มอบหมายให้ผู้เรียนได้พัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกลุ่มละ
1 เรื่อง สมาชิกภายในกลุ่มได้ตกลงกันแล้วว่า
จะพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง สารและสมบัติสาร
สำหรับช่วงชั้นที่ 2
โดยยึดสาระวิทยาศาสตร์เป็นหลักและบูรณาการกับกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี
เรื่อง การทำไอติม
ในการที่จะพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ควรที่จะมีการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ดังนี้
1.
การพัฒนาและออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2.ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่
3. จิตวิทยาการเรียนรู้
1. ขั้นตอนการออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ของ Alessi and
Trollip
7 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนการเตรียม
1.กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์
2. รวบรวมข้อมูล
3. เรียนรู้เนื้อหา
4. สร้างความคิด
ขั้นตอนที่
2 ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน
1. การทอนความคิด
2. วิเคราะห์งานและแนวคิด
3.การออกแบบบทเรียนขั้นแรก
4.ประเมินและแก้ไขการออกแบบ
ขั้นตอนที่
3 ขั้นตอนการเขียนผังงาน
ขั้นตอนที่ 4 การสร้างสตอรี่บอร์ด
ขั้นตอนที่
5 ขั้นตอนการสร้างและเขียนโปรแกรม
ขั้นตอนที่ 6 ขั้นตอนการผลิตเอกสารประกอบบทเรียน
ขั้นตอนที่ 7 ขั้นตอนการประเมินและแก้ไขบทเรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่
Gagne and others
(1988, หน้า 15-16) ได้แยกประเภทของการเรียนรู้ออกเป็น 8 ประเภท
สรุปได้ตามลำดับขั้นดังนี้
1.การเรียนรู้จากสัญญาณ (Signal Learning)
เป็นการเรียนรู้โดยผู้เรียนมีปฏิกิริยา
ต่อสิ่ง เร้าที่เป็นเงื่อนไข
ผู้เรียนจะตอบสนองต่อสัญญาณหรือเงื่อนไขที่ให้โดยการกระทำซ้ำ ๆ
กัน
2.การเรียนรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
(Stimulus-Response
Learning)
เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตอบสนองอย่างตั้งใจหรือจำเพาะเจาะจงโดย
ให้กระทำซ้ำบ่อย ๆ ตอบสนองได้ถูกต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
การควบคุมสิ่งเร้าจะเพิ่มความถูกต้องของการตอบสนองได้มากขึ้น
และการเสริมแรงมีความจำเป็น
3.การเรียนรู้แบบกลไกต่อเนื่อง (Motor Chain)
การเรียนรู้จะต้องมีการกระทำ
ต่อเนื่องอย่างเหมาะสม
ในสถานการณ์ที่จะเร้าให้ผู้เรียนตอบสนองโดยผู้เรียนทราบจุดมุ่งหมายของการเรียน
4.การเรียนรู้ความสัมพันธ์เชื่อมโยงทางภาษา (Verbal Chaining or
Verbal
Association)
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของถ้อยคำหรือภาษาที่ใช้
5. การเรียนรู้โดยสามารถจำแนกความแตกต่างได้ (Discrimnation
Learning) เป็น
การเรียนรู้ที่ต้องมีความเข้าใจอย่างกว้างขวางลึกซึ้งตามลำดับขั้นต่าง
ๆ ที่จะเรียนรู้จนสามารถจำแนกแยกแยะความซับซ้อนได้ เช่น
สามารถแยกชื่อต่าง ๆ ของพืชและสัตว์ได้ และเรียกได้อย่างถูกต้อง
6. การเรียนรู้มโนทัศน์ (Concept Learning)
มโนทัศน์โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 แบบ คือ
มโนทัศน์แบบรูปธรรมและมโนทัศน์แบบนามธรรม
มโนทัศน์แบบรูปธรรมเกิดจากการสังเกตและร่วมกิจกรรมจากสภาพการณ์ที่จัดให้แบบรูปธรรม
ส่วนมโนทัศน์แบบนามธรรมนั้น
เป็นมโนทัศน์ที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์หรือสิ่งแทนของจริงต่าง ๆ
เช่นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ความร้อน ความเย็น เป็นต้น
ดังนั้นการเรียนรู้มโนทัศน์จึงเกิดขึ้นได้ตามจุดมุ่งหมายที่เราตั้งไว้โดยเรียนรู้ผ่านทางสภาพการณ์การเรียนรู้เพื่อให้เกิดการตอบสนอง
สามารถสรุปหลักการและจุดมุ่งหมายจากสิ่งแวดล้อมได้
7.การเรียนรู้กฏเกณฑ์หรือหลักการ (Rule Using or Principle Learning)
การเรียนรู้
จะเกิดขึ้นอย่างมีลำดับต่อเนื่องและชัดเจน สามารถนำมโนทัศน์ต่าง ๆ
มาใช้ได้อย่างสัมพันธ์กัน จนสามารถกำหนดเป็นหลักการหรือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ
ได้
8.การแก้ปัญหา (Problem Solving)
การเรียนรู้ต้องอาศัยกฏเกณฑ์หรือหลักการ
เบื้องต้นต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมา
จากหลักการก็จะนำไปสู่กระบวนการคิดใหม่ ๆ
เกิดการคิดและขยายแนวคิดสามารถนำหลักการนั้นไปใช้ได้อย่างสร้างสรรค์และสามารถแก้ปัญหาได้
จากลักษณะการเรียนรู้ดังกล่าว
กาเย่ได้สรุปว่าผู้เรียนจะเกิดความสามารถซึ่งเป็นผลของการเรียนรู้
(Learning Outcomes) และผลการเรียนรู้นี้ถ้ามองในมุมหนึ่งก็คือ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาและการเรียนการสอนนั่นเอง
ในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจำเป็นจะต้องคำนึงถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์และจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์
เพื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นนั้นสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ได้แก่ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) ทฤษฎีปัญญานิยม
(Cognitive) ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ ( Schema theory )
ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา ( Cognitive Flexibility theory )
ดังนี้ ( ถนอมพร เลาหจรัสแสง. 2541.หน้า 51-67)
3.1 พฤติกรรมนิยม ( Behaviorism )
เป็นทฤษฎีซึ่งเชื่อว่าจิตวิทยาเป็นเสมือนการศึกษา างวิทยาศาสตร์ (
Scientific study of human behavior )
และการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง
สิ่งเร้าและการตอบสนอง
เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบบแสดงอาการ มีการเสริมแรง
( Reinforcement ) เป็นตัวการ
3.2 ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive)
เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์เป็นเรื่องภายในจิตใจมนุษย์มีความนึกคิด
มีอารมณ์จิตใจและความรู้สึกภายในที่แตกต่างกันไป
ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างภายในของมนุษย์ด้วย
ทฤษฎีนี้เกิดจากแนวคิดของ Chomsky ที่เห็นด้วยกับ Skinner
ซึ่งเป็นบิดาแห่งทฤษฎีพฤติกรรมนิยม นอกจากนี้ยังมีแนวคิดต่างๆเกิดขึ้น
ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความจำ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความจำระยะสั้น ระยะยาวและความคงทนของการจำ
แนวคิดนี้ได้แบ่งประเภทของความรู้ออกเป็น 3 ลักษณะ
คือความรู้ในลักษณะเป็นขั้นตอน(Procedural Knowledge) ได้แก่
ความรู้ที่อธิบายว่าทำอย่างไรและเป็น
องค์ความรู้ที่ต้องการลำดับการเรียนรู้ที่ชัดเจนความรู้ในลักษณะเป็นการอธิบาย
(Declaretive Knowledge) ได้แก่
ความรู้ที่อธิบายว่าคืออะไรและความรู้ที่อยู่ในลักษณะเงื่อนไข
(Conditional Knowledge) ได้แก่ ความรู้ที่อธิบายว่าเมื่อไรและทำไม
ส่วนในด้านแนวคิดที่เกี่ยวกับเรื่องความทรงจำ( Short term memory
,long term memory and
retention)ทฤษฎีปัญญานิยมทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอนในลักษณะสาขา(Branching)
ของ Crowder
เมื่อนำแนวคิดนี้ไปเปรียบเทียบกับแนวคิดการออกแบบของพฤติกรรมนิยมแล้วจะทำให้ผู้เรียนมีอิสระมากขึ้นสำหรับการควบคุมการเรียนของตนเอง
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีปัญญานิยมจะมีโครงสร้างของบทเรียนในลักษณะสาขาเช่นกัน
โดยผู้เรียนทุกคนจะได้รับการเสนอเนื้อหา ในลำดับที่ไม่เหมือนกัน
เนื้อหาที่จะได้รับการนำเสนอต่อไปนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถ
ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ
3.3. ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive flexibility theory)
มีแนวความเชื่อว่าความรู้แต่ละองค์ความรู้นั้นมีโครงสร้างที่แน่ชัดและสลับซับซ้อนมากน้อย
แตกต่างกันไปโดย องค์ความรู้บางสาขาวิชา
เช่น คณิตศาสตร์กับจิตวิทยานั้นแตกต่างกัน
คณิตศาสตร์ถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่มีโครงสร้างตายตัวไม่สลับซับซ้อนเนื่องจากเป็นตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลที่แน่นอนขององค์ความรู้
ส่วนจิตวิทยาถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่ไม่มีโครงสร้างตายตัว
และมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน
เนื่องจากความไม่เป็นเหตุเป็นผลขององค์ความรู้
3.4. ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema theory
)
เชื่อว่าโครงสร้างภายในของความรู้ที่มนุษย์มีอยู่นั้นจะมีลักษณะเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกันอยู่
ในการที่มนุษย์จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
นั้นมนุษย์จะนำความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้รับนั้นไปเชื่อมโยงกับกลุ่มความรู้ที่มีอยู่เดิม(Pre-existing
knowledge)
การรับรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เนื่องจากไม่มีการเรียนรู้ใดเกิดขึ้นได้โดยปราศจาก
การรับรู้ การรับรู้ข้อมูลถ่ายโอนความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม
นอกจากโครงสร้างความรู้จะช่วยในการรับรู้และการเรียนรู้แล้ว
โครงสร้างความรู้ยังช่วยในการระลึก(Recall)
ต่าง ๆ ที่เคยเรียนรู้มา
ผมสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้มโนทัศน์ (Concept Learning) แต้หาเนื้อหายากจิงๆผมจึงอยากถามว่าคุณหาเนื้อหาจากหนังสืออะไร คับ