อย่ามองข้ามความปลอดภัยในสุขภาพ


เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยเพื่อสุขภาพ

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
> ผลิตภัณฑ์อาหารเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
>
>        
> เรียนบรรดาแฟนพันธุ์แท้บะหมี่สำเร็จรูป
>
>       
> จำไว้ว่าเมื่อรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปมื้อหนึ่งแล้ว
>
>        
> ให้งดอย่างน้อย 3 วันก่อนที่จะหม่ำบะหมี่สำเร็จรูปครั้งต่อไป
>
>       
> โปรดอ่านข้อมูลข้างล่าง

> ซึ่งได้รับจากคุณหมอผู้หนึ่ง
>
>       
> ครอบครัวเราเลิกกินบะหมี่สำเร็จรูปกว่า 5 ปีแล้ว
>
>       
> หลังจากทราบว่ามันเคลือบด้วยขี้ผึ้ง

> เพื่อให้เส้นไม่ติดกันขณะปรุง
>        
>       
> ถ้าสังเกตบะหมี่เส้นเหลืองสูตรโบราณที่วางขายในท้องตลาด
>
>       
> จะเห็นว่ามีลักษณะมันลื่น
>
>       
> ผิวน้ำมันบางๆนี้เองที่ป้องกันไม่ให้เส้นติดกันก่อนปรุง


> สำหรับเกี๊ยวดิบๆ
>       
> เขาใช้แป้งคลุกเคล้าที่ผิวเพื่อไม่ให้ติดกัน
>              
>       
> พึงสังเกตคนขายปรุงบะหมี่
> เขาจะลวกเส้นในน้ำร้อนก่อน
> แล้วเกลี่ยในน้ำเย็น
>       
> จากนั้นลวกในน้ำร้อนอีกจนสุก
> กรรมวิธีนี้เพื่อไม่ให้เส้นติดกัน
>
>         ถ้าปรุงบะหมี่แห้ง
> คนขายจะคลุกด้วยน้ำมันและซอสเพื่อไม่ให้เส้นติดกัน
>
>       
> วิธีต้มสปาเกตตีก็เช่นกัน
> ต้องเติมน้ำมันหรือเนยลงในหม้อน้ำเดือด
>
>       
> มิฉะนั้นเส้นสปาเกตตีจะติดเป็นก้อน
> หลายปีก่อนมีนักแสดงคนหนึ่ง
>
>       
> เนื่องจากงานรัดตัวต้องกินบะหมี่สำเร็จรูปทุกวัน
>
>       
> ไม่ช้าไม่นานก็เป็นโรคมะเร็ง
>
>        
>  หมอบอกว่าสาเหตุเกิดจากขี้ผึ้งในบะหมี่สำเร็จรูป
> ร่างกายเราต้องใช้เวลาถึง
>
>         2
> วันกว่าจะขจัดขี้ผึ้งที่ติดเข้าไปใน
> 1   มื้อ
>       
> มีสจ๊วตคนหนึ่งหลังจากย้ายออกจากบ้านคุณแม่ไปอยู่ตามลำพัง
>
>       
> กินบะหมี่สำเร็จรูปเกือบทุกมื้อ
> ในที่สุดเป็นมะเร็งเสียชีวิต
> ทุกวันนี้
>       
> บะหมี่สำเร็จรูปถูกขนานนามว่า
> " บะหมี่มะเร็ง
>       
> ---------------------------------------------------------------------
>
>         ตอนกินสะเต๊ะ
> อย่าลืมกินแตงกวาด้วย
>
>       
> เพราะสะเต๊ะที่ผ่านการย่างมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า
> carcinogen
>       
> ซึ่งแตงกวาสามารถต่อต้านสารตัวนี้
>
>       
> ---------------------------------------------------------------------
>
>         เมื่อซื้อหมูมาทำ
> " บะกุ๊ดเต๋ "
> หรือเมนูใดก็ตาม
>       
> ก่อนอื่นต้องทดสอบให้แน่ใจว่ามีพยาธิติดมากับเนื้อหมูหรือไม่
>
>       
> โดยเทโค้กลงบนแผ่นเนื้อหมู
>
>       
> รอสักพักคุณอาจจะได้เห็นตัวพยาธิคลานยั้วเยี้ยออกมา
> Health Corporation of
>         Singapore
> เปิดเผยข้อมูลว่า
> ตัวหมูมีสารพิษมากมาย
> ทั้งพยาธิและเชื้อโรค
>
>         Latent diseases
> แม้ว่าเชื้อโรคต่างๆจะอาศัยเป็นกาฝากในสัตว์ชนิดอื่น
>
>       
> แต่หมูเป็นแหล่งเพาะโรคที่ดีกว่าสัตว์อื่น
> !
>       
> ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าหมูชอบคุ้ยเขี่ยสิ่งสกปรกและกินไม่เลือก
> กินทั้งซา
>         กแมลง หนอน
> เนื้อบูดเน่า ขยะ
> และแม้กระทั่งมูลตัวเอง
>
>       
> หมูและมนุษย์ต่างก็เป็นโรคหวัดได้
> เชื้อหวัดฝังตัวอยู่ในปอดหมูช่วงฤดูร้อน
>
>       
> แล้วแพร่เชื้อไปยังหมูตัวอื่นและคนในช่วงฤดูฝน
>              
>       
> ------------------------------------------------------------------------------------
>
>       
> ไส้กรอกมีปอดหมูเป็นส่วนประกอบ
> ดังนั้น
>       
> คนกินไส้กรอกจะติดเชื้อหวัดง่ายในช่วงที่โรคหวัดระบาด
> เนื้อหมูมีสารประกอบ
>         HISTAMINE และ IMIDAZOLE
> ในปริมาณสูง
> อาจก่อให้เกิดอาการคันและอักเสบ
>
>       
> การบริโภคเนื้อหมูยังเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีและโรคอ้วน
>
>       
> อาจเนื่องมาจากเนื้อหมูมีคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง
> แถมยังเป็นพาหะ
>         TAENIE SOLIUM WORM
> เป็นที่ประจักษ์ว่า
>       
> พยาธิใบไม้นี้พบเห็นในลำไส้คนเป็นจำนวน
> มากในประเทศที่บริโภคหมู
>
>       
> พยาธิชนิดนี้แผ่จากลำไส้ลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น
>
>       
> เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้วไม่อาจรักษาได้
>          
>       
> ---------------------------------------------------------------------------------------------------
>
>       
> สารก่อมะเร็งในแชมพูสระผม
> กลับไปตรวจแชมพูสระผมที่บ้าน
>
>       
> เผื่อปรับเปลี่ยนให้ปลอดภัยก่อนที่จะสายเกินไป....!
>
>         ..
> ตรวจส่วนประกอบที่ระบุบนขวดแชมพู
> ดูซิว่ามีตัวยาชื่อ
> Sodium Laureth
>         Sulfate (SLS) หรือไม่
> ตัวยานี้พบเห็นในแชมพูหลายยี่ห้อ
>
>       
> ผู้ผลิตเลือกใช้เพราะมันก่อฟองมากและราคาถูก
> แต่ความจริงแล้ว
>       
> เขาใช้ตัวยานี้สำหรับขัดล้างพื้นอู่รถเพราะมันออกฤทธิ์แรง
>
>       
> มีการพิสูจน์แล้วว่า
> SLS เป็นสารก่อมะเร็ง
> ไม่ได้พูดเล่นนะ
>       
> ยาสีฟันยี่ห้อดังบางยี่ห้อก็ใส่สารตัวนี้เพื่อให้เกิดฟอง
>            
>       
> -------------------------------------------------------------------------------------------------
>
>         งานวิจัยยืนยันว่า
> ในทศวรรษที่ 1980s
> โอกาสการเป็นโรคมะเร็งคือ
> 1 ใน 8000
>         ต่อมาเมื่อถึง 1990s
> โอกาสสูงถึง 1 ใน 3
> ซึ่งน่ากลัวมาก
> ดังนั้น
>       
> หวังว่าท่านจะถือเป็นเรื่องจริงจังโดยส่งข้อมูลนี้ไปให้ผู้ที่ท่านรู้จัก
>
>       
> เพื่อให้เราทุกคนพ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
>
>     

หมายเลขบันทึก: 210927เขียนเมื่อ 23 กันยายน 2008 10:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท