นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๙)
เพื่อบ้านมั่นคง
ชุมชนเข้มแข็ง
การจัดการความรู้ ชุมชนอาคารสงเคราะห์ อยุธยา
(โปรย) คนในชุมชนแออัดทุกคนอยากมีชีวิตดีขึ้น ชุมชนอาคารสงเคราะห์ จ.พระนครศรีอยุธยาใช้การจัดการความรู้สร้างความเข้มแข็งของชนด้วย การกระบวนการเรียนรู้ที่ค่อย ๆ ให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจนเกิดบ้านมั่นคงและกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกันของเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุในชุมชนที่ทำให้เกิดการส่งต่อองค์ความรู้ และสร้างความสามัคคีของคนในชุมชน
ชุมชนอาคารสงเคราะห์ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ
ชุมชนในเมืองเก่าพระนครศรีอยุธยาที่ดำรงสถานภาพของการเป็น
“ชุมชนแออัด” มายาวนานหลายสิบปี เดิมชุมชนแห่งนี้เป็นสลัม
เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวตั้งอยู่บนที่ราชพัสดุที่เทศบาลเช่า
ผู้คนมาจากหลายพื้นที่อยู่กันอย่างแออัด
ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาเศรษฐกิจ มีปัญหาความยากจน
เป็นหนึ่งในชุมชนเป้าหมายที่ต้องการถูกรื้อย้าย
เมื่ออยุธยากลายเป็นเมืองมรดกโลก
แต่ไม่ว่าอย่างไร
ความหวังของคนชุมชนแออัดล้วนต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ที่ไม่เพียงเรื่อง ของสภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
แต่ยังรวมไปถึงการสร้างเงื่อนไขด้านอื่นให้หน่วยงานระดับนโยบายเห็นว่า
แท้ที่จริงแล้วนั้น ชุมชนแออัดหากมีวิธีการจัดการที่ดีพอ
ย่อมสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน
การร่วมกันคิดและทำเพื่อเดินไปสู่จุดหมายจึงเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในชุมชนอาคารสงเคราะห์แห่งนี้
ภายใต้การนำของผู้นำที่มาจากคนใน เกิดและเติบโตมากับชุมชน
จึงเข้าใจและมุ่งมั่นจะพัฒนาชุมชน
ผู้นำจากคนใน
ใช้ความรู้สร้างความมั่นใจ
ภายใต้ความคิด
“ปลดเปลื้องจากความเป็นสลัม” แกนนำชุมชนอย่าง เจริญ ขันธรูจี
ที่เข้าใจและมุ่งมั่นจะพัฒนาชุมชน เพราะเติบโตมากับชุมชน
จึงอาสาพาชุมชนให้หลุดออกจากความเป็นชุมชนแออัด
ในฐานะแกนนำชุมชน
“เจริญ” มีโอกาสได้คลุกคลีและร่วมเรียนรู้
กระทั่งร่วมงานกับกลุ่มและองค์กรต่าง ๆ มากมาย อาทิ พัฒนาชุมชนเมือง
เทศบาล ศูนย์การแพทย์ การศึกษานอกโรงเรียน กองทุนเพื่อสังคม
การเคหะแห่งชาติ
เขาสามารถใช้ความรู้และความสัมพันธ์จากกลุ่มและองค์กรเหล่านั้นกลับมาพัฒนาชุมชนตนเองอย่างเป็นระยะ
ๆ เช่น
ทำศาลาที่ประชุมของชุมชนโดยประสานงานของบประมาณไปยังเทศบาลเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของการพบปะพูดคุยของคนในชุมชน
ตั้งกลุ่มอาสาสาธารณสุขขึ้นในหมู่บ้าน
รวมถึงประสานเจ้าหน้าที่จากการศึกษานอกโรงเรียนให้มาอบรมอาชีพให้ชาวบ้านถึงในชุมชน
เรียนรู้จากปัญหา
คำตอบอยู่ที่บ้าน
จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ
หลังจากที่เขาได้ไปศึกษาและเรียนรู้แบบการบริหารจัดการคุณภาพชีวิตของชุมชนแออัดที่จังหวัดพิษณุโลกของโครงการบ้านมั่นคง
และที่นั่นเขาเห็นความร่วมมือกันของคนทั้งชุมชน
เห็นกฎระเบียบที่ชาวบ้านร่วมกันตั้งขึ้น และเห็นถึงความสมานฉันท์
และความสามัคคีที่ในชุมชนที่เขาอยู่ยังมีอยู่น้อยนิด
จึงกลับมาชวนชาวบ้านพูดคุยกัน โดยโยนคำถามต่าง ๆ
มากมายให้สมาชิกในชุมชนช่วยกันขบคิด พร้อม ๆ
ไปกับการเล่าให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน
โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงจากการถูกเพลิงไหม้ในช่วงหน้าแล้ง
และปัญหาน้ำท่วมบ้านในช่วงฤดูฝน
ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญมาเป็นระยะเวลานานกว่า 30 ปี และการ
“รื้อย้าย”ที่ต้องเกิดขึ้น จะทำอย่างไร
“เจริญ”พยายามชวนชาวบ้านคิดในหลาย ๆ มุม
พยายามชี้ให้เห็นถึงความแออัดที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนในอนาคต
โดยเฉพาะกับคนรุ่นถัดไป พวกเขาจะใช้ชีวิตกันอย่างไร
หากสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนยังไม่หนีจากความเป็นสลัม
และใช้ชีวิตเหนือน้ำคลำดังในอดีตที่ผ่านมา
และแนวคิดให้มีการรื้อบ้านและปลูกสร้างอาคารใหม่ที่แข็งแรงและมั่นคงกว่าถูกเสนอขึ้นกลางเวที
พร้อมกับเสียงชาวบ้านหลายคนแย้งว่า หากมีการรื้อย้าย
เทศบาลซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่อาจจะใช้จังหวะดังกล่าวเข้ามากันและไม่ให้ชาวบ้านกลับเข้ามาในพื้นที่เหมือนเดิม
“เราต้องรวมตัวกันเพราะถ้าเราไม่ไปซะอย่างก็ไม่มีคนมากล้าไล่”
เจริญย้ำกับชาวบ้าน และอาสาเดินขึ้นไป ณ
ที่ทำการเทศบาลเพื่อยืนยันเอาคำตอบ กลับมาบอกให้ชาวบ้านมั่นใจว่า
เทศบาลจะยังคงให้พวกเขาอยู่ตรงบริเวณเดิมต่อไปหรือไม่
ซึ่งคำตอบก็คือ เทศบาลยืนยันจะให้ชาวบ้านอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป
ตั้งกลุ่มออมทรัพย์
ทุนหมุนเวียนเพื่อชีวิตและการออมเพื่อบ้าน
ด้วยสภาพที่ชุมชนยังไม่รู้จะไปทางไหนกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
เจริญจึงนำแนวคิดเรื่องการตั้งกลุ่มออมทรัพย์ที่ได้เรียนรู้มาจากกลุ่มออมทรัพย์ในจังหวัดตราด
มาใช้กับชุมชน
ด้วยหลักคิดที่ว่าชุมชนต้องเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหาไม่ต้องรอให้คนนอกมาช่วย
การตั้งกลุ่มออมทรัพย์จึงเกิดขึ้น (ปี 2541) และเป็นการออมในช่วงแรก ๆ
ของชุมชน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้สมาชิกในการประกอบอาชีพ
โดยเริ่มจากสมาชิก 86 คน ตกลงออมเงินกันครอบครัวละ 100 บาท
ทำเพียงปีกว่า ๆ ก็ได้เงินเข้ากลุ่มประมาณ 3 แสนบาท
และจากกลุ่มออมทรัพย์นี้ต่อมาจึงเป็นการออมเพื่อนำเงินไปผ่อนชำระการปลูกสร้างบ้านหลังใหม่
เมื่อชาวบ้านเห็นด้วยกับแนวคิดรื้อบ้าน
ชุมชนร่วมกันออกแบบบ้านในฝัน
การสร้างบ้านหลังใหม่ของชุมชนที่ต้องใช้เงินมหาศาลแล้วจะเอามาจากไหน
หลัก ๆ
ก็มาจากเงินที่มีหน่วยงานเข้ามาสนับสนุนเพื่อใช้ทำสาธารณูปโภคในชุมชนจำนวน2,460,000
บาท ซึ่งเงินนี้หากเอามาใช้ทำในแบบเดิม ๆ
ซึ่งต้องมีการรื้อบ้านที่ปลูกเพิ่มเติมก็จะเกิดปัญหากระทบกระทั่ขึ้นได้
จึงมีการคุยกันในคณะกรรมการชุมชน ในที่สุดก็ขอไปคุยวางแผนกันให้ชัด ๆ
ว่าจะบริหารเงินนี้ให้เกิดประโยชน์และแก้ปัญหาชุมชนได้อย่างไร
จึงไปคุยกับเทศบาลขอชะลองบไว้ก่อน
ซึ่งเทศบาลก็เห็นด้วยและโอนเงินมาไว้ที่กองคลัง
เจริญ
กล่าวว่า หลังจากคุยกันบ่อย ๆ เข้า
ก็ได้ข้อสรุปว่าถ้าต้องการแก้ไขปัญหา ควรปรับโฉมพื้นที่
แล้วสร้างขึ้นมาใหม่
แต่เป็นงานใหญ่ชุมชนทำเองไม่ได้จึงไปขอความช่วยเหลือจากโครงการบ้านมั่นคงส่งสถาปนิกมาเป็นพี่เลี้ยงช่วยออกแบบบ้านตามที่ชุมชนต้องการ
ซึ่งในชุมชน 66 ครัวเรือนเรามีการแบ่งกลุ่มกันออกแบบบ้าน
ทำผังชุมชนออกมา และพบว่ามีการสะท้อนเรื่องพื้นที่ส่วนกลาง
เนื่องจากที่เป็นอยู่เดิมนั้นไม่มีพื้นที่ส่วนกลางที่คนในชุมชนจะมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้เลย
เมื่อได้แบบและความต้องการคร่าว ๆ
จึงส่งต่อให้สถาปนิกตัวช่วยออกแบบให้ จนได้ออกมาเป็น
โมเดลบ้านที่อธิบายให้เป็นความเป็นชุมชนอาคารสงเคราะห์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
และเชื่อมต่อไปถึงการทำงานวิจัยค้นหาประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกันเพื่อสร้างองค์ความรู้ของชุมชน
เพื่อการส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปของชุมชน
บ้านมั่นคง
ความสำเร็จแรกของชุมชน
เมื่อได้แบบบ้านที่ชุมชนต้องการ ก็วางแผนเตรียมการไว้ว่า
ระหว่างปลูกบ้านใครที่มีญาติก็ไปอาศัยกับญาติก่อน
คนที่ไม่มีญาติก็ทำที่พักให้อยู่ชั่วคราวแล้วช่วยกันออกค่าน้ำค่าไฟ
ในที่สุดบ้านหลังใหญ่ 2 ชั้นก็สร้างเสร็จ
ทุกครอบครัวก็ย้ายเข้ามาอยู่โดยใช้วีธีจับฉลากเพื่อความยุติธรรม
สำหรับค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นผู้ออกให้ก็ให้แต่ละครอบครัวผ่อนชำระเดือนละ
750 บาท นาน 30 ปี
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้ชุมชนอาคารสงเคราะห์
จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นชุมชนแรกที่ประสบความสำเร็จในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนทั้งชุมชน
และเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2546 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
ร่วมกับเครือข่ายชุมชนเมือง 4 ภาค
ได้ทำการเปิดตัวชุมชนอาคารสงเคราะห์อย่างเป็นทางการ
ในเรื่องต้นแบบของโครงการบ้านมั่นคง
เพื่อสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยให้แก่ชุมชนแออัด
ขณะเดียวกันก็ต้องการให้เป็นต้นแบบแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชนเมืองในพื้นที่อื่น
ๆ ทั่วประเทศที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน
ชุมชนอาคารสงเคราะห์จึงเป็นสถานที่ศึกษา
และดูงานของชุมชนแออัดจากพื้นที่อื่น ๆ
ประธานชุมชนจึงต้องตอบคำถามเดิม ๆ อยู่เป็นประจำ เช่น เลือกแบบอย่างไร
ราคาเท่าไหร่ เก็บเงินกันอย่างไร
ตลอดจนมีรูปแบบและแนวทางในการทำงานอย่างไรจึงเป็นชุมชนเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้
จากประเด็นเหล่านี้
คุณเจริญ ขันธรูจี
ซึ่งเป็นประธานชุมชนจึงประชุมร่วมกันกับชาวบ้าน
เพื่อหาแนวทางและรูปแบบในการรวบรวมองค์ความรู้ของชุมชนขึ้น
และจะมีกระบวนการอย่างไรเพื่อที่จะให้เกิดความมั่นคงในที่อยู่อาศัย
และสิ่งที่ชุมชนอาคารสงเคราะห์ทำมาจะเป็นการเรียนรู้ที่ส่งต่อเพื่อนอย่างไร
ประเด็นสำคัญคือ จะส่งผ่านเรื่องราวการต่อสู้นี้ให้ลูกหลานอย่างไร
เพราะพวกเขาคืออนาคตของชุมชน
ไม่มีความเห็น