ความอิจฉานั้นบางครั้งมีพลัง เป็นพลังผลักดันให้ชีวิตไปในทิศทางที่เราต้องการขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ในทิศทางใด จะทำให้ชิวิตไปสู่เป้าหมายนั้นก็ได้ จะทำให้คนอื่นแย่ลงก็ได้ เพื่อให้รู้สึกขาดๆเหมือนกับเรา เข้าทำนอง ถ้าเราแย่คนอื่นก็ต้องแย่ด้วย อยู่ที่ว่าเราจะแปลงความอิจฉาให้เป็นทุนในการทำอะไร...
โดยทั่วไปเราจะรู้สึกอิจฉาคนอื่นเมื่อ...
-
เห็นข้อดีของคนอื่น และนำมาเทียบกับข้อด้อยของตนเอง เห็นคนอื่นรวยกว่า
บ้านหลังโตกว่า มีตำแหน่งใหญ่กว่า ใช้ของดีกว่า
มีคู่ครองมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ดูดีกว่า
ผอมกว่า
-
เห็นสิ่งที่ยังไม่สมหวังในตัวเอง อยากมี อยากเป็น แต่ยังไม่มี ไม่เป็น เช่น อยากสวย
อยากหล่อ อยากรูปร่างดี อยากเรียนเก่ง อยากพูดเก่ง
อยากมีเพื่อนมากๆ
เมื่อเห็นความจริงบางอย่างของตัวเองก็มักจะทำให้รู้สึกเศร้าใจ
น้อยใจ ผิดหวังกับตัวเอง โกรธตัวเอง มากๆเข้า
ก็พาลโกรธคนอื่นที่ดูมีมากกว่า รู้สึกไม่พึงพอใจทั้งตัวเองและคนอื่น
บางคนอาจจะแยกตัว เพราะไม่อยากรู้สึกแย่กับตัวเอง
ไม่อยากเห็นภาพที่คนอื่นดีกว่าเรา
เป็นความรู้สึกที่เป็นทุกข์มาก
นอกจากนี้เรามักจะถูกสอนว่า
การอิจฉาเป็นเรื่องไม่ดี คนที่อิจฉาเป็นคนไม่ดีในละครไทย
ไม่มีนางเอกคนไหนที่ขี้อิจฉา มีแต่ตัวร้ายที่อยากเป็นนางเอกทั้งนั้น
แต่พอรู้สึกอิจฉาแล้วก็อดที่จะโทษและตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าเป็นคนไม่ดี
(เพราะรู้สึกอิจฉา) ทำให้ทุกข์ใจเพิ่มจากเดิมเป็นสองเท่า
(ทุกข์เพราะอิจฉาและโกรธตัวเองที่รู้สึกอิจฉา)
ความจริงแล้วความรู้สึกอิจฉาก็เหมือนกับความรู้สึกอื่นๆ
เช่น ความโกรธ เกลียด หงุดหงิด ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราว อยู่ได้ไม่นาน
และอาจเกิดขึ้นอีกได้ ถ้ามีเหตุมากระตุ้น และที่สำคัญ
มันสะท้อนอะไรบางอย่างในใจของเราที่ยังรู้สึก "ไม่อิ่ม"
ทั้งทางกายและทางใจ
อะไรก็ตามถ้ายังคงอยู่ก็แสดงว่า
กำลังทำหน้าที่อะไรบางอย่างอยู่ ความรู้สึกอิจฉามีบทบาทหน้าที่ของมัน
เป็นต้นว่าสะท้อนให้เห็นความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราเอง
เช่น
-
เห็นอะไรบางอย่างที่ตัวเราเองยังขาด ยังรู้สึกยอมรับตัวเองไม่ได้
ช่วยให้เห็นตัวเองชัดเจนขึ้น
-
เห็นอะไรที่ดีที่ตัวเองต้องการ
(แต่บังเอิญไปอยู่กับคนอื่น) ก็ช่วยให้เห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจนขึ้น
-
ความอิจฉานั้นบางครั้งมีพลัง เป็นพลังผลักดันให้ชีวิตไปในทิศทางที่เราต้องการ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ในทิศทางใด จะทำให้ชีวิตไปสู่เป้าหมายนั้นก็ได้
จะทำให้คนอื่นแย่ลงก็ได้ เพื่อให้รู้สึกขาดเหมือนๆกับเรา เข้าทำนอง
ถ้าเราแย่คนอื่นก็ต้องแย่ด้วย
อยู่ที่ว่าเราจะแปลความอิจฉาให้เป็นทุนในการทำอะไร
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งบรู๊ซ ลี
ได้ดูการทดสอบฝีมือของศิษย์สองคน โดยพบว่าศิษย์คนโตมีฝีมือด้อยกว่า
แต่อาศัยประสบการณ์ในการต่อสู้ตัดจังหวะที่ศิษย์คนรองจะได้แสดงฝีมือ
เมื่อจบการทดสอบศิษย์คนโตชนะ
และรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองใช้วิธีดังกล่าว...
บรู๊ซ ลี
ได้เรียกศิษย์ทั้งสองเข้ามาหาและลากเส้นที่พื้นสองเส้นยาวเท่าๆกัน
และบอกให้แต่ละคนทำให้เส้นของคู่ต่อสู้สั้นลงด้วยวิธีอะไรก็ได้
ศิษย์คนโตใช้วิธี ลบ เส้นของอีกฝ่าย ส่วนศิษย์คนรอง เลือก ที่จะ ต่อ ความยาวเส้นของตัวเอง
จะเห็นได้ว่าด้วยเงื่อนไขอย่างเดียวกันบางคนเลือกที่จะทำให้คนอื่นแย่ลง
แต่บางคนเลือกที่จะทำให้ตนเองดีขึ้น
ดังนั้น
การที่เราจะด้อยกว่าใครไม่ใช่เรื่องเสียหาย
และการอิจฉาคนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ชั่วร้ายอะไร
หากแต่วิธีที่เราจะเลือกใช้ในการชดเชยข้อด้อยต่างหากที่สะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ภายในใจของคนคนนั้น
ลองพิจารณาดูเรื่องที่ทำให้เรามักจะเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
จนรู้สึกอิจฉานั้นแทบทุกเรื่องเป็นตัวแทนของ การยอมรับของสังคมและคนรอบข้าง ความรู้สึก
ไม่อิ่ม
สะท้อนให้เห็นถึงบางอย่างในตัวตนของเราที่เรายังรู้สึกยอมรับตัวเองไม่ได้
ยังไม่พอใจตัวเอง
จึงต้องสร้างเงื่อนไขให้ได้ปัจจัยภายนอกมาชดเชย...
ถ้าใครกำลังทุกข์ใจจากความอิจฉาอยู่
...มีวิธีลดความทุกข์ใจ
ที่ใช้ได้ดีกับทั้งตัวเองและคนรอบข้างค่ะ
-
ยอมรับกับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ว่ากำลังรู้สึกอิจฉาอยู่ ไม่ต้องละอายใจ
ไม่ต้องโทษใครค่ะ เพราะการรู้สึกอิจฉาบ้างเป็นเรื่องปกติ
และไม่ได้แปลว่าคุณเป็น "ตัวอิจฉา" ในละคร
คุณยังคงเป็นคนธรรมดาเหมือนๆคนอื่น
-
มองหาความต้องการของตัวเอง อะไรที่ยังต้องการ อยากมี อยากเป็น
ให้ซื่อสัตย์กับตัวเอง กำหนดให้ชัดเจนและอยู่ในวิสัยที่คุณทำได้
ชั่งใจดูว่าจะต้องแลกด้วยอะไรบ้าง เช่น เงินทอง เวลาในชีวิต
ต้องเหนื่อยยากอดทน ตรองดูว่าคุ้มหรือไม่ ถ้าโอเคก็ลุยเลย
(ต้องกำหนดในใจตลอดเวลาว่าความสำเร็จทุกอย่างต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างเสมอ
คุณจะรู้เองว่าความพอดีอยู่ตรงไหน)
-
มองหาสิ่งที่พอจะชดเชยความต้องการในปัจจุบัน
เช่น อยากขี่เบนซ์แต่มีเงินไม่พอ
ก็เลือกใช้รถญี่ปุ่นก่อน อยากเรียนต่อต่างประเทศก็ลองไปที่ใกล้ๆก่อน
ก็พอที่จะลดความอยากไปได้บ้าง และทำให้ได้เรียนรู้ว่าที่ต้องการนั้น
พอเอาเข้าจริงๆจะทำให้พอใจได้จริงหรือไม่
เมื่อได้ทำทุกทางแล้วก็ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเองอยู่ดี
แสดงว่าปัญหาอาจจะอยู่ที่ ความรู้สึกที่คุณมีต่อตัวเอง
คงต้องเริ่มเรียนรู้การยอมรับตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
ยอมรับและรัก เมตตาตัวเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ
-
ความต้องการบางอยางไม่มีทางเป็นไปได้ เช่น ต้องการอยู่ใกล้ชิดพ่อ แม่
แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ความต้องการเหล่านี้นำความทุกข์มาให้
ควรที่จะปล่อยมันไป
จะเห็นได้ว่าความอิจฉานั้น อีกด้านคือพลัง
คือศักยภาพ ถ้าคุณรู้จักแปลงความอิจฉาให้เป็นทุนของชีวิตได้
ชีวิตของคุณก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นกว่าเดิม
และไม่ปล่อยให้ความอิจฉาทำลายชีวิตของคุณและคนอื่น...
...ขอขอบคุณความอิจฉาที่ให้พลังแก่ชวิต...
ขอขอบคุณ...นพ.อนันต์ ธนาประเสริฐกรณ์
หัวข้อเรื่อง ดีท็อกซ์หัวใจ..จากนิตรยสารชีวจิต ฉบับที่ 156
,2548