แล้วเราก็พบว่า แบบ work from home นั้น ก็จะมี
ข้อดีคือ
1 ประหยัดเวลา - ไม่ต้องเดินทาง เสียค่ารถ ออกจากบ้าน
2 ประหยัดค่าใช้จ่าย
- ไม่ต้องหาซื้อเสื้อผ้าดีๆ ไปแต่งประกวดกะใคร ใส่ชุดนอนทำงานก็ได้
- บริษัท มักออกค่าใช้จ่าย เช่น ค่าโทรศัพท์ อุปกรณ์โทรศัพท์ ค่า อินเตอร์เนตให้
3 สามารถลดภาษีได้
ข้อเสีย คือ
1 ไม่ได้พบปะผู้คน ขาด networking
2 การพัฒนาความรู้จะน้อยกว่า คือ ต้องเรียนรู้ทาง การเรียน online ไม่เห็น การทำงาน หรือได้ความรู้จากเพื่อนร่วมงานอื่นๆ
สำหรับการทำงานจาก Office เราก็พบว่า สังคมที่ไหนๆ ในโลกก็เหมือนกัน
คนเราก็มี รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนๆ กัน ฝรั่ง หรือ คนชาติไหนๆ ก็มีอิจฉา ริษยา นินทา กลั่นแกล้งกันได้ มีการเมืองในที่ทำงานเหมือนกัน
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงองค์กร ไม่ใช่ว่า คนที่ทำงานเก่งทำงานดี จะอยู่รอดเสมอไป คนที่ทำงานเก่งน้อยกว่า ขยันน้อยกว่า แต่พูดเก่งกว่า แสดงออกเก่งกว่า มีกลุ่มเพื่อนฝูงช่วยเหลือ กลับอยู่รอด
คนชาติทางเอเชียดูจะขยันมากกว่า แต่พูดน้อยกว่า
คนชาติเจ้าของประเทศ จะอู้งานมากกว่า จะมีพักเบรคไปกินกาแฟนานๆ และก็จับกลุ่มนินทา เรื่องนู้น เรื่องนี้มากกว่า
ทำในออฟฟิต บางแห่ง ก็จะมีสวัสดิการให้พนักงานดีกว่า เช่น มีชา กาแฟ เครื่องล้างจาน ไมโครเวฟ ห้องทานอาหาร ให้พนักงานไปใช้ หรือ กินได้ฟรี
บางแห่ง ไม่มีให้ ต้องไปซื้อเอง อาจจะมีตู้ให้หยอดเหรียญ เพื่อ เอาขนม หรือ ชอคโกแลต มาทาน
เนื่องจากอาชีพต่างๆสมัยนี้ ไม่มีคำว่าตลอดไป ดังนั้น แต่ละคน ควร พัฒนาความรู้ ความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน หากต้องหางานใหม่ จะได้สามารถหาได้ ควรพยายามสอบ license หรือ ใบ certificates ต่างๆ ไว้ จะได้เป็นใบเบิกทางได้มากขึ้น และควรคบมิตร เพื่อนฝูงไว้ด้วย เพราะหลายๆคน จะได้งานเพราะ networking หรือ เพื่อนฝูง อาจมีส่วนช่วย ทำให้องค์กรนั้นไม่เอาเราออก
บริษัทน้ำมันจะมีสวัสดิการให้พนักงานดีกว่า พนักงาน เช้าชาม เย็นชามมากกว่า
บริษัทที่ให้ service บริษัทอื่น ก็จะใช้งานเราคุ้มกว่า
อย่างไรก็ตาม ก็ถือคติ ทำงานให้เต็มที่ เต็มความสามารถละกันครับ พี่น้อง
สวัสดีคะ น้องคนพลัดถิ่น
มาเยี่ยมครับ
คิดถึงๆๆ
การทำงาน สุดท้าย ทุกคนก็ ทำเพื่อ ตัวเอง เพื่อความเป้นอยู่ ด้วยเหตุและผล ขอให้ทุกคน ทำงานอย่างมีความสุข