แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการพบผู้รู้..เจ้าหน้าที่การตลาดบริษัทหลักทรัพย์


แลกเปลี่ยนเรียนรู้

     ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการเข้าพบผู้รู้ทางด้านหลักทรัพย์..นะค่ะ

หมายเลขบันทึก: 209684เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2008 14:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กรกฎาคม 2012 19:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (112)
กลุ่ม1 การเงิน หมู่01

การสัมภาษณ์ คุณ ทัศวรรณ เสวตวงษ์ (Senior Marketing : บล. ฟินันซ่า จำกัด)

เกี่ยวกับการเป็น Broker และการทำงาน 

 

            การที่จะเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ หรือ Broker ก่อนอื่นต้องมีการสอบ Single license อันดับแรก โดยสถานที่สอบคือ TSI จากนั้นทำการเลือกหลักทรัพย์ที่มีการทำธุรกิจที่ด้านการเงินอย่างครบวงจร คือ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเงินทุน บริษัทประกันภัย และบริษัท ฟินันซ่า จำกัด ก็เป็น บล.หนึ่งที่มีธุรกิจด้านการเงินครบวงจร

          ลักษณะงานในตำแหน่งนี้คือ การเป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยที่ลูกค้าจะเป็นคนกำหนดจำนวน และราคาที่ต้องการซื้อขายมาที่เจ้าหน้าที่การตลาดเป็นคนซื้อขายให้ และอีกหน้าที่หนึ่งคือ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวหลักทรัพย์ต่างๆ ให้ลูกค้า ทราบเพื่อพิจารณาและตัดสินใจซื้อขาย

 

          

             เทคนิคในการเลือกหลักทรัพย์ให้ลูกค้า

                อันดับแรกต้องดูพอร์ดการงทุนของลูกค้า เพื่อศึกษาการเล่นหุ้นของลูกค้าว่ามีความกล้าเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และดูจากสถานการณ์ปัจจุบันประกอบการตัดสินใจ

                กลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าสนใจ

                กลุ่มพลังงาน เป็นที่น่าสนใจตลอดปี เพราะว่ามี Market cap เยอะ

                กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และส่งออก ช่วงปลายปีจะน่าสนใจเพราะเป็นช่วงของการส่งออก

                กลุ่มแบงค์ เป็นที่น่าสนใจในปัจจุบัน เพราะมีอัตราดอกเบี้ยให้ได้เล่น แต่ที่จริงแล้ว ณ ขณะนี้ควรจะชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพราะจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์การเมือง

บทสัมภาษณ์  โบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์  แอ๊ดคินซัน  จำกัด  (มหาชน)

ผู้ให้สัมภาษณ์ คุณไพรัช  สมนึกขวัญดี

ผู้จัดการ / สาขาปิ่นเกล้า

การศึกษาจบระดับไหน จากที่ไหน

-           จบจากมหาวิทยาลัยสยาม  ระดับปริญญาโท  คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการทั่วไป

หน้าที่ก่อนที่จะได้มาทำงานในตำแหน่งนี้

-          เข้ามาก็มาทำตำแหน่งนี้เลย  เพราะเคยทำงาน BANK  มา 20 ปี

จะต้องมีความรู้ในด้านไหนบ้างจึงจะมาทำงานในตำแหน่งนี้ได้

-          ด้านการเงินการธนาคาร

ประโยชน์ของการเล่นหุ้น

-          มองได้ 2 มุม

1.เป็นการลงทุนลูกค้าได้ผลตอบแทน  เป็นเงินออมในบัญชีเงินฝากธนาคาร

2.เป็นการลงทุนทั้งระบบเศรษฐกิจ คือเงินของลูกค้าไปลงทุนในบริษัททำให้บริษัททำธุรกิจได้

ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน  การเล่นหุ้นคึกคักมากน้อยแค่ไหน

-          ในปัจจุบันก็ถือว่าค่อนข้างซบเซา  จากการพยากรณ์ VOMLUM  ตลาดตอนต้นปี  เฉลี่ยวันละ 2,000 ล้านบาท และ VOMLUM ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้  เฉลี่ยแค่ประมาณวันละ 8,000 -12,000  ล้านบาท  ซึ่งถือว่าน้อย

ปัญหาการเมืองในปัจจุบันมีผลต่อการลงทุนมากน้อยแค่ไหน

-          มีผลต่อการลงทุนมาก  เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากนักลงทุน 3 กลุ่ม

1.ต่างประเทศ  2.บริษัท  3.นักลงทุนรายย่อยหรือบุคคลธรรมดา

บุคคลธรรมดามีสัดส่วนในตลาดเยอะมีความตื่นตัวต่อสภาพแวดล้อมมาก  เมื่อมีปัญหาการเมืองเข้ามามีผลกระทบเยอะมีข่าวไม่ดีออกมามีการหยุดการซื้อขายทันที    

แนะนำว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุนมากที่สุด

-          การเล่นหุ้นต้องดูสภาพเศรษฐกิจ  ช่วงนี้น้ำมันลง  ควรหาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากตรงนี้  ตอนนี้คือค่าเงินบาทอ่อนตัวลงไป  ดูพวกส่งออกจะดีกว่านำเข้า

 

หุ้นทั้งหมดมีกี่ตัว

-          มีประมาณ 400 ตัว

การเล่นหุ้นควรมีเงินลงทุนสักเท่าไรจึงจะเหมาะสม

-          แล้วแต่ว่ามีเงินลงทุนมากน้อยเท่าไหร่  มีหลายปัจจัยในการตัดสินใจ  ปัจจัยที่สำคัญก็คืออายุ  คนอายุน้อยรับความเสี่ยงได้มากกว่าควรลงทุนประมาณ 70%  คนใกล้เกษียณรับความเสี่ยงได้น้อย  ไม่มีรายได้จากการทำงาน  ควรลงทุนประมาณ  20 – 30 % 

คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นอายุอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่

-          ส่วนใหญ่อายุประมาณ 40 ปี ขึ้นไป  ส่วนวัยรุ่นก็มีบ้างแต่น้อย

การเล่นหุ้นใน 1 วัน ควรเล่นสักกี่ตัว และควรลงทุนในหุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ดี

-          โดยทั่วไปมีทั้งเล่นน้อยและเล่นเยอะๆ ในการแนะนำไม่ควรเล่นเยอะเพราะจะดูแลไม่ทั่วถึงตามไม่ทัน  อย่างมาก 6-7 ตัวไม่เกิน 10 ตัว  เล่นพวกหุ้นของบริษัทเพราะมีพื้นฐานมั่นคงไม่ต้องติดตามมาก Downswing น้อย ส่วนหุ้นตัวเล็กก็จะเล่นเก็งกำไรกันเยอะ

มีเทคนิคในการดูกราฟดูอย่างไรให้แม้นยำ

-          การดูมีหลายเทคนิค แต่ส่วนใหญ่จะใช้การดู  เส้นRSI   เส้นSTOCHSASTICS   VOMLUM จะมีผลต่อปริมาณการซื้อขาย  และต้องดูหลายๆอย่างประกอบ  ต้องดูปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทั่วไปด้วย

มีลูกค้าขอคำแนะนำในการเล่นหุ้นบ้างไหม

-          มีบ้าง  ลูกค้าจะมี 2 ประเภท 1.มาเล่นที่ห้องค้าส่วนใหญ่จะเล่นเร็ว  2.เล่นอยู่ที่บ้านจะเล่นระยะปานกลาง

ปริมาณการซ้อขายของตลาดในแต่ละวันในขณะนี้มีมากน้อยแค่ไหน

-          อยู่ที่ประมาณ 8,000 -12,000 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นต่างประเทศมีความแตกต่างกันอย่างไร

-          ระบบจะไม่ค่อยแตกต่างกัน  ส่วน Index แตกต่างกันบ้างบางประเทศขึ้นลงอย่างมีเสถียรภาพ  ส่วนบ้านเราขึ้นเร็วลงเร็ว  เช่น บางตัวน้ำมันขึ้น ราคาก็จะลงจะเป็นกลุ่มที่ใช้ผลิตจากน้ำมัน

ในเวลาที่ตลาดหุ้นปิดเจ้าหน้าที่จะทำอะไรกันบ้าง

-          ฝ่ายการตลาดก็จะมีการติดต่อลูกค้าและมีการสรุปยอด

ในช่วงเช้าของวันที่ 12 กันยายน 2551มีการซื้อขายดีไหม  และคาดว่าช่วงบ่ายจะเป็นอย่างไร

-          ตอนเช้าค่อนข้างเงียบเหงา  คาดว่าช่วงบ่ายจะมีนักลงทุนบางกลุ่มมาเล่น  ส่วนใหญ่จะรอสถานการณ์(การแต่งตั้งนายกคนใหม่)

ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายสูงสุดต่อ 1 วันอยู่ที่เท่าไหร่

-          ประมาณ 30%

ช่วงนี้ควรเล่นหุ้นตัวไหน        

-          เล่นหุ้นต้องดูสภาพแวดล้อม  สภาพเศรษฐกิจการเมือง  ช่วงนี้ราคาน้ำมันลงหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มพลังงานแนะนำให้เล่นกลุ่มธนาคารน่าจะดีขึ้น

การลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะดีไหม

-          น่าจะดีขึ้นเพราะว่าตอนนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว

ในการเล่นหุ้นมีการเสียภาษีไหม

-          ปกติจะหักอยู่แล้ว

มีลูกค้าเยอะไหม

-          ลูกค้ารายย่อยเยอะ       ลูกค้าสถาบันน้อย

การฝากธนาคารกับการเล่นหุ้นอันไหนดีกว่ากัน

-          ถ้าไม่มีความรู้ในหลักทรัพย์ควรฝากธนาคารดีกว่า  เพราะการเล่นหุ้นมีความเสี่ยงมากกว่า

มีความรู้สึกอย่างไรในการทำงานในตำแหน่งนี้

-          มีความเครียดสูง ต้องเสี่ยงต่อผลกำไรของลูกค้า

คิดว่าอาชีพโบรกเกอร์มีความสำคัญมากไหม

-          มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจต้องคอยให้คำแนะนำกับลูกค้าถ้าไม่แนะนำลูกค้าก็จะมีความเสี่ยงสูง

 

 

 

                                                    ผู้สัมภาษณ์

                                                        กลุ่ม  4   การเงิน ฯ กลุ่ม 02

 

 

การเงิน 01 กลุ่ม 3 [Freedom]

การสัมภาษณ์ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต มหาชน จำกัด

สาขา ท่าพระ

1. ก่อนอื่น ขอถาม ชื่อ – นามสกุล พี่ก่อนค่ะ
- คุณ อัญญาภรณ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา

2. พี่ทำงานที่นี่มานานหรือยังค่ะ
- ประมาณ 4 ปี แล้วค่ะ

3. พี่เรียนจบแล้วพี่ก็มาทำที่นี่เลยหรือเปล่าค่ะ
- ใช่ค่ะ พี่เรียนจบแล้วพี่ก็มาทำที่นี่เลย

4. พี่จบทางด้านนี้โดยตรงรึเปล่าค่ะ
- พี่จบเศรษฐศาสตร์ค่ะ

5. ทำไมพี่ถึงเลือกทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ค่ะ
- คณะที่เรียนมาค่อนข้างที่จะตรงสาย เพราะว่าสามารถที่จะเอาเรื่องของ Economic ต่างๆ มา ประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์หุ้นได้

6. ก่อนที่จะมาทำงานที่นี่พี่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนหรือเปล่าค่ะ
- ไม่เคยค่ะ เพราะว่าทำงานที่นี่เป็นที่แรกจนถึงปัจจุบันเลยค่ะ

7. พี่มีการเตรียมตัวอย่างไรก่อนที่จะมาทำงานด้านนี้ค่ะ
- ตอนแรกเราต้องดูก่อนว่าหุ้นในตลาดมีอะไรบ้าง แต่ละบริษัทเป็นยังไง แล้วก็เรื่องเครื่องมือต่างๆหลังจากที่เข้ามาแล้วก็จะมีการฝึกอีกทีนึงค่ะ

8. ระยะเวลาเท่าไรค่ะในการอบรมถึง 1 เดือนไหมค่ะ
- อาจจะมากกว่านั้น เพราะว่าปกติแล้วการที่เราจะดูหุ้น เราจะไม่ได้ใช่แค่กี่ชั่วโมงแล้วเราจะดูได้เพราะมันค่อนข้างที่จะซับซ้อนเยอะ อย่างเช่น พวกเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน หรือจะเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานต่างๆ

9. งานด้านนี้ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับอะไรบ้างค่ะ
- จริงๆ แล้วหน้าที่วิเคราะห์จะเป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แต่ว่าโดยเนื้อหาแล้วของเจ้าหน้าที่การตลาดก็คือ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับผู้ลงทุน โดยที่จะมีการติดต่อกับลูกค้าโดยตรง แล้วก็อาจจะนำบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ที่วิเคราะห์มาแล้วนำไปเผยแพร่อีกทีนึง ก็พูดง่ายๆ ว่าก็เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุด

10. การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ในปัจจุบันต้องดูจากปัจจัยใดบ้าง
- ปัจจัยจะดูอยู่ 2 อย่าง ก็คือ จะดูเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทค่ะ แล้วก็การวิเคราะห์ทางเทคนิค ประกอบการลงทุน อาจจะเป็นพวกกราฟที่น้องๆ เคยเรียนมา

11. คิดว่าตอนนี้เศรษฐกิจ การเมืองของไทย มีผลกระทบต่อการลงทุนในหุ้นหรือไม่ อย่างไรค่ะ
- มีผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงค่ะ ช่วงนี้การเมืองด้วย เศรษฐกิจด้วย หลายๆ อย่าง นักลงทุนต่างชาติด้วย เพราะว่าถ้าถามถึงว่าช่วงนี้เศรษฐกิจในตลาดหลักทรัพย์ของเราอาจจะดูไม่ค่อยดีเท่าไร เป็นเพราะการเมือง เรื่องการประท้วง แล้วก็ส่วนเศรษฐกิจก็อาจจะเป็นพวกเพื่อนบ้านของเราก็อาจจะยังไม่ค่อยดีเท่าไร ในอเมริกาหรือว่ารอบๆ บ้านเรา จริงๆ ถ้าถามถึงว่าไปลงทุนในประเทศอื่นไหม ก็อาจจะใช่ เพราะว่าถ้าสมมติเรามีเงิน เราก็ต้องไปลงทุนในประเทศที่ให้ความเสี่ยงน้อยหน่อยถูกไหมค่ะ แต่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มีความมั่นใจมากนัก อาจจะดูเป็นการชะลอการลงทุนก็ได้

12. หลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในปัจจุบันคือกลุ่มไหนค่ะ
- อันนี้อาจจะต้องลงไปดูอีกทีนึง อาจจะดูราคาด้วยประกอบกัน อาจจะโฟกัสไม่ได้มากค่ะ

13. ปัจจุบันหลักทรัพย์ในกลุ่มพลังงานยังน่าสนใจที่จะลงทุนไหม และถ้าลงทุนตอนนี้จะมีผลอย่างไร
- ถ้ามองในแง่ของราคาที่ลงมาถือว่ายังน่าสนใจอยู่ เพราะโดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ แต่ว่า โดยรวมจะต้องดูภาวะของตลาดด้วย เพราะว่าถ้าตลาดยังไม่ดีมาก แล้วราคายังลงไปอยู่ คือจริงๆช่วงนี้ลงๆไปค่อนข้างเยอะ อาจจะสามารถที่ทยอยรับได้

14. แต่ว่าโอกาสที่จะกลับขึ้นมาอีกมีบ้างไหมค่ะ
- อันนี้ต้องรอดูการเมืองและเศรษฐกิจด้วยค่ะ

15. พี่มีเทคนิคในการวิเคราะห์หลักทรัพย์อย่างไรค่ะ
- เทคนิคก็จะดูปัจจัยพื้นฐานและก็ดูวิเคราะห์ทางเทคนิค อย่างราคาเหมาะสมอยู่ที่ประมาณเท่าไร ดู Ratio ต่างๆ

16. การเขียนวิเคราะห์หลักทรัพย์มีวิธีการเขียนอย่างไรค่ะ
- จริงๆ ถ้าตำแหน่งไม่ได้เขียนค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่จะนำมาจากโบรกเกอร์อีกทีนึง

17. ถ้าสนใจที่จะทำงานด้านนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างค่ะ
- การเตรียมตัวก็คือ ก่อนอื่นจะต้องสนใจเกี่ยวกับหุ้นก่อน คือ เราจะต้องทำความรู้จักเกี่ยวกับหุ้นต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ก่อน แล้วเราก็มาดูว่า Sector ไหนที่เราสนใจ อาจจะเป็นพลังงาน สื่อสาร แล้วเราก็ค่อยมาดูว่า Sector นั้นมีตัวไหนบ้าง แล้วก็ทำความรู้จักหุ้นแต่ละตัวก่อน

18. อย่างนั้นเราก็ต้องรู้จักหุ้นทุกตัวเลยหรือเปล่าค่ะ
- เกือบทุกตัวดีกว่าค่ะ แต่ว่าถ้าโดยเริ่มต้น เราอาจจะรู้จัก Sector หลักๆก่อนว่าแต่ละ Sector เป็นยังไง หุ้นแต่ละตัวเป็นยังไง หลังจากนั้นเราอาจจะไปลองสอบ License ถ้าพูดถึงว่าจะเข้าทำอาชีพนี้ก็จะมีสอบ License หรือสอบใบอนุญาตค่ะ

19. สอบที่ไหนค่ะ
- เข้า www.tsi Thailand.com เข้าไปสมัคร แล้วก็ไปซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็ไปสอบ ซึ่งการสอบก็จะประกอบด้วยหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นเกี่ยวกับการซื้อ – ขาย หรือว่าเกี่ยวกับจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่การตลาดจะมีโดยรวมๆ ค่ะ ก็คือพอสอบผ่านแล้วถึงจะมาเป็นผู้แทนขายได้ 

                                                      

                                                               การเงิน 01

                                                          กลุ่ม 3 ( Freedom )

การสัมภาษณ์

คุณกิติชาญ  ศิริสุขอาชา  ผู้อำนวยการอาวุธโส  บริษัท  หลักทรัพญ์กิมเอ็ง (ประเทศไทย)  จำกัด  มหาชน

 

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการวางแผนกลยุทธ์

-          ปัจจัยด้านมหาภาค  ทั้งในและต่างประเทศ  เช่น  ทิศทางดอกเบี้ย  ทิศทางอัตราเงินเพ้อ  อัตราการขยายตัวทางธุรกิจ  นโยบายการเงิน การคลัง  และอัตราแลกเปลี่ยน  เป็นต้น

-          ปัจจัยด้านการเมือง  ส่วนใหญ่เป็นมุมเชิงลบที่มีผลต่อการวางแผนกลยุทธ์

-          ภาวะอุตสาหกรรม = วัฏจักรอุสาหกรรม

-          ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น

-          ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม

-          ทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดอนุพันธ์

-          ทฤษฎีเกมส์

-          การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค

 

หลักการวางกลยุทธ์ที่สำคัญ

-          ต้องรู้สไตล์การลงทุนของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

-          รู้เขารู้เรา  ตลาดส่วนใหญ่คิดอย่างไรต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

-          ต้อง  A Head The Game  เสมอ

-          ภาวะตลาดที่ผันผวนต้องทำตัวเงิน  ชาวสวน

-          แต่ภาวะตลาดที่เป็นขาขึ้นเราต้องเป็น  ชาวไร่

-          เมื่อทิศทางตลาดและ/หรือภาวะอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงต้องกล้าตัดสินใจ  ผิดทางแล้วกล้าที่จะเปลี่ยน

-          ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น  2  ส่วน  :  ระยะสั้น ระยะยาว

 

ผลกระทบที่มีต่อการลงทุน

                นักลงทุนดูจากปัจจัยหลายอย่าง  โดยดูความเสี่ยงต่าง ๆ  การเมืองบ่งบอกว่าเศรษฐกิจจะไปทิศทางไหน  ทำให้การลงทุนต่าง ๆ วางแผนได้ยาก  เนื่องจากความคิดของแต่ละผู้นำแต่ละรัฐบาลไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่าผู้นำจะชี้นำเศรษฐกิจไปในทิศทางไหน

                การเลือกลงทุนในหุ้นต้องดูจากผลตอบแทนดูว่าตัวไหนที่สามารถทำผลกำไรได้  มองไปต้องมีการปรับเปลี่ยนได้เสมอ

 

ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน

                ปัญหาซับไพรม  เศรษฐกิจที่ชะลอตัว  นักลงทุนต่างชาติ  ความเสี่ยงทางด้านตลาด  มูลค่าหุ้น  จังหวะการลงทุน

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ

                กลุ่มพลังงานก็อาจเติบโตได้  อสังหา  หากพลังงานลดกลุ่มขนส่งจะดีขึ้นและน่าลงทุน

                การเลือกลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในหุ้นใหญ่  เช่น  หุ้น 50  ตัวหลัก  เนื่องจากมีสภาพคล่องของการซื้อขาย  หากต้องการขายจะได้ขายได้เลย  ส่วนตลาดหุ้นไทยจะมีลักษณะใกล้เคียงตลาดฮ่องกงมากที่สุด

                การทำ  Shot  again  เช่น  หากเราซื้อหุ้นมาราคา  100  พอหุ้นตกเราขายที่ราคา  80  ขาดทุน  20  แต่เราก็อาจไปซื้อกลับที่ราคา  50  ก็มีกำไร  30  และก็จะเป็นกำไรสุทธ์  10  บาท

                สิ่งที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากที่สุด  คือ  ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา 

กลุ่มที่ 2 การเงิน 01

สัมภาษณ์บทวิเคราะห์หุ้นโดย คุณ ปิติ เกตุศิริ (Senior Sales Executive Branch Securities Trading Department:บริษัท BT Securities)

เกี่ยวกับการเป็น Senior Sales Executive และการทำงานในการวิเคราะห์หุ้น

 

          การที่จะเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จะต้องมีการผ่านหลักสูตร CISA หรือCertified Investment and Securities Analyst Programเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ด้านการวิเคราะห์และบริหารการลงทุนทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประเมินค่าสินทรัพย์เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาลงทุน ประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน รวมทั้งเปรียบเทียบการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ และเรียนรู้วิธีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติวิชาชีพและจรรยาบรรณและหลักปฏิบัติวิชาชีพของการวิเคราะห์ เพื่อยกระดับมาตรฐานบุคลากรด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์และการจัดการลงทุนสู่สากล จะต้องไปสอบที่สถาบัน TSI เพื่อขึ้นทะเบียนในการรับใบอนุญาตในการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์

                ลักษณะของงานในตำแหน่ง Senior Sales Executive คือ จะเป็นผู้แนะนำการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้กับลูกค้าและติดตามข่าวสารตลอดเวลาเพื่อคอยรายงานให้กับลูกค้าที่ดูแลอยู่ในขณะนั้นพร้อมทั้งยังเป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับลูกค้าอีกด้วย

 

         

 เทคนิคในการเลือกหลักทรัพย์ให้ลูกค้า

                ต้องดูกลุ่มลูกค้าว่าอยู่ในกลุ่มใดก่อนแล้วเราจึงจะวิเคราะห์ว่าควรซื้อหรือขายพร้อมทั้งดูสถานการณ์ในปัจจุบันโดยปกติจะแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ

                                กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มการลงทุนระยะสั้นหรือมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรซึ่งจะต้องอาศัยข่าวรายวันในการวิเคราะห์หุ้น เช่น หุ้น SC ของเจ๊แดง หุ้นของตระกูลวงศ์สวัสดิ์ เป็นต้น

                                กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มการลงทุนระยะปานกลาง คือ จะมีทั้งการเก็งกำไรและการลงทุน

                                กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มการลงทุนระยะยาว ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นประเภทเงินเย็น คือ แทบจะรับความเสี่ยงไม่ได้เลย เช่น จะนำเงินส่วนใหญ่ฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรหรือเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดีตลอดมีความเสี่ยงต่ำมาก

 

หลักทรัพย์ที่น่าลงทุนมากที่สุดในขณะนี้

1. หุ้น Esso           มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 14.48 %

                  2. หุ้น PTTAR   มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 12.20 %

                  3. หุ้น SCC         มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 11.11 %

                  4. หุ้น TOP         มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 10.29 %

                  5. หุ้น TISCO    มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 12.32 %

                  6. หุ้น UVAN     มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 6.22 %

                  7. หุ้น PDI          มี Dividend Yield              อยู่ที่ประมาณ 15.57 %

สัมภาษณ์ Broker

บริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด

คุณแทนคุณ  อ่อนสัมฤทธิ์

 

หัวข้อและคำตอบในการสัมภาษณ์

 Moji

1.  ตำแหน่งหน้าที่การงาน

                -  Marketing

2. ความรับผิดชอบในหน้าที่

                -  หาข้อมูลข่าวสาร,ให้ข่าวสารลูกค้า,รับ Order จาดลูกค้า,รับรองลูกค้า เป็นต้น

3.  หาข้อมูลข่าวสารได้จากอะไร

                -  มาจากนักวิเคราะห์,อ่านหนังสือพิมพ์,ดูกราฟหุ้น,แนวโน้มตลาด,ราคาน้ำมัน,ราคาทองคำ,ตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น

4.  ต้องจบสาขาอะไรถึงได้มาทำงานตำแหน่งนี้

                -  ไม่จำเป็นจบสาขาอะไรก็สามารถทำงาน เพราะต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ แต่ถ้าจบสาขาการเงินมาก็จะง่ายต่อการเรียนรู้

5.  ถ้าอยากทำงานในตำแหน่งนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง

                -  1.  เข้าอบรมกับตลาดหลักทรัพย์

                     2.  สอบใบอนุญาต เช่น เรื่องตราสารอนุพันธ์

                     3.  เมื่อมีใบอนุญาตแล้วก็ยื่นสมัครงานได้เลย

6.  ต้องมีความรู้ด้านใดบ้าง

                -  ต้องมีความรู้รอบตัวทุกด้าน ดูจากหนังสือพิมพ์ ข่าว  รู้รอบโลก

7.  การหาลูกค้าหาได้จากไหน

                -  การหาลูกค้าส่วนมากหาด้วยตัวเอง  ก้าวแรกแห่งการทำงานรุ่นพี่จะเป็นคนแนะนำให้และลูกค้าจะเป็นคนพิจารณาเองโดยดูจากพฤติกรรมของตัวเรา

8.   ลักษณะของโบรกเกอร์ที่ดีควรเป็นอย่างไร

                -  ควรมีความอดทน  อดกลั้น  และต้องมีความกระตือรือร้นในการทำงาน  ต้อง Update ข่าวสารอยู่เสมอและที่สำคัญต้องมีความตั้งใจ  รักในงานที่ทำ

9.  ทำงานมานานเท่าไรแล้ว

                -  17 ปี

10.  เงินเดือนจะพิจารณาจากอะไร

                -  ต้องบริหารตัวเอง เพราะบริษัทจะไม่ช่วยเหลือไม่ว่าในด้านใดและบริษัทจะมีการตั้งฐานเงินเดือนไว้แต่ก็ต้องพิจารณาจากผลงานถ้าผลงานไม่บรรลุเป้าก็อาจจะได้เงินเดือนน้อยกว่าฐานเงินเดือนที่ตั้งไว้และมีการบวกค่าคอมมิสชั่นให้ด้วย

11.  ในความคิดของพี่คิดว่าในอนาคตข้างหน้าอาชีพโบรกเกอร์จะเป็นอย่างไร

                -  ทำงานยากขึ้น  เพราะมีการแข่งขันสูงบวกกับเศรษฐกิจไม่ดีในทั่วโลก  ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายกับการลงทุน  อาจหันไปลงทุนในวิธีอื่น  เช่น  ซื้อทอง  ฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย  เป็นต้น

12.  ปัญหาบ้านเมืองมีอิทธิพลกับการลงทุนมากน้อยแค่ไหน/อย่างไร

                -  มีมาก  เพราะต่างชาติไม่ไว้ใจสถานการณ์บ้านเมือง  ขาดความเชื่อมั่นและไม่มั่นใจในความปลอดภัย  ต่างชาติจึงทำการขายหุ้นตลอดเวลาและหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์  มาเลเซีย  เวียดนาม  เป็นต้น  แต่เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองนิ่ง  เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น  ต่างชาติจะหันกับมาลงทุนอีกครั้ง

13. ตลาดหลักทรัพย์มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาหรือไม่

                -  เมื่อก่อนมีโดยผู้จัดการจะมีการจัดตั้งกองทุน  แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วเพราะ  นักลงทุนไม่กล้าลงทุนเพราะมีความเสี่ยงมาก

14.  หุ้นตัวไหนที่น่าสนใจลงทุนในตอนนี้

                -  หุ้นในกลุ่มธนาคาร  เช่น  กรุงเทพ,ไทยพาณิชย์

                    หุ้นในกลุ่มพลังงาน  เช่น  Pttep,Banpu

15.  ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นโลกมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

                -  มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก  เพราะ  ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ เมื่อต่างชาติเกิดผลกระทบก็จะส่งผลถึงประเทศไทยโดยตรง เช่น อเมริกาลดอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อประเทศไทยโดยต่างชาติจะกระจายเงินออกสู่ทั่วโลกเป็นผลพลอยได้

16.  ควรทำการซื้อขายหุ้นตอนไหน

                -  ดูกราฟประกอบโดยดูตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  เมื่อกราฟขึ้นสูงสุดให้รีบขาย  ถ้านิยมลงทุนระยะยาวก็ควรที่จะซื้อตอนที่หุ้นลงต่ำสุด  การจะขายต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆ

17.  การเล่นหุ้นมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

                -  การเล่นหุ้นมีความเสี่ยงสูง  เพราะหุ้นมีการขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาเปลี่ยนแปลงตลอดรอบเช้าหุ้นอาจจะขึ้นแต่พอตกเย็นหุ้นกับลงต่ำสุดของวันก็เป็นได้

18.  มีลูกค้าโทรมาให้พี่แนะนำบ้างหรือเปล่า/และเคยแนะนำผิดพลาดบ้างหรือป่าวและมีวิธีแก้ไขอย่างไร

                -  เรื่องการแนะนำเป็นหนี่หลักอยู่แล้ว  บางครั้งก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง เช่น ลูกค้ามีหุ้น 100,000 หุ้น  ต้องการขายที่ราคา 110 บาท  แต่ทางเราคีย์ผิดเป็นส่งคำขอซื้อแทนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น  วิธีแก้ไขคือ  ต้องรีบทำการขายทันทีแต่อาจจะเกิดส่วนต่างจากการขายขาดทุน  ตัวพนักงานเองต้องรับผิดชอบ 50%  บริษัทรับผิดชอบ 50%

19.  หุ้นมีทั้งหมดกี่ตัว

                -  ประมาณ 400 ตัว

20.  การลงทุนในหุ้นแตกต่างจากการฝากเงินกับธนาคาร  การซื้อทอง อย่างไรและถ้าคนหันไปลงทุนในทองจะส่งผลอย่างไรบ้าง

                -  การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่ามากและได้เงินเยอะกว่า  การหันไปเกณฑ์กำไรในทองเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย  มีผลกระทบแต่ไม่เยอะเพราะลงทุนในทองก็มีความเสี่ยงเหมือนกันแต่ไม่มากเท่าการเล่นหุ้น

21.ในแต่ละวันควรซื้อหุ้นมากน้อยแค่ไหน

                -  ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และตัวลูกค้าเองว่ากล้าที่จะเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

22.การเล่นหุ้นควรจะมีเงินฝากอยู่ที่ระดับใด

                -  มีเงินฝาก 15%  ของเงินลงทุน  เช่น คิดจะลงทุน 1 ล้านบาท  ควรมีเงิน 150,000 บาท เป็นเงินหรือว่าหุ้นก็ได้

23.  คิดว่า พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝาก  มีผลต่อการลงทุนอย่างไร

                -  มีผลสูงคนจะหันมาเล่นหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะส่วนที่รัฐบาลไม่คุ้มครองจะนำมาลงทุนในหุ้น

ภาพเคลื่อนไหว

            

ภาพเคลื่อนไหว

            

ภาพเคลื่อนไหว

            

   ภาพเคลื่อนไหว

 

                  

บทสัมภาษณ์นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาติ จำกัด

ผู้ให้สัมภาษณ์ : คุณ อมรรัตน์ เหลืองวิไล (พี่อ้อย)

ถาม: ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ดำรงตำแหน่งอะไรอยู่คะ

ตอบ: Broker ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยให้คำแนะนำในการลงทุนใน หลักทรัพย์

ถาม: แล้วพี่ทำงานที่นี่มานานเท่าไรแล้วคะ

ตอบ: ก็ทำมา 3 ปีแล้วค่ะ

ถาม: แล้วในส่วนของงานที่พี่ทำอยู่นี้มีความยากมากน้อยแค่ไหนคะ

ตอบ: จะว่ายากไหม อันนี้ก็ขึ้นอยู่ความชอบของแต่ละคนนะคะแล้วก็รวมถึง ความสามารถและไหวพริบของตัวแต่ละคนด้วยนะคะ แต่ถ้าสำหรับพี่แล้ว มันก็ไม่ยากค่ะ

ถาม: ต้องเรียนในด้านใดมาคะถึงจะสามารถที่จะประกอบอาชีพด้านนี้ได้คะ

 ตอบ: ได้ทุกสาขาค่ะ เพียงแต่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพในการเป็น Broker

ถาม: แล้วพี่อ้อยเรียนด้านใดมาคะถึงมาทำงานเป็น Broker ได้

ตอบ: Marketing

ถาม: ก่อนที่พี่จะมาทำงานด้านนี้พี่ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างคะ

ตอบ: ก่อนที่เราจะมาทำงานด้านวิเคราะห์หลักทรัพย์นี้ได้ ต้องสอบใบประกอบ วิชาชีพก่อนคือการสอบ ลายเส้นFK

ถาม : ก่อนที่พี่จะมาทำงานเป็น Broker พี่ต้องมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน รึเปล่าคะ

ตอบ: ก็ต้องมีนะคะ พอดีว่าพี่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา มาแล้วก็ยังมีประสบการณ์ในด้านของการขายมาด้วยค่ะ

ถาม: ถ้าหากว่ามีความสนใจที่จะทำงานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต้อง เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ตอบ: อันดับแรกอย่างที่พี่บอกนะคะก็คือเราต้องสอบให้ได้ใบประกอบวิชาชีพ ซะก่อนแล้วก็ต้องมีประสบการณ์ในการทำงานเป็นอย่างดีรวมถึงไหวพริบ ด้วยเพราะว่าบางบริษัทนั้น การที่จะรับสมัครพนักงานเข้าทำงานใน ตำแหน่งนี้จะค่อนข้างที่จะสกรีน คนเข้าทำงานเนื่องจากต้องการพนักงานที่มี ความชำนาญในงาน

ถาม: แล้วในส่วนของการสมัครเข้าทำงานในด้านนี้ล่ะคะ มีการแบบใดบ้างคะ

ตอบ: การสมัครเข้าทำงานก็จะเหมือนกับการสมัครเข้าทำงานทั่วไป ไม่มีการสอบข้อเขียนแต่มีการสอบสัมภาษณ์และก็ดูที่ประสบการณ์ของ การทำงานด้วยค่ะ

ถาม: การทำงานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต้องมีความรู้หรือทักษะมากน้อย แค่ไหนคะ

ตอบ: การทำงานในด้านนี้จำเป็นที่จะต้องมีความรู้พื้นฐานมาเป็นอย่างดี และต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา

ถาม: งานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์นี้จะต้องรับผิดชอบหรือว่ามีหน้าที่ อย่างไรบ้างคะ

ตอบ: หน้าที่หลักๆเลยนะคะก็คือ การส่งคำสั่งซื้อขายให้กับลูกค้าแล้วก็รวมถึง การวิเคราะห์งบการเงินและงบกำไรขาดทุน

ถาม: รบกวนให้พี่อ้อยช่วยแนะนำเทคนิคที่จะใช้ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยค่ะ

ตอบ: เทคนิคที่จะใช้ในการวิเคราะห์นั้นจริงๆแล้วมันไม่มีนะคะแต่เราจะใช้หลัก ที่วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะหรือสภาวะของตลาดใน ขณะนั้นแล้วก็ภาพรวมของตลาดค่ะ

 ถาม: แล้วในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่สำคัญมีอะไรบ้างคะ

ตอบ: ก็จะเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ดูจังหวะการซื้อขาย สภาพตลาดความต้องการของลูกค้า ลูกค้าบางท่าน ก็จะชอบที่จะใช้ปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์และบางท่านก็อาจจะใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

 ถาม: คิดว่าเศรษฐกิจการเมืองของไทยในตอนนี้มีผลกระทบต่อหุ้นไทย มากน้อยแค่ไหน

ตอบ: คิดว่ามีผลกระทบอย่างมากเลยนะคะกับการลงทุน เพราะว่าเพียงแค่มี ข่าวออกมาเพียงเล็กน้อยในเรื่องต่างๆไม่ว่าข่าวนั้นจะเป็นเพียงแค่ข่าวลวง ก็สามารถที่จะทำให้ตลาดมีความผันผวนเนื่องจากนักลงทุนไม่กล้าที่ จะเสี่ยงลงทุน

ถาม: คิดว่ากลุ่มหลักทรัพย์ใดที่น่าลงทุนที่สุดในขณะนี้คะ

ตอบ: กลุ่มพลังงานกับกลุ่มธนาคาร -กลุ่มพลังงานค่ะ เพราะว่าอนาคตน้ำมันนั้นจะไปได้อีกไกล มีโอกาสที่จะก้าวหน้าก็ยกตัวอย่างหุ้นกลุ่มพลังงานที่มาแรงนะก็ เช่น PTT , TOP -กลุ่มธนาคาร เพราะว่ามีความมั่นคง ส่วนใหญ่จะอยู่ในเรื่องของ สินเชื่อหุ้นที่น่าลงทุนของ กลุ่มธนาคารก็เช่น BBL, SCB, KBANK เป็นต้น

ถาม: หุ้นแบบไหนที่ควรลงทุนระยะยาวและแบบไหนที่ควรลงทุนระยะสั้น

ตอบ: หุ้นที่ควรลงทุนในระยะยาวก็จะอยู่ในกลุ่มหุ้นที่ใหญ่ๆหรือไม่ก็กลุ่ม พลังงานส่วนหุ้นตัวเล็กๆหรือที่ราคาน้อยๆสักประมาณ 2 – 3 บาท ควรเก็งกำไรในระยะสั้น แต่เราก็ต้องดูจังหวะและโอกาสควบคู่ไปด้วย

ถาม: ใบประกอบวิชาชีพที่พี่แนะนำให้สอบนี้ต้องทำอย่างไรบ้างคะ

ตอบ: จะเป็นข้อสอบแบบปรนัยจำนวน 100 ข้อ สอบด้วยตนเองกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถที่จะรู้ผลได้ทันทีที่สอบเสร็จ ข้อสอบจะแบ่งเป็นในเรื่องของ จรรยาบรรณจำนวน 10 ข้อ ต้องทำข้อสอบเรื่องของจรรยาบรรณให้ได้ 90 % (คือทำให้ได้ 9 ข้อใน 10 ข้อ)จึงจะผ่าน ถ้าหากทำข้อสอบอื่น ผ่านแต่ไม่สามารถที่จะทำข้อสอบในเรื่องของจรรยาบรรณให้ผ่านได้ตามที่ กำหนด ข้อสอบอันที่ผ่านก็จะไม่มีผลก็ถือว่าสอบไม่ผ่านนั่นเอง แล้วก็ไม่ได้ใบประกอบวิชาชีพแต่การสอบนี้สามารถสอบกี่ครั้งก็ได้ จนกว่าเราจะผ่าน

 ถาม: รายได้จากการทำงานในด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์นี้เป็นอย่างไรบ้างคะ

 ตอบ: รายได้จากอาชีพนี้มีรายได้ที่ดีมาก แล้วก็ที่สำคัญจะขึ้นอยู่กับจังหวะและ โอกาสของเราด้วย คือถ้าเราสามารถที่จะจับลูกค้ารายใหญ่ได้มัน ก็จะส่งผลที่ดีกับเราด้วยเช่นกัน

       สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณพี่ อมรรัตน์ เหลืองวิไล (พี่อ้อย)       นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ บริษัท หลักทรัพย์ธนชาติ ที่กรุณาสละเวลาให้พวกเรานักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการเงินการธนาคารของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้มีโอกาสสัมภาษณ์ในเรื่องของการทำงานในด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์และรวมถึงคำแนะนำต่างๆที่พี่ได้ให้คำแนะนำมาค่ะ

                 

                 

กลุ่มที่ 1 Never Dies Alone (การเงิน 01)

ความคิดเห็นที่ 7 คือความคิดเห็นของกลุ่มที่1 การเงิน01 Never Dies Alone

กลุ่มที่ 3 SET MON TM. (การเงิน 01)

                            การสัมภาษณ์ BROKER

                  บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงจำกัด(มหาชน)

                                    สาขาปิ่นเกล้า

 

ประวัติผู้ให้สัมภาษณ์

พี่ยิ่งดาว   ประพันธ์พัฒน์  ตำแหน่ง BROKER

                เรียนจบปริญญาตรี การเงินการธนาคารที่ ธุรกิจบัณฑิต และปริญญาโท การเงิน ที่ NIDAปัจจุบันเป็น BROKER บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงจำกัด (มหาชน) อายุการทำงานกับบริษัท 2 ปี

 

ข้อมูลการสัมภาษณ์

                การเตรียมตัวในการทำงานเป็น  BROKER ในระหว่างที่เรียนปริญญาตรีสาขาการเงิน ก็จะมีพอร์ตจำลองสำหรับการซื้อขายหุ้น ทำให้ได้สัมผัสกับราคาหุ้น และลักษณะพื้นฐานของตัวหุ้นมา และจะมีวิชาที่ จะมีลักษณะที่จับเอาบริษัทใดบริษัทหนึ่งมาที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มาวิเคราะห์ซึ่งวิเคราะห์อยู่แล้ว ในส่วนของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศด้วย ดั้งนั้นจึงต้องมีความพร้อมทางข้อมูล และนักลงทุนที่ติดต่อด้วยนั้น มีความสนใจการลงทุนด้านไหน เพราะจะมีการลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ตลาดที่เป็นการลงทุนในหุ้น และการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ รวมถึงดูความพร้อมของนักลงทุน

                การทำงานเป็น BROKER เริ่มต้นด้วย ความรู้พื้นฐานที่เรียนมา ความคุ้นเคยต่างๆ ที่ได้ศึกษามา ทำให้สนใจทางด้านหลักทรัพย์ ซึ่งสถาบันการเงินต่างๆแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนการค้าหลักทรัพย์  ส่วนวานิชธนกิจ  ส่วนอนุพันธ์  ส่วนกองทุน ก็ต้องเลือกว่าสนใจในตลาดแบบไหน

                การทำงานด้านนี้ก็คือ จะทำหน้าที่แนะนำ ตัวสินค้า สินค้านี้ก็คือหุ้นที่น่าสนใจ เหมาะสมกับสภาพตลาด และความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น และสามารถทำกำไรให้กับลูกค้า จะเป็นในระยะสั้นหรือระยะยาวต้องดูที่ภาวะของตลาด ลูกค้าหรือนักลงทุนที่มาลงทุนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. ผู้ที่ต้องการส่วนต่างของราคา หรือต้องการกำไร  2. ต้องการเงินปันผล เพราะฉะนั้นเลือกโปร์ดัก ให้ตรงตามความต้องการของผู้ลงทุน

                เทคนิควิธีในการ แนะนำตามความเป็นจริงในแนวโน้มที่ดีที่จะเป็นไปได้และทำกำไรสูงสุดให้กับผู้ลงทุน ตระหนักเสมอว่าเงินของลูกค้า ก็คือเงินของเรา และทุกเวลาจะมีค่าเป็นตัวเงิน และไม่ควรทำให้ลูกค้าหรือผู้ลงทุนเกิดความสูญเสียในการลงทุน หัวใจของการทำงานที่ดีสำหรับการเป็น BROKER คือ ทำกำไรให้กับผู้ลงทุนให้ได้ และ Cut Loss ให้เป็น ซึ่งการทำกำไรเป็นหัวใจหลักส่วน การ Cut Loss คือการทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนน้อยที่สุด หากว่าหุ้นที่ผู้ลงทุนถืออยู่ตกและคาดว่าอีกเป็นระยะเวลานานกว่าจะขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น เราจะมีวิธีการพูดกับผู้ลงทุนอย่างไร เพื่อจะให้ลูกค้า ขายไปก่อนที่จะขาดทุนมากกว่านี้ และเตรียมการสำหรับหุ้นตัวอื่นแทน วิธีดังกล่าวนี้เรียกว่า การ Cut Loss

                ด้านภาวะเศรษฐกิจ ภาวะเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดสะท้อนถึงราคาของหลักทรัพย์ รวมถึงการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ โดยภาพรวมหุ้นเป็นสับเซตของเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีก็จะส่งผลต่อภาวะของราคาตลาดและภาวะการลงทุน

                ตอนนี้หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจที่สุดในสภาวการณ์แบบนี้  เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า บริษัทเลห์แมน บราเทอร์ เป็นสถาบันการเงินวานิชธนกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะล้มละลายในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน ในสภาวการณ์ดังกล่าว มีแนวโน้มว่าหุ้นในกลุ่ม  3G หรือกลุ่มสื่อสาร ซึ่งได้รับผลกระทบน้อย เช่น Advance ซึ่งภาวการณ์ดังกล่าว สามารถซื้อ เก็งกำไรในระยะสั้น ในการลงทุนระยะยาว แนะนำหุ้นที่มีเงินปันผลสูง และหุ้นที่แนะนำเก็บกันคือ TISCO เพราะว่า TISCO มีเงินปันผลสูง แต่ว่าหุ้นในกลุ่ม BROKER ยังไม่น่าสนใจเพราะในขณะนี้ยังประสบปัญหาในขณะนี้ รอให้ถึงระยะที่ควรจะเก็บ

                ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างๆ ว่าตัวไหนน่าสนใจ หรือ ควรลงทุนมากที่สุด ต้องศึกษาและบริโภคข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้มากๆ และใช้วิจารณญาณ ของตนเองเป็นที่ตั้ง เพราะไม่มีใครสามารถบอกหรือพูดได้อย่างมั่นใจได้ว่าหลักทรัพย์ตัวไหนดีที่สุดหรือ ตัวไหนขึ้นหรือลง ดังนั้น จึงต้องใช้วิจารณญาณ ผนวกกับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องของตนเองเป็นหลักในการตัดสินใจ

                สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานคือความตรงไปตรงมาซื่อสัตย์ ต่อตนเอง และลูกค้าหรืผู้ลงทุน ทั้งเพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ของลูกค้า เสมือนเงินของเรา ซึ่งเรามีหน้าที่ ดูแลเงินดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ได้กำไรสูงสุด จึงจะประสบความสำเร็จ ในการเป็น BROKER

 

.....กลุ่ม Set Mon ถูกจุดครับ.....

******(องค์ชายใหญ่)*******

การสัมภาษณ์ คุณ ศิริภัสสร กิตติ์พิชานันท์ (supervisor : บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง) เกี่ยวกับการเป็น Broker และการทำงาน

 

นักศึกษา:  สวัสดีครับ พี่ชื่ออะไรครับ

ศิริภัสสร:  พี่ชื่อ ศิริภัสสร  กิตติ์พิชานันท์

นักศึกษา:  พี่ทำงานเกี่ยวกับอะไรครับ

ศิริภัสสร:  พี่เป็น supervisor งานของพี่เกี่ยวกับหุ้นซื้อขายหุ้นและตราสารอนุพันธ์

นักศึกษา:  พี่มีกลยุทธ์ยังไงในการหาผู้ลงทุนครับ

ศิริภัสสร:  เดี๋ยวนี้หายากนะก็ต้องอาศัยลูกค้าเก่าแล้วแนะนำต่อๆกันมา

นักศึกษา:  แล้วพี่มีการให้คำแนะนำกับลูกค้ายังไงบ้าง

ศิริภัสสร:  ตอนนี้หุ้นมันเล่นยากนะก็แล้วแต่ลูกค้าว่าเค้าต้องการแบบไหน ลงทุนระยะยาว เงินปันผล หรือเก็ง                                                                                    กำไรระยะสั้น

นักศึกษา:  แล้วที่ผ่านๆมาพี่มีเทคนิคอย่างไรที่แนะนำให้กับผู้ลงทุน

ศิริภัสสร:  ถ้าถึงแนวต้านก็แนะนำให้ขาย

นักศึกษา:  ในตอนนี้หุ้นตัวไหนน่าสนใจที่สุดครับ

ศิริภัสสร:  ก็ต้องดูว่าต้องการลงทุนแบบไหน

นักศึกษา:  แล้วถ้าต้องการลงทุนแบบเพื่อผลกำไร

ศิริภัสสร:  ตอนนี้ยังไม่น่าลงทุน ถ้าเล่นควรเล่นระยะสั้นมากกว่า ซื้อมา 2-3 วันแล้วค่อยขาย

นักศึกษา:  แล้วถ้าต้องการลงแบบต้องการเงินปันผล

ศิริภัสสร:  ก็ให้ลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มแบงค์ ในตอนนี้กลุ่มแบงค์ก็ยังผันผวนอยู่ถึงแนวต้านก็ให้ขายก่อน

นักศึกษา:  ช่วงนี้ถ้าเป็นหุ้นรายวันหรือกองทุนรวม ลงทุนในไหนได้กำไรดีกว่ากันครับ

ศิริภัสสร: ของพี่ตอนนี้ยังไม่มีกองทุนรวมนะ มีแต่หุ้นรายวัน

นักศึกษา:  หุ้นที่น่าสนใจตอนนี้ก็ยังเป็นหลุ่มแบงค์อยู่ใช่ไหมครับ

ศิริภัสสร:  แบงค์ตอนนี้ก็น่าสนใจทุกตัวนะ ถ้าเกิดผ่านแนวต้านก็ขายแต่แนะนำให้เล่นสั้นมากกว่า

นักศึกษา:  แล้วถ้าเกิดลูกค้าสนใจที่จะลงทุนในหุ้นต่างประเทศต้องทำอย่างไรบ้างครับ

ศิริภัสสร:  หุ้นต่างประเทศของพี่ยังไม่มีนะตอนนี้

นักศึกษา:  พี่ทำงานมากี่ปีแล้วครับ

ศิริภัสสร:  ถ้าสายนี้ก็ประมาณ 6 ปีแล้ว ถ้าmarketing ก็ประมาณ 2 ปี

นักศึกษา:  ลูกค้าที่พี่ให้บริการอยู่มีทั้งหมดกี่รายครับ

ศิริภัสสร:  ก็ 40 กว่าราย

นักศึกษา:  แล้วลูกค้าของพี่มีการซื้อขายทุกวันไหมครับ

ศิริภัสสร:  ก็ทุกวันนะ มีประมาณวันละ 2-3 รายก็ไม่อยากให้เขาพักหุ้น อยากให้เขาเล่นจะได้มีเงินบ้าง

นักศึกษา:  พี่ทำยังไงถึงได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้ครับ

ศิริภัสสร:  ก็ต้องสอบ single license แล้วมาสอบของ TFEX

นักศึกษา:  แล้วพี่สอบกี่ครั้งครับ ถึงจะผ่าน

ศิริภัสสร:  ของพี่สอบ 2 ครั้ง ก็แล้วแต่นะบางครนก็สอบแค่ครั้งเดี่ยว

นักศึกษา:  แล้วข้อมูลในการสอบนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ

ศิริภัสสร:  ใช่ มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

นักศึกษา:  แล้วเวลาไปสอบ single license ทำอย่างไรบ้างครับ

ศิริภัสสร:  เค้าจะมีตารางมาให้ ลองไป search ดูในเว็ปไซต์ก็ได้ ตอนพี่สมัครเสียครั้งละ 700 บาท แล้วมีใครไป สอบมาบ้างไหม

นักศึกษา:  ไม่มีครับ

ศิริภัสสร:  น้องเรียนอะไรมาหรอ

นักศึกษา:  เรียนการเงินการธนาคารครับ

ศิริภัสสร:  น้องคิดว่าจะมาทำงานแบบนี้ไหม

นักศึกษา:  ก็อยากทำครับ ถ้ามีโอกาส

ศิริภัสสร:  แล้วได้มีการเล่นหุ้นจำลองกันบ้างไหม

นักศึกษา:  ก็เล่นของ click 2 win อยู่ครับ

ศิริภัสสร:  เป็นอย่างไรบ้างแล้วได้กำไรบ้างไหม

นักศึกษา:  ตอนนี้จับตัวไหนก็แดงทุกตัวเลยครับ

ศิริภัสสร:  แล้วน้องเล่นหุ้นอะไรกันบ้าง

นักศึกษา:  ก็เล่นหุ้น กลุ่มพลังงาน กลุ่มแบงค์ส่วนใหญ่จะเล่นหุ้นตัวใหญ่ๆครับ

นักศึกษา:  พี่คิดว่า AIG มีผลกระทบไหม

ศิริภัสสร:  เค้าบอกว่าตอนนี้บริษัทแม่ได้ส่งเงินมาให้ 40,000 ล้าน เพื่อที่จะมาสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าแต่เห็นว่าทิ่สิงคโปร์ไปถอนกรมธรรณ์ 20 รายต่อวัน แต่คิดว่าไม่น่ามีผลกระทบกับประเทศไทย

นักศึกษา:  ปัญหาของบริษัทแม่จะส่งผลต่อบริษัทลูกไหมครับ

ศิริภัสสร:  ก็ไม่มีผลกระทบนะเพราะประเทศไทยไม่ค่อยได้ไปลงทุนใน AIG

นักศึกษา:  พี่คิดว่าเศษฐกิจการเมืองตอนนี้มีผลต่อตลาดหุ้นไหมครับ

ศิริภัสสร:  ตอนนี้ปัจจัยพื้อนฐานของหุ้นมันต่ำมากถ้าการเมืองคลี่คลายก็คงจะดีขึ้น แต่ว่าเราก็ต้องดูเพื่อนบ้านด้วยอย่าง อเมริกา และญี่ปุ่น

 

สิ้นสุดการสัมภาษณ์กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึก

 

 

 

 

การสัมภาษณ์ คุณ ศิริภัสสร กิตติ์พิชานันท์ (supervisor : บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง) เกี่ยวกับการเป็น Broker และการทำงาน

 

นักศึกษา:  สวัสดีครับ พี่ชื่ออะไรครับ

ศิริภัสสร:  พี่ชื่อ ศิริภัสสร  กิตติ์พิชานันท์

นักศึกษา:  พี่ทำงานเกี่ยวกับอะไรครับ

ศิริภัสสร:  พี่เป็น supervisor งานของพี่เกี่ยวกับหุ้นซื้อขายหุ้นและตราสารอนุพันธ์

นักศึกษา:  พี่มีกลยุทธ์ยังไงในการหาผู้ลงทุนครับ

ศิริภัสสร:  เดี๋ยวนี้หายากนะก็ต้องอาศัยลูกค้าเก่าแล้วแนะนำต่อๆกันมา

นักศึกษา:  แล้วพี่มีการให้คำแนะนำกับลูกค้ายังไงบ้าง

ศิริภัสสร:  ตอนนี้หุ้นมันเล่นยากนะก็แล้วแต่ลูกค้าว่าเค้าต้องการแบบไหน ลงทุนระยะยาว เงินปันผล หรือเก็ง                                                                                    กำไรระยะสั้น

นักศึกษา:  แล้วที่ผ่านๆมาพี่มีเทคนิคอย่างไรที่แนะนำให้กับผู้ลงทุน

ศิริภัสสร:  ถ้าถึงแนวต้านก็แนะนำให้ขาย

นักศึกษา:  ในตอนนี้หุ้นตัวไหนน่าสนใจที่สุดครับ

ศิริภัสสร:  ก็ต้องดูว่าต้องการลงทุนแบบไหน

นักศึกษา:  แล้วถ้าต้องการลงทุนแบบเพื่อผลกำไร

ศิริภัสสร:  ตอนนี้ยังไม่น่าลงทุน ถ้าเล่นควรเล่นระยะสั้นมากกว่า ซื้อมา 2-3 วันแล้วค่อยขาย

นักศึกษา:  แล้วถ้าต้องการลงแบบต้องการเงินปันผล

ศิริภัสสร:  ก็ให้ลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มแบงค์ ในตอนนี้กลุ่มแบงค์ก็ยังผันผวนอยู่ถึงแนวต้านก็ให้ขายก่อน

นักศึกษา:  ช่วงนี้ถ้าเป็นหุ้นรายวันหรือกองทุนรวม ลงทุนในไหนได้กำไรดีกว่ากันครับ

ศิริภัสสร: ของพี่ตอนนี้ยังไม่มีกองทุนรวมนะ มีแต่หุ้นรายวัน

นักศึกษา:  หุ้นที่น่าสนใจตอนนี้ก็ยังเป็นหลุ่มแบงค์อยู่ใช่ไหมครับ

ศิริภัสสร:  แบงค์ตอนนี้ก็น่าสนใจทุกตัวนะ ถ้าเกิดผ่านแนวต้านก็ขายแต่แนะนำให้เล่นสั้นมากกว่า

นักศึกษา:  แล้วถ้าเกิดลูกค้าสนใจที่จะลงทุนในหุ้นต่างประเทศต้องทำอย่างไรบ้างครับ

ศิริภัสสร:  หุ้นต่างประเทศของพี่ยังไม่มีนะตอนนี้

นักศึกษา:  พี่ทำงานมากี่ปีแล้วครับ

ศิริภัสสร:  ถ้าสายนี้ก็ประมาณ 6 ปีแล้ว ถ้าmarketing ก็ประมาณ 2 ปี

นักศึกษา:  ลูกค้าที่พี่ให้บริการอยู่มีทั้งหมดกี่รายครับ

ศิริภัสสร:  ก็ 40 กว่าราย

นักศึกษา:  แล้วลูกค้าของพี่มีการซื้อขายทุกวันไหมครับ

ศิริภัสสร:  ก็ทุกวันนะ มีประมาณวันละ 2-3 รายก็ไม่อยากให้เขาพักหุ้น อยากให้เขาเล่นจะได้มีเงินบ้าง

นักศึกษา:  พี่ทำยังไงถึงได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้ครับ

ศิริภัสสร:  ก็ต้องสอบ single license แล้วมาสอบของ TFEX

นักศึกษา:  แล้วพี่สอบกี่ครั้งครับ ถึงจะผ่าน

ศิริภัสสร:  ของพี่สอบ 2 ครั้ง ก็แล้วแต่นะบางครนก็สอบแค่ครั้งเดี่ยว

นักศึกษา:  แล้วข้อมูลในการสอบนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ

ศิริภัสสร:  ใช่ มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

นักศึกษา:  แล้วเวลาไปสอบ single license ทำอย่างไรบ้างครับ

ศิริภัสสร:  เค้าจะมีตารางมาให้ ลองไป search ดูในเว็ปไซต์ก็ได้ ตอนพี่สมัครเสียครั้งละ 700 บาท แล้วมีใครไป สอบมาบ้างไหม

นักศึกษา:  ไม่มีครับ

ศิริภัสสร:  น้องเรียนอะไรมาหรอ

นักศึกษา:  เรียนการเงินการธนาคารครับ

ศิริภัสสร:  น้องคิดว่าจะมาทำงานแบบนี้ไหม

นักศึกษา:  ก็อยากทำครับ ถ้ามีโอกาส

ศิริภัสสร:  แล้วได้มีการเล่นหุ้นจำลองกันบ้างไหม

นักศึกษา:  ก็เล่นของ click 2 win อยู่ครับ

ศิริภัสสร:  เป็นอย่างไรบ้างแล้วได้กำไรบ้างไหม

นักศึกษา:  ตอนนี้จับตัวไหนก็แดงทุกตัวเลยครับ

ศิริภัสสร:  แล้วน้องเล่นหุ้นอะไรกันบ้าง

นักศึกษา:  ก็เล่นหุ้น กลุ่มพลังงาน กลุ่มแบงค์ส่วนใหญ่จะเล่นหุ้นตัวใหญ่ๆครับ

นักศึกษา:  พี่คิดว่า AIG มีผลกระทบไหม

ศิริภัสสร:  เค้าบอกว่าตอนนี้บริษัทแม่ได้ส่งเงินมาให้ 40,000 ล้าน เพื่อที่จะมาสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าแต่เห็นว่าทิ่สิงคโปร์ไปถอนกรมธรรณ์ 20 รายต่อวัน แต่คิดว่าไม่น่ามีผลกระทบกับประเทศไทย

นักศึกษา:  ปัญหาของบริษัทแม่จะส่งผลต่อบริษัทลูกไหมครับ

ศิริภัสสร:  ก็ไม่มีผลกระทบนะเพราะประเทศไทยไม่ค่อยได้ไปลงทุนใน AIG

นักศึกษา:  พี่คิดว่าเศษฐกิจการเมืองตอนนี้มีผลต่อตลาดหุ้นไหมครับ

ศิริภัสสร:  ตอนนี้ปัจจัยพื้อนฐานของหุ้นมันต่ำมากถ้าการเมืองคลี่คลายก็คงจะดีขึ้น แต่ว่าเราก็ต้องดูเพื่อนบ้านด้วยอย่าง อเมริกา และญี่ปุ่น

 

สิ้นสุดการสัมภาษณ์กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึก

 

 

 

 

ความคิดเห็นที่ 1 คือ

กลุ่ม 4 (2s) นะค่ะ ไม่ช่ายกลุ่ม 1

พอดีเพื่อนพิมผิด

ขอนคุณค่ะ

บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด ในรูปแบบใหม่ เปลี่ยนเป็น

บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สาขาลาดพร้าว

ที่อยู่ : 1693 อาคารเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ชั้น 7 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. 10900

 

 

บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด ในรูปแบบใหม่ เปลี่ยนเป็น บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สาขาลาดพร้าว

ที่อยู่ : 1693 อาคารเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ชั้น 7 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. 10900

ได้มีการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่การตลาด คือ คุณพุฒิพัฒน์ มิลินธราพงศ์ (พี่บอล)

Q : ประสบการณ์ในการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด

A : ทำงานมาแล้วเกือบ 2 ปี

Q : การทำงานในด้านนี้ ต้องมีความรู้พื้นฐานอย่างไร

A : ต้องมีความสนใจและติดตามข่าวสารบ้านเมือง เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

Q : ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาติดต่อจะปรึกษาในด้านใดบ้าง

A : ส่วนมากจะปรึกษาในเรื่องของหุ้น ตราสารหนี้ และอื่น ๆ

Q : ถ้าจะเข้ามาทำงานในฝ่ายนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง

A : ต้องสอบใบอนุญาตด้านหลักทรัพย์

Q : ผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ในส่วนของเจ้าหน้าที่การตลาด คิดว่าเป็นอย่างไร

A : ได้ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง มีความรอบรู้ทางด้านข่าวสารการเงิน

Q : การแนะนำในเรื่องของการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่ มีวิธีการแนะนำอย่างไร

A : สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรดูหุ้นที่มีเงินปันผลสูง มีพื้นฐานดีในด้านผลประกอบการในไตรมาสต่อไป หรือปีต่อไปที่มีแนวโน้มว่าจะดี

Q : ถ้าเป็นลูกค้าเดิมของบริษัท จะให้คำแนะนำอย่างไร

A : ติดตามข่าวสารเป็นประจำ ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของหุ้น ในช่วงนี้ว่าหุ้นตัวใดมีแนวโน้มขึ้นหรือลง เช่น ช่วงนี้ข่าวหวยออนไลน์กำลังมาแรง นักลงทุนจึงหันมาสนใจในหุ้น Loxley และในช่วงนี้หุ้นพลังงานอยู่ในช่วงขาลง จึงควรชะลอหุ้นพลังงาน

Q : ได้อะไรจากการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด

A : ได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก การทำงานไม่น่าเบื่อ ไม่เหมือนงานอื่น ๆ ที่มีการทำงานจำเจ มีการติดตามข่าวสารทุกวัน มีข่าวสารใหม่ ๆ มาตลอด

Q : ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน มีอะไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขอย่างไร

A : มีปัญหาในเรื่องการคีย์ Order และส่งคำสั่งผิด ลูกค้าที่มาซื้อหุ้นไม่ชำระเงิน และมีวิธีแก้ไข คือ หากมีการส่งคำสั่งผิด ก็จะทำการ Cancel แล้วทำการส่งคำสั่งซื้อใหม่ให้ถูกต้อง

Q : อยากให้แนะนำว่า ถ้าจะมาทำงานในด้านนี้ ควรเตรียมพร้อมอย่างไร

A : อันดับแรกต้องมีใจรักในการทำงานด้านนี้ สนใจที่จะติดตามข่าวสารตลอดเวลา และที่สำคัญคือเมื่อได้มาทำงานในด้านนี้แล้ว ควรตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ก็จะทำให้สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้

จากการที่สมาชิกกลุ่มได้ไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สาขาลาดพร้าว ทำให้ทางกลุ่มได้รับข้อมูลความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น ได้รับรู้ถึงการทำงานในส่วนนี้ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมกับวิธีการที่จะนำมาแก้ไข จึงเป็นสิ่งที่ดีที่จะนำประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้ ไปประยุกต์ใช้ทั้งในห้องเรียนและในชีวิตประจำวัน

บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด ในรูปแบบใหม่ เปลี่ยนเป็น บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สาขาลาดพร้าว

ที่อยู่ : 1693 อาคารเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ชั้น 7 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. 10900

ได้มีการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่การตลาด คือ คุณพุฒิพัฒน์ มิลินธราพงศ์ (พี่บอล)

Q : ประสบการณ์ในการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด

A : ทำงานมาแล้วเกือบ 2 ปี

Q : การทำงานในด้านนี้ ต้องมีความรู้พื้นฐานอย่างไร

A : ต้องมีความสนใจและติดตามข่าวสารบ้านเมือง เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

Q : ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาติดต่อจะปรึกษาในด้านใดบ้าง

A : ส่วนมากจะปรึกษาในเรื่องของหุ้น ตราสารหนี้ และอื่น ๆ

Q : ถ้าจะเข้ามาทำงานในฝ่ายนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง

A : ต้องสอบใบอนุญาตด้านหลักทรัพย์

Q : ผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ในส่วนของเจ้าหน้าที่การตลาด คิดว่าเป็นอย่างไร

A : ได้ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง มีความรอบรู้ทางด้านข่าวสารการเงิน

Q : การแนะนำในเรื่องของการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่ มีวิธีการแนะนำอย่างไร

A : สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรดูหุ้นที่มีเงินปันผลสูง มีพื้นฐานดีในด้านผลประกอบการในไตรมาสต่อไป หรือปีต่อไปที่มีแนวโน้มว่าจะดี

Q : ถ้าเป็นลูกค้าเดิมของบริษัท จะให้คำแนะนำอย่างไร

A : ติดตามข่าวสารเป็นประจำ ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของหุ้น ในช่วงนี้ว่าหุ้นตัวใดมีแนวโน้มขึ้นหรือลง เช่น ช่วงนี้ข่าวหวยออนไลน์กำลังมาแรง นักลงทุนจึงหันมาสนใจในหุ้น Loxley และในช่วงนี้หุ้นพลังงานอยู่ในช่วงขาลง จึงควรชะลอหุ้นพลังงาน

Q : ได้อะไรจากการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด

A : ได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก การทำงานไม่น่าเบื่อ ไม่เหมือนงานอื่น ๆ ที่มีการทำงานจำเจ มีการติดตามข่าวสารทุกวัน มีข่าวสารใหม่ ๆ มาตลอด

Q : ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน มีอะไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขอย่างไร

A : มีปัญหาในเรื่องการคีย์ Order และส่งคำสั่งผิด ลูกค้าที่มาซื้อหุ้นไม่ชำระเงิน และมีวิธีแก้ไข คือ หากมีการส่งคำสั่งผิด ก็จะทำการ Cancel แล้วทำการส่งคำสั่งซื้อใหม่ให้ถูกต้อง

Q : อยากให้แนะนำว่า ถ้าจะมาทำงานในด้านนี้ ควรเตรียมพร้อมอย่างไร

A : อันดับแรกต้องมีใจรักในการทำงานด้านนี้ สนใจที่จะติดตามข่าวสารตลอดเวลา และที่สำคัญคือเมื่อได้มาทำงานในด้านนี้แล้ว ควรตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ก็จะทำให้สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้

จากการที่สมาชิกกลุ่มได้ไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สาขาลาดพร้าว ทำให้ทางกลุ่มได้รับข้อมูลความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น ได้รับรู้ถึงการทำงานในส่วนนี้ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมกับวิธีการที่จะนำมาแก้ไข จึงเป็นสิ่งที่ดีที่จะนำประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้ ไปประยุกต์ใช้ทั้งในห้องเรียนและในชีวิตประจำวัน

บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด (มหาชน) สาขาปิ่นเกล้า

ผู้ให้สัมภาษณ์   คุณฤทธิ์รงค์   ดลเฉลิมพรรค  เจ้าหน้าที่การตลาด 

                     คุณเพ็ญจันทร์  เกตุวงศ์วิริยะ  ผู้ช่วยผู้จัดการ

ถาม : วิธีการดำเนินงานของโบรคเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ เป็นอย่างไรบ้าง

ตอบ : โบรคเกอร์จะคอยให้คำปรึกษาและข้อมูลต่างๆ กับผู้ที่เข้ามาลงทุนซื้อหุ้น

ถาม : เพราะเหตุใดลูกค้าจึงเลือกที่จะเข้ามาเปิดพอร์ตกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ในสาขานี้

ตอบ : เป็นเพราะทำเลที่ตั้งของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ของสาขานี้ อยู่ใกล้และเป็นย่านธุรกิจ

ถาม : บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร ที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าจะลงทุนที่นี่

ตอบ : ค่อนข้างมาก เนื่องจากจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ก็เป็นบริษัทนึงที่ผ่านช่วงวิกฤตินั้นมาได้ ทำให้ให้บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติดูมั่งคงขึ้นในสายตาประชาชน และบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติมีหลากหลายธุรกิจอยู่ในบริษัทเดียว จึงช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี รวมถึงการมีบุคลากรที่มีคุณภาพ

ถาม : การเข้ามาเป็นโบรคเกอร์ มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ตอบ : ก็จะมีการสอบลายเซ็น ความรู้ทางด้านตลาดทุน

การที่จะเป็นนักการตลาดที่ดี ประมาณนี้

ถาม : ช่วยแนะนำหุ้นกลุ่มใดที่เหมาะสมกับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเล่น

ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับตัวลูกค้าเองว่าชอบแบบไหน เพราะบางคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน เมื่อรู้ว่าตัวเองชอบแบบไหนแล้วโบรคกอร์ก็จะช่วยแนะนำต่อไปได้

ถาม : ช่วยแนะนำการเล่นหุ้นที่ทำให้ได้กำไรมากๆ

ตอบ : เวลาที่เราจะเล่นหุ้น เราต้องดูเวลาซื้อ เวลาขาย ซึ่งเวลาในการซื้อขายหุ้นมีความสำคัญมากกว่าตัวของหุ้นเองด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อตัวไหนก็ได้ก็ต้องมีการศึกษาหุ้นตัวที่จะเล่นเสียก่อน

ถาม : คู่แข่งที่สำคัญของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ คือบริษัทใด

ตอบ : กิมเฮง เป็นบริษัทโบรคเกอร์ขนาดใหญ่ รองมาก็เป็นบริษัทเอเชียพลัส

ถาม : อุปสรรคในการดำเนินงานของโบรคเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ สาขาปิ่นเกล้า คืออะไรบ้าง

ตอบ : 1.  คู่แข่งทั้งภายในและภายนอก

        2.  ถ้าเป็นคู่แข่งภายในก็จะเป็นโบรเกอร์ด้วยกัน คือจะมีการแข่งขันกันทางด้านค่าคองมิชชั่น เป็นต้น

ถาม : ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย ณ ตอนนี้ มีผลต่อการขึ้น ลงของหุ้นบ้างหรือไม่

 

ตอบ : มีผลโดยตรง  เพราะหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้น ขั้นอยู่กับปัจจัยภายนอกและตลาดต่างประเทศ คือ  หุ้นในประเทศไทยจะมีการอิงหุ้น Hangseng ของประเทศจีน ตัวหุ้นของแต่ละประเทศจะมีการอิงต่อๆ กันเป็นทอดๆ

 

ถาม : ลูกค้าที่นี่งอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ส่วนมากเค้าเล่นหุ้นอะไรกันบ้าง

 

ตอบ : ส่วนมากลูกค้าที่มานั่งมักจะเล่นหุ้นปั่น คือ เป็นหุ้นเล็กๆ ที่มีราคา หุ้นละ ไม่ถึง 1 บาท เช่น หุ้นละ 0.28 บาท  เหตุที่เค้าเล่นหุ้นแบบนี้เพราะพวกเค้าคิดว่าหุ้นมีราคาน้อยซื้อได้หลายหุ้น และมีความเสี่ยงน้อยกว่า

 

กลุ่มที่ 4 (เอกการเงิน - การธนาคาร)

 

กริตเตอร์ 1

                               

 

 

                                  สัมภาษณ์บริษัท Broker


                    บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จํากัด 

 

ภาพบรรยากาศการสัมภาษณ์


สัมภาษณ์โบรกเกอร์1กริตเตอร์รูปดอกไม้

 

สัมภาษณ์โบรกเกอร์2กริตเตอร์รูปดอกไม้

 

สัมภาษณ์โบรกเกอร์3

กริตเตอร์รูปดอกไม้

 

 

 

ผู้ให้สัมภาษณ์

ชื่อ :  คุณศิริพร    รอดเจริญ 

ตำแหน่ง : เจ้าหน้าที่ฝ่าย Marketing  

บริษัท : หลักทรัพย์จัดการกองทุน  ทิสโก้  จำกัด

 

บทสัมภาษณ์

  •       คำถาม : พี่ทำงานที่ TISCO มากี่ปีค่ะ !

             คำตอบ : 3 ปี

  •       คำถาม : จบตรงสาขามั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ไม่ตรงค่ะ ! พี่จบสาขาวารสารศาสตร์  คณะมนุษย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต แต่ตอนนี้ กำลังเรียนโทอยู่ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาการเงิน

  •       คำถาม :  ปัจจุบันทำหน้าที่เกี่ยวกับด้าน Broker หรือไม่ค่ะ !

             คำตอบ : ไม่ค่ะ !  พี่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่าย Marketing

  •       คำถาม : ถ้าจะทำงานด้านนี้ ต้องสอบเข้ามั้ยค่ะ ! 

             คำตอบ : สอบค่ะ ! ต้องสอบ Single  Licence

  •       คำถาม : ยากมั้ยค่ะ ! 

             คำตอบ :  ยากค่ะ !  เพราะพี่ไม่ได้เรียนด้านการเงินมาโดยตรง จะมีหนังสือให้อ่านที่ตลาดหลักทรัพย์ ห้องสมุดมารวย เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน

  •       คำถาม : งานที่พี่ทำเกี่ยวกับอะไรบ้างค่ะ !

             คำตอบ : ให้คำแนะนำและปรึกษาลูกค้าในการซื้อขายหุ้น

  •       คำถาม :  การทำงานยากมั้ยค่ะ !

             คำตอบ :  ก็ยากค่ะ !  เพราะว่าไม่รู้ว่าหุ้นแต่ละวันจะขึ้นหรือลงอย่างไร   เราต้องอาศัยข้อมูล  แต่ในบางครั้งก็ไม่ได้เป็นไปตามข้อมูลที่มีอยู่

  •       คำถาม : ถ้าสนใจที่จะทำงานในด้านนี้ จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างค่ะ !

             คำตอบ : ต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายหุ้น  และการวิเคราะห์เป็นบ้าง

  •       คำถาม อาชีพที่พี่ทำดีมั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะว่าต่อไปจะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ทำให้มีผลกระทบด้านรายได้ เพราะรายได้ส่วนใหญ่  คือ การแนะนำให้ลูกค้าซื้อหุ้น   เราจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขาย  และถ้าเปิดเสรีแล้ว จะลดค่าคอมมิชชั่น และลดลงไปเรื่อยๆ จน Broker รายได้น้อยลง  และคนที่จะทำงานนี้ต่อไปได้ จะต้องทำยอดให้กับเท่ากับเงินเดือน  และถ้ายอดไม่ถึง  เราต้องพิจารณาตัวเอง  ซึ่งไม่เหมือนกับแผนกอื่นๆ ที่ทำงานได้เงินเดือนเป็นเดือนๆ

  •       คำถาม มีความกดดันในการทำงานมั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ถ้ามีลูกค้ารายใหญ่ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่มีก็อันตราย

  •       คำถาม : บริษัทนี้ มีกี่แผนกค่ะ !

             คำตอบ : ที่นี่จะมี 2 แบบ  คือ  1. Front จะเป็นแผนกรับลูกค้า  และ 2. Back จะเป็นแผนก แคชเชียร์ ทำเอกสารต่างๆ ดูรายการซื้อขายของลูกค้า

  •       คำถาม : ในแต่ละเดือน ลูกค้าที่เข้ามาขอคำแนะนำ เยอะมั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ลูกค้า Walk in ไม่เยอะ เราต้องออกไปตามงานออก Booth  ที่ตลาดหลักทรัพย์ หรือว่ามีอะไรเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ก็จะไปออก Booth 

  •       คำถาม : ที่นี่มีกลยุทธ์อะไรบ้างค่ะ !

             คำตอบ : จะมีโปรโมชั่น ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดบัญชี   และรับเอกสารครบ ก็จะให้กระเป๋า เป็นของขวัญ

  •       คำถาม : การเปิดบัญชีซื้อขาย ต้องมีวงเงินเท่าไหร่ค่ะ !

             คำตอบ : ที่นี่จะโหดกว่าที่อื่น  ถ้าเป็นบัญชีอินเตอร์เน็ต วงเงินขั้นต่ำอนุมัติขั้นต้น 3 แสนบาท แต่ถ้าเป็นบัญชี Marketing อนุมัติเริ่มต้น  5 แสนบาท แต่ถ้าลูกค้าคนไหนสะดวกโชว์ Statement ก็จะให้ลูกค้า ใช้วิธีชำระแบบฝากเงิน คือ การโอนเข้ามาก่อน แล้วค่อยซื้อหุ้น โอนมาเท่าไหร่ ได้ซื้อเท่านั้น

  •       คำถาม : จะต้องลงทุนให้หมดทั้ง 3 แสนบาท หรือไม่ค่ะ !

             คำตอบ : ถ้าเป็นวงเงิน Credit Line   บริษัทจะ Require Statement ลูกค้า  อย่างน้อยลูกค้าต้องแสดงเงินให้ Clover กับเงินขั้นต่ำ เมื่อบริษัทได้รับเงินจากลูกค้า จำนวน 3 แสนบาทแล้ว ลูกค้าจะซื้อเท่าไรก็ได้ ไม่มีปัญหา และเมื่อลูกค้าจะซื้อหุ้น เราจะให้เครดิต คือ ให้ลูกค้าซื้อหุ้นได้ก่อน แล้วอีก 3 วัน จะตัดเงินในบัญชี

  •       คำถาม : ทำไม TISCO ต้อง Require Statement สูง ค่ะ !

             คำตอบ : เพราะว่า บริษัทต้องการลูกค้าที่มีเครดิตดี เพราะเราจะมีความเสี่ยง ในกรณีที่ลูกค้าไม่ชำระค่าซื้อ

  •       คำถาม : พี่คิดว่าตอนนี้ หุ้นตัวไหน น่าลงทุนบ้างค่ะ !

             คำตอบ : หุ้นที่น่าลงทุน คือ  หุ้นเกี่ยวกับโครงการไทยเข้มแข็ง  ซึ่งถ้าเม็ดเงินนี้ไหลออกมา แล้วกลุ่มไหนจะเป็นผู้ได้ประโยชน์  เราต้องพิจารณาดูที่กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล   เพราะรัฐบาลจะมีโครงการ Megaproject เช่น โครงการทำถนน แล้วเราก็ดูว่าหุ้นของบริษัทไหนที่ทำเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง   อาทิเช่น  ธุรกิจเกี่ยวกับยางมะตอย , ก่อสร้าง และหุ้นของกลุ่มธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่น่าลงทุนตอนนี้ ก็จะมี TUSCO, ITD, CK  เป็นต้น

  •       คำถาม แล้วอย่างหุ้น  SCG ได้มั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ก็ได้ค่ะ !  แต่ตอนนี้ ปูนใหญ่ หุ้นขึ้นมาเยอะ ควรจะดูที่ปูนกลาง เช่น  หุ้น SCC

  •       คำถาม :  จะมีผลถึงอนาคตมั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ช่วงนี้ควรลงทุน   เพราะถ้ามีข่าวออกมาแน่ๆ ว่าจะขึ้น คือ เม็ดเงินยังไม่ไหลเข้าสู่ระบบ  หุ้นจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องขึ้น เพราะฉะนั้น ใครที่จะรอให้เงินไหลเข้ามาก่อน แล้วค่อยซื้อหุ้น  ก็จะไม่ทันแล้ว   เพราะช่วงนั้นจะเป็นจุดที่สูงที่สุด

  •       คำถาม : คนที่จะมาเล่นหุ้น จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างค่ะ !

             คำตอบ : ในกรณีคนที่เล่นเป็น ก็จะให้เขาเลือก Broker ก่อนว่า เค้าชอบบทวิเคราะห์ Broker ไหน  แม่นยำหรือไม่  และให้ลูกค้าศึกษาแต่ละ Broker ก่อนการเปิดบัญชี

  •       คำถาม : Broker ไหน ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดค่ะ !

             คำตอบ : บริษัท KIMENG  ได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด

  •       คำถาม :  ถ้าอยากจะทำงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้น ควรเรียนด้านไหนเป็นพิเศษ ค่ะ !

             คำตอบ : ด้านไหนก็ได้ค่ะ !  แต่อย่างน้อยควรมีพื้นฐานเกี่ยวกับด้านการเงิน และควรรู้เกี่ยวกับการลงทุน  การซื้อขายหุ้น แต่ถ้าไม่รู้อะไรเลย จะเหนื่อยนิดนึง  แต่เมื่อเข้ามาทำงานแล้ว ก็จะมีพี่ๆ ช่วยสอนให้

  •       คำถาม : พี่ทำงานเครียดมั้ยค่ะ !

             คำตอบ : ไม่เครียดกับ Volume นะค่ะ !  แต่เครียดกับลูกค้า เพราะลูกค้ามีหลายประเภท  เช่น  เวลาขายไป พอหุ้นขึ้นต่อไปอีก ก็บ่น บางคนพอซื้อไปแล้ว คิดว่าหุ้นถูก แล้วหุ้นก็ตกลงไปอีก ก็บ่น  อารมณ์ของลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน

  •       คำถาม : พี่หาข้อมูลในการวิเคราะห์จากไหนค่ะ !

             คำตอบ : จากข่าวเศรษฐกิจ ข่าวหุ้น  อ่านทุกวัน และดูตลาดหุ้น DOWN JONE เพราะเป็น INDICATOR  ในตลาดหุ้นของเราว่าจะเปิดตลาดเป็นบวกหรือลบ  แม้ว่าตลาดหุ้น DOWN JONE  จะติดลบไม่เยอะ เราก็ควรติดลบเล็กน้อย  และระหว่างเขตเราก็จะมี MONITOR INDEX  ต่างประเทศแถวแทบเอเชีย  มันควรจะเป็นลักษณะเดียวกันกับประเทศอื่นๆ  นอกจากว่าเราจะมีปัจจัยเด่นๆ ในประเทศเรื่องการเมือง   ถ้าประเทศอื่นๆ ตลาดหุ้นลงกัน  แต่ทำไมตลาดหุ้นของเราขึ้น   เราต้องหาเหตุผลมาว่าเพราะอะไร  ลูกค้าจะถามว่าทำไมตลาดหุ้นของเราขึ้น  แล้วทำไมตลาดหุ้นของประเทศอื่นลง   คือความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นต้องคล้ายๆกันกับตลาดหุ้นของต่างประเทศด้วย

 

กริตเตอร์ 3กริตเตอร์ 3กริตเตอร์ 2กริตเตอร์ 2กริตเตอร์ 2กริตเตอร์ 3กริตเตอร์ 3

น.ส. อัญชลี อำพันพงษ์ รหัส 49473120089 เอกการเงิน - การธนาคาร

 

 

กริตเตอร์ 5 กริตเตอร์ 4

                                          

                                             บทวิเคราะห์หุ้น  BANPU


กราฟ 2

BANPU  PUBLIC  COMPANY  LIMITED


กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค

 

ลักษณะการดำเนินธุรกิจ 

          ประกอบกิจการหลัก    คือ  การทำเหมืองถ่านหิน   เพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง  ลักษณะการดำเนินงานเป็นการสำรวจหา   และพัฒนาเอาถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมซีเมนต์    และผลิตไฟฟ้า  โดยมีเหมืองถ่านหินในประเทศไทย  อินโดนีเซีย   และไทย

 

บทวิเคราะห์หุ้น  BANPU

  • เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)
  • เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น  เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Marget)
  • การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS 

             ในกราฟเกิด Divergence แบบ  Bearish  Divergence  คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่   แต่ STOCHASTICS    ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่   ถือเป็นสัญญาณขาย

  • สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS  เข้าเขต  OVERSOLD  ที่บริเวณระดับต่ำกว่า  20 %  และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อ  จากการที่เส้น  %K  ตัดเส้น  %D ขึ้น
  • สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS  เข้าเขต  OVERBOUGHT  ที่บริเวณระดับสูงกว่า  80 %  และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขาย  จากการที่เส้น  %K  ตัดเส้น  %D ลง
  • RSI : ดัชนีกำลังสัมพัทธ์  วิเคราะห์สัญญาณซื้อขาย

             1.สัญญาณการขายจะมีอยู่  3 ช่วง

                1.1เมื่อเส้น  RSI อยู่เหนือเส้น  70  ที่ยอดสูง

                1.2เมื่อเส้น  RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

                1.3เมื่อเส้น  RSI ทะลุเส้นหนุน

 

              2.สัญญาณการซื้อจะมีอยู่  3 ช่วง

                2.1เมื่อเส้น  RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น  30   ที่จุดฐาน

                2.2เมื่อเส้น  RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

                2.3เมื่อเส้น  RSI ทะลุเส้นต้าน

  • การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ  RSI 

ในกราฟเกิด Divergence แบบ  Negative  Divergence  เกิดในตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น  เมื่อเกิดลักษณะการเคลื่อนที่แยกทางกัน (Divergence)  โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาใหม่ขึ้นสูงกว่ายอดสูงของราคาเก่า   แต่ RSI ยอดใหม่  อยู่ต่ำกว่า  RSI ยอดเก่า  ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน  แล้วจะปรับตัวลงมาตาม  RSI

  • ในกราฟเกิด  Failure  Swing  ซึ่งเกิด  2  ลักษณะ  คือ

                1.Top  Failure  Swing  เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ  RSI  อยู่เหนือเส้น  70 และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเก่า 

                2.Bottom  Failure  Swing  เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ  RSI  อยู่ใต้เส้น  30 และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเก่า 

  • Volume  ปริมาณการซื้อขาย

                1. เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน  และปริมาณการซื้อขายปรับตัวสูงขึ้น  จะเป็นการสนับสนุนการขึ้นของราคา

                2.เมื่อราคาที่พุ่งสูงขึ้น   ต่อมามีการปรับตัวลดลง  หากปริมาณการซื้อขายปรับตัวลดลงด้วย  จะเป็นการแสดงถึงการลดลงชั่วคราวของราคา  ก่อนที่จะมีการปรับตัวสูงขึ้นของราคาอีกครั้งหนึ่ง

                3.เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน  แต่ปริมาณการซื้อขายกลับลดลง  จะเป็นการค้านการขึ้นของราคา

                4.เมื่อราคาที่ลดลง  ต่อมามีการปรับตัวขึ้น  แต่หากปริมาณการซื้อขายลดลง  จะเป็นการค้านการขึ้นราคาในขณะนั้น

                5.เมื่อราคาวิ่งขึ้นกลับไปถึงจุดสูงเก่า  แต่ Volume  ไม่มากเท่ากับ Volume ของจุดสูงเก่า  จะเป็นการค้านการขึ้นของราคา  และอาจนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาในช่วงต่อไป

 

           อนาคตหุ้นตัวนี้มีแนวโน้มลดลง   เพราะ  RSI ตัดเส้น  OVERBOUGHT  ที่บริเวณระดับ  70 %  ลงมา  และมี  Top  Failure  Swing  ยืนยัน  ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้   เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลง

 

 

                 น.ส. อัญชลี  อำพันพงษ์  รหัส 49473120089  เอกการเงิน - การธนาคาร

 

กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6กริตเตอร์ 6

กริตเตอร์ 5

กริตเตอร์ 5

กลุ่ม 1 การเงิน การธนาคาร (49)

การสัมภาษณ์ คุณ ศิริภัสสร กิตติ์พิชานันท์ supervisor บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า

Q : พี่สำเร็จการศึกษาจากที่ไหน ระดับอะไรค่ะ

A : ปริญาตรี สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ

Q : ก่อนที่พี่จะมาทำงานด้านนี้พี่เคยทำงานอะไรมาก่อนค่ะ

A : - เป็นผู้จัดการร้านมือถือ

     - เป็น Bangk offices 5 ปี

Q : ตอนนี้พี่ดำรงตำแหน่งอะไรค่ะ

 A : Supervisor

Q : การที่เราจะเข้ามาทำงานด้านนี้เราต้องมีความรู้ด้านไหนบ้างค่ะ

A : ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อที่จะได้เป็นพื้นฐานที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน

Q : พี่มีประสบการในการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดกี่ปีค่ะ

A : 2 ปี

Q : ในส่วนที่พี่ทำงานมีความยากมากน้อยแค่ไหนค่ะ

A : ยากมากเพราะต้องคอยติดตามข่าวสารต่างๆตลอดเวลา ทั้งข่าวเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งข่าวการเมืองเพราะว่าจะมีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น

 Q : ทำไมพี่ถึงเลือกทำงานด้านนี้ค่ะ

 A : เพราะพี่เคยเป็น Bangk offices

 Q : ถ้าจะมาทำงานด้านนี้จะต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ

 A : ก็ต้องสอบ single license แล้วมาสอบของ TFEX

 Q : การทำงานในด้านนี้ ต้องมีความรู้พื้นฐานอะไรบ้างค่ะ

 A : ก็ต้องมีความสนใจและติดตามข่าวสารบ้านเมือง เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 Q : พี่มีวิธีการแนะนำในการลงทุนสำหรับนักลงทุนอย่างไรค่ะ

 A : ซื้อขายตามภาวะตลาดและดูนักลงทุนว่าชอบลงทุนในระยะสั้น ปานกลางหรือยาว 

 Q : ในสภาวะเศรษฐกิจการเมืองปัจจุบัน มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไรค่ะ

 A : จากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่มั่นคงในปัจจุบันก็จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขาย

 Q : พี่คิดว่าในปัจจุบันหุ้นไหนน่าลงทุนมากที่สุดค่ะ

 A : หุ้นกลุ่มพลังงาน

 Q : พี่มีวิธีการแนะนำในการลงทุนสำหรับนักลงทุนอย่างไรค่ะ

 A : ซื้อขายตามภาวะตลาดและดูนักลงทุนว่าชอบลงทุนในระยะสั้น ปานกลางหรือยาว  

 Q : ปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นในแต่ละวันมีมากน้อยแค่ไหนค่ะ

 A : มีมากและน้อยแตกต่างกัน แต่วันที่ 8 กันยายน มีมากที่สุดถือเป็นจุดสูงสุด

 Q : ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นต่างประเทศมีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ

 A : ไม่แตกต่างมากนัก ตลาดหุ้นไทยจะอิงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นไปตามตลาดหุ้นต่างประเทศ

 Q : พี่มีความรู้สึกอย่างไรกับการทำงานในตำแหน่งนี้ค่ะ

 A : รู้สึกดีค่ะที่ได้ทำงานนี้เพราะทำให้เราต้องมีการหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

 Q : ถ้าจะมาทำงานในด้านนี้ ควรจะเตรียมความพร้อมอย่างไรค่ะ

 A : ก็คือต้องมีใจรักในการทำงานด้านนี้ แล้วก็สนใจที่จะติดตามข่าวสารต่างๆอยู่ตลอดเวลา

นางสาวหทัยภัทร อินทร์ปัญญา รหัส 49473120059 เอกการเงินการธนาคาร ปี4

บทวิเคราะห์หุ้น

SAIM CITY BANK PUBLIC COMPANY LIMITED (SCIB)

ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)

กราฟหุ้นSCIB

กลุ่มอุตสาหกรรม  ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ          ธนาคาร

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น SCIB มีดังนี้

1. MOVING AVERAGES (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. STOCHASTICS ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

ฉะนั้นเราจะใช้เครื่องมือทั้ง 4 ตัวนี้ทำการวิเคราะห์หุ้น SCIB

บทวิเคราะห์หุ้น  SCIB

จากกราฟหุ้นจะเห็นว่าเกิดลักษณะของจุดตัดที่เรียกว่า Golden cross คือ สัญญาณซื้อ (Buy) เกิดขึ้นเมื่อ เส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป ซึ่งแสดงถึงตลาด (Bull)

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 27/04 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (Buy)

จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น Overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ Oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) และภาวะการซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) คือ ราคา New High STOCHASTICS ไม่ New High บอกสัญญาณขาย (Sell)

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

                - สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

                1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

                2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

                3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน 

                - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

                1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

                2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

                3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน

จากกราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI  คือPositive Divergence และ Negative Divergence จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วไม่มีการเกิด Failure Swing คือ Top Failure Swing และ Bottom Failure Swing

จากกราฟ Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น หากปริมาณการซื้อขายมาก Volume ก็จะเพิ่ม หากปริมาณการซื้อขายลดลง Volume ก็จะเพิ่ม Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, STOCHASTICS และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, STOCHASTICS และ RSI เอาราคามาคำนวณ

สรุปได้ว่าในอนาคตหุ้น SCIB เป็นรูปแบบ SIDEWAYS คือจะไปได้ทางใดทางหนึ่ง เพราะ RSI ไม่ตัดเส้น Overbought ที่บริเวณระดับ 70% และไม่ตัดเส้น Oversold ที่บริเวณระดับ 30% เพราะ RSI อยู่ระหว่างบริเวณระดับ Overbought 70% และ Oversold 30% ดังนั้นเราควรรอดูหุ้นอีกซักระยะหนึ่ง เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้อาจจะมีการปรับตัวของราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ค่ะ

 

นางสาวสุปราณี แสนทวีสุข รหัส 49473120014 เอกการเงินการธนาคาร ปี4

บทวิเคราะห์

 BANK OF AYUDHYA PUBLIC COMPANY LIMITED

 หมวดธุรกิจ ธนาคาร

กลุ่มอุตสาหกรรม การเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) Photobucket บทวิเคราะห์หุ้น BAY

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น BAY มี 4 Indicator คือ

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

บทวิเคราะห์หุ้น BAY

จากกราฟหุ้นของ BAY วิเคราะห์ได้ดังนี้ คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 • เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

• เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

• การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ Stochasticsในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ Stochasticsไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ ถือเป็นสัญญาณขาย

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 27/03 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (buy)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

 - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

 Divergence Stochastics

 จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

 1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

 2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน 3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

 - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

 2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

จากกราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ Positive Divergence และ Negative Divergence จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Bottom Failure Swingเกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเก่า

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, Stochastics และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, Stochastics และ RSI เอาราคามาคำนวณ

- หุ้นBAY ควรซื้อหรือไม่

สรุปได้ว่า อนาคตหุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง เพราะ RSI ตัดเส้น overbought ลงมา มีภาวะการณ์ซื้อมากเกินไป บอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70 % ลงมา ก็คือ หุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลงอีกค่ะ

 หมายเหตุ

วงกลมสีดำ Divergence Stochastics กับแผนภูมิราคา

วงกลมสีส้ม เป็นการบอก Buy เมื่อราคาตัด ma สั้นขึ้นไป

วงกลมสีเขียว คือ การตัดกันของ MA สั้น กับ MA ยาว ที่จุด “Golden Cross” บอกสัญญาณการซื้อ (buy)

วงกลมสีชมพู คือการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Bottom Failure Swingเกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเก่า

วงกลมสีแดง คือ Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume เพิ่มยืนยันการขึ้นของหุ้น

นายทักษ์ดนับ ธนหิรัญพัฒน์ 49473120029 เอกการเงินการธนาคาร

                         BANPU  PUBLIC  COMPANY  LIMITED

images by uppicweb.com

กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค

ประกอบกิจการหลัก

          คือ การทำเหมืองถ่านหินเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงลักษณะการดำเนินงานเป็นการสำรวจหาและพัฒนาเอาถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมซีเมนต์และผลิตไฟฟ้า โดยมีเหมืองถ่านหิน ในประเทศ ไทย อินโดนีเซีย และไทย

บทวิเคราะห์หุ้น BANPU

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น BANPU มี 4 Indicator ดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

1.1เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

1.2เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

          จากกราฟหุ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 10/04 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (buy)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

          จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

 - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

 Divergence Stochastics

          จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence ในช่วงระหว่าง10/04 กับ 01/06 เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

         จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

 - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ

- Negative Divergence

จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ

-Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 % และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเดิม

-Bottom Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเดิม

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

          Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

          สรุป อนาคตหุ้น BANPU มีแนวโน้มลดลง เพราะ RSI กำลังจะตัดเส้น oversold ลงมา มีภาวะการณ์ขายมากเกินไป บอกสัญญาณเตือน ว่าเส้นRSIกำลังจะตัดเส้น oversold ลงมา ก็คือ หุ้น BANPU มีลักษณะที่กำลังปรับราคาลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะต้องมีปรับตัวด้านราคาที่ลดลงอีกสรุปว่าหุ้น BANPU ยังไม่ควรที่จะลงทุนที่จะซื้อแต่ควรที่จะขายหุ้น BANPU แทนโดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ในการตัดสินใจ

น.ส.ดวงฤทัย แสงสุวรรณ์ รหัส49473120003

 

TRUE : บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

เด็ก

true

กลุ่มอุตสาหกรรม   :  เทคโนโลยี

หมวดธุรกิจ          :  เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ดอกไม้2

คำแนะนำในการลงทุน

        เนื่องจากประเด็นสำคัญตอนนี้อยู่ที่เรื่องพันธมิตรทางธุรกิจของ TRUE MOVE และความคืบหน้าของการประมูล 3G ที่มีโอกาสเปิดประมูลได้ภายในปลายปี 52 โดยมีการคาดการณ์ว่าพันธมิตรต่างชาติจะเข้ามาลงทุนด้วยและนอกจากนี้การได้เจรจากับพันธมิตรต่างชาติ 6 - 8 ราย น่าจะทำให้ได้ราคาขายหุ้นที่ดี ถ้าจะมองอีกแนวทางหนึ่งก็มีความเสี่ยงสูงและความไม่แน่นอนของการเพิ่มทุน แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่คาดหวังสูงเช่นกัน (High Risk High Return) ประกอบกับถ้าพันธมิตรต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วย   ก็จะทำให้ TRUE มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจึงแนะนำให้“ซื้อเก็งกำไร

สตอเบอรี่

ความคิดเห็นทางเทคนิค

คำแนะนำ: ซื้อ เป้าหมาย 3.5 บาท

Stop loss <  3 บาท

เหตุผล : TRUE มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้น สนับสนุนด้วย Volume ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ก่อนหน้านั้นเกิดสัญญาณบวกจากการที่ราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (MA สั้น) ขึ้นไป และอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้นานพอสมควร ถ้าจะดูจากเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) ยังไม่ทะลุ 70 ลงมาและมีแนวโน้มจะตวัดขึ้นไป เป็นสัญญาณที่ดีที่หุ้นจะมีแนวโน้มขาขึ้นประกอบกับแนวโน้มการแกว่งตัวของราคาเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้นจึงแนะนำให้ “ซื้อเก็งกำไร” เป้าหมาย 3.5 บาท

&#3648;&#3626;&#3657;&#3609;&#3604;&#3629;&#3585;&#3652;&#3617;&#3657; &#3612;&#3637;&#3648;&#3626;&#3639;&#3657;&#3629;

                                                     บทวิเคราะห์หุ้น

       THE  SIAM  COMMERCIAL  BANK  PUBLIC  COMPANY  LIMITED

                                     ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

&#3651;&#3627;&#3617;&#3656;&#3621;&#3656;&#3634;&#3626;&#3640;&#3604;

กลุ่มอุตสาหกรรม               ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ                          ธนาคาร

   

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น SCB มีดังนี้

  1. MOVING AVERAGES (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  2. STOCHASTICS ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา
  3. RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์
  4. VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

ฉะนั้นเราจะใช้เครื่องมือทั้ง 4 ตัวนี้ทำการวิเคราะห์หุ้น SCB

บทวิเคราะห์หุ้น  SCB

จากกราฟหุ้นจะเห็นว่าเกิดลักษณะของจุดตัดที่เรียกว่า Golden cross คือ สัญญาณซื้อ (Buy) เกิดขึ้นเมื่อ เส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป ซึ่งแสดงถึงตลาด (Bull) และเมื่อเส้นราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้น MA ที่เคลื่อนลงตามจะถือเป็นสัญญาณขาย และเมื่อราคาเคลื่อนขึ้นและทะลุผ่านเส้น MA ที่เคลื่อนขึ้นตามจะถือเป็นสัญญาณซื้อ

 

 

จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K เส้น Overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ Oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) และภาวะการซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) คือ ราคา New High STOCHASTICS ไม่ New High บอกสัญญาณขาย (Sell)

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป

(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

             - สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

                1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

                2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

                3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน 

              - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

                1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

                2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

                3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI ในกราฟเกิด Divergence แบบ Negative Divergence เกิดตอนตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น เมื่อเกิดลักษณะการเคลื่อนที่แยกทางกัน Divergence โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาใหม่ขึ้นสูงกว่ายอดสูงของราคาเก่า แต่ RSI ยอดใหม่ อยู่ต่ำกว่า RSI ยอดเก่า ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน แล้วจะปรับตัวลงมาตาม RSI คือเส้นราคา New High RSI ไม่ New High บอกสัญญาณ Sell

                จากกราฟมีการการเหวี่ยงตัวของ RSI และมีการเกิด Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 และยอดสูงใหม่ อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเก่า โดย TOP FAILURE SWING จะสมบูรณ์ เมื่อเส้น RSI เคลื่อนที่จากจุดยอด ลงต่ำกว่าจุดต่ำสุด ที่อยู่ระหว่างยอดสูงทั้งสอง

                จากกราฟ Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น หากปริมาณการซื้อขายมาก Volume ก็จะเพิ่ม หากปริมาณการซื้อขายลดลง Volume ก็จะเพิ่ม Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

                จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, STOCHASTICS และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, STOCHASTICS และ RSI เอาราคามาคำนวณ

                สรุปได้ว่าในอนาคตหุ้น SCB มีแนวโน้มหุ้นขึ้นเพราะ  RSI ตัดเส้น  OVERBOUGHT  ที่บริเวณระดับ  70 %  ขึ้นไป  ดังนั้นเราควรเตรียมซื้อหุ้นตัวนี้   เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาที่เพิ่มขึ้น

นายอภิวันทน์ บุบผา รหัส 49473120073

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากรูปฟรี จด domain name แปลอังกฤษ

กลุ่มอุตสาหกรรม    อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง

หมวดธุรกิจ            พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

บทวิเคราะห์ของ บมจ.แลนด์แอนเฮ้าส์ (LH)

ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2/52 ถึง 3/52

       - กำไรสุทธิไตรมาส 3/52 มีจำนวน 1,353 ล้านบาท โตถึง 73% โดยผลประกอบการไตรมาส 3/52 ของบริษัทออกมาดีกว่าที่คาด โดยเติบโตดีมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/52 ซึ่งสาเหตุที่ผลประกอบการโตดี เนื่องจากผู้บริโภคที่ชะลอการซื้อในช่วงไตรมาส 1/52 และไตรมาส 2/52 เนื่องจากไม่มัน่ใจในปัญหาการเมืองในประเทศและภาวะเศรษฐกิจ เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นส่งผลให้ยอดขายบ้านในไตรมาส 3/52 ของบริษัทฟื้นตัวกว่า 34% นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 2/52 บริษัทเริ่มโอนคอนโดมิเนียมที่ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท คาดว่าโอนไปประมาณ 1,000 ล้านบาท จึงทำให้ไตรมาส 2/52 บริษัทมีรายได้ 4,866 ล้านบาท โตถึง 56.6% จึงส่งผลทำให้ไตรมาส 3/52 มีการดีดตัวของราคาหุ้นที่ขึ้นสูงมาก ในรอบปี 52 และสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจึงส่งผลให้ราคาหุ้นราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ

แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 5.9 บาท

      - แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาเป้าหมายที่ให้ไว้แล้วแต่จากผลประกอบการไตรมาส 2/52 ที่ออกมาดีและยังมีปัจจัยบวกเรื่อง การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเราจึงแนะนำถือเพื่อขายทำกำไร

น.ส.อัจฉรา อินทนนท์ รหัส 49473120091 เอกการเงินการธนาคาร

images by uppicweb.com

กลุ่มอุตสาหกรรม ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น PTT มีดังนี้

1. MOVING AVERAGES (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. STOCHASTICS ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 บทวิเคราะห์หุ้น PTT

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จากกราฟหุ้นจะเห็นว่าเกิดลักษณะของจุดตัด คือเส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป เรียกว่า Golden cross คือ สัญญาณซื้อ (Buy) เป็นจุดเริ่มของตลาด Bull

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

 - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

  จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence ในช่วงระหว่าง11/11 กับ 26/12 เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high

 3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

 1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน

จากกราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือPositive Divergence และ Negative Divergence จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Top Failure Swingในช่วง 27/03 และ Bottom Failure Swing ในช่วง 11/11

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

สรุปได้ว่าในอนาคตของหุ้น PTT เป็นรูปแบบ SIDEWAYS เพราะ RSI ไม่ตัดเส้น Overbought ที่บริเวณระดับ 70% และไม่ตัดเส้น Oversold ที่บริเวณระดับ 30% เพราะ RSI อยู่ระหว่างบริเวณระดับ Overbought 70% และ Oversold 30% ดังนั้นเราควรจะรอดูหุ้นอีกซักระยะ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้อาจจะมีการปรับตัวของราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ค่ะ

น.ส.ภูริดา เลาฉัตติกุล รหัส 49473120078

 THE  SIAM  COMMERCIAL  BANK  PUBLIC  COMPANY  LIMITED (SCB)

                             ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม :: ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ        :: ธนาคาร

 

scb

 

คำแนะนำ: หลุดแนวรับ แนะนำ ขาย

เหตุผล: ความคิดเห็นทางเทคนิค เมื่อดูจาก

Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (MAสั้น) บริเวณ 83 บาท หากไม่สามารถทะลุกลับขึ้นไปยืนยันได้อาจทำให้แนวโน้มการแกว่งตัวเปลี่ยนเป็นขาลงในระยะ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า แนะนำขายหากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับที่ให้ไว้ที่ 83 บาท

Slow Stochastic ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

จะเห็นได้ว่า เส้น %K และ %D อยู่บริเวณระดับสูงกว่า 80% ขึ้นไป ซึ่งเข้าเขต Overbought (ระดับการซื้อที่มากเกินไป) ดังนั้นจึงบอกสัญญาณเตือน “ขาย” และควรขาย เมื่อ %K ตัด %D จากภาพจะเห็นได้ว่า %K ได้ตัด %D ลงมาแล้ว ดังนั้นหุ้นนี้จึงควรขาย

RSI เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

จากภาพ จะเห็นได้ว่า เส้น RSI ที่อยุ่เหนือเส้น 70% ซึ่งเข้าเขต Overbought (ระดับการซื้อที่มากเกินไป) ได้เลื่อนตัดเส้น 70% ลงมา และแนะนำได้ว่าเราควรขายก่อนที่ เส้น RSI จะลงไปถึง 30%

Volume ปริมาณการซื้อขาย

จากภาพจะเห็นได้ว่า เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน แต่ปริมาณการซื้อขายกลับลดลง แสดงให้เห็นว่าเป็นการค้านการขึ้นของราคา ดังนั้น อาจนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาในช่วงต่อไป

 

น.ส.ชุธิมา เหมือนงิ้ว รหัส 49473120025 เอกการเงินการธนาคาร

images by uppicweb.com

กลุ่มอุตสาหกรรม ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

 บทวิเคราะห์หุ้น KTB

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น KTB มีดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จากกราฟหุ้นจะเห็นว่าเกิดลักษณะของจุดตัด คือเส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป เรียกว่า Golden cross คือ สัญญาณซื้อ (Buy) เป็นจุดเริ่มของตลาด Bull

 

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

 - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

 - สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence ในช่วงระหว่าง 19/05 กับ 30/06 เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high

 3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

 1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

 - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ Negative Divergence ในช่วง 19/05/30/06 จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Top Failure Swingในช่วง 19/05 และ Bottom Failure Swing ในช่วง 11/11

 

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

 สรุปอนาคตของหุ้น KTB เป็นรูปแบบ SIDEWAYS เพราะ RSI ไม่ตัดเส้น Overbought ที่บริเวณระดับ 70% และไม่ตัดเส้น Oversold ที่บริเวณระดับ 30% เพราะ RSI อยู่ระหว่างบริเวณระดับ Overbought 70% และ Oversold 30% ดังนั้นเราควรจะรอดูหุ้นอีกซักระยะ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้อาจจะมีการปรับตัวของราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ค่ะ

นางสาวอนุสรา เอี๋ยวประเสริฐ รหัส 49473120033

                      บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

 

หมวดธุรกิจ          วัสดุก่อสร้าง            

กลุ่มอุตสาหกรรม   อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

คำแนะนำการลงทุน

      เนื่องจากดูจากสถานการณ์กราฟของ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ในตอนแรกหุ้นจะอยู่ในช่วงขาลง และค่อยๆขยับตัวขึ้นเรื่อย แต่พอขึ้นถึง ประมาณ 220 หุ้นเริ่มตกลง ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงถ้าจะถือหุ้น scc เอาไว้ ฉะนั้นคิดว่าควรที่จะขายหุ้น scc นี้

ความคิดเห็นทางเทคนิค

     เนื่องจาก scc ในช่วงแรกมี volume ที่สูงขึ้น จากนั้นก็ลดตัวลงตามลำดับซึ่ง ดูจากเส้น MA สั้น ได้ตัดเส้น MA ยาวขึ้นไปจนถึง บริเวณ 220 บาท เริ่มมีการปรับตัวลง หากไม่สามารถทะลุกลับขึ้นไปได้ อาจทำให้แนวโน้มการแกว่งตัวเปลี่ยนเป็นขาลง ใน 1-2 สัปดาห์ ข้างหน้า ถ้าดูจากดัชนีกำลังสัมพัทธ์ RSI ได้ทะลุผ่านเส้น 70 ลงมา และไม่มีสัญญาณบอกแนวโน้มว่าจะกลับตัวขึ้น จึงแนะนำให้ขายหุ้น scc หากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับที่ 219-220 บาท

 

Photobucket

Photobucket

 

บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด (มหาชน) สาขาปิ่นเกล้า

ผู้ให้สัมภาษณ์   คุณฤทธิ์รงค์   ดลเฉลิมพรรค  เจ้าหน้าที่การตลาด 

                     คุณเพ็ญจันทร์  เกตุวงศ์วิริยะ  ผู้ช่วยผู้จัดการ

ถาม : วิธีการดำเนินงานของโบรคเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ เป็นอย่างไรบ้าง

ตอบ : โบรคเกอร์จะคอยให้คำปรึกษาและข้อมูลต่างๆ กับผู้ที่เข้ามาลงทุนซื้อหุ้น

ถาม : เพราะเหตุใดลูกค้าจึงเลือกที่จะเข้ามาเปิดพอร์ตกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ในสาขานี้

ตอบ : เป็นเพราะทำเลที่ตั้งของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ของสาขานี้ อยู่ใกล้และเป็นย่านธุรกิจ

ถาม : บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร ที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าจะลงทุนที่นี่

ตอบ : ค่อนข้างมาก เนื่องจากจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ก็เป็นบริษัทนึงที่ผ่านช่วงวิกฤตินั้นมาได้ ทำให้ให้บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติดูมั่งคงขึ้นในสายตาประชาชน และบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติมีหลากหลายธุรกิจอยู่ในบริษัทเดียว จึงช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี รวมถึงการมีบุคลากรที่มีคุณภาพ

ถาม : การเข้ามาเป็นโบรคเกอร์ มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ตอบ : ก็จะมีการสอบลายเซ็น ความรู้ทางด้านตลาดทุน

การที่จะเป็นนักการตลาดที่ดี ประมาณนี้

ถาม : ช่วยแนะนำหุ้นกลุ่มใดที่เหมาะสมกับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเล่น

ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับตัวลูกค้าเองว่าชอบแบบไหน เพราะบางคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน เมื่อรู้ว่าตัวเองชอบแบบไหนแล้วโบรคกอร์ก็จะช่วยแนะนำต่อไปได้

ถาม : ช่วยแนะนำการเล่นหุ้นที่ทำให้ได้กำไรมากๆ

ตอบ : เวลาที่เราจะเล่นหุ้น เราต้องดูเวลาซื้อ เวลาขาย ซึ่งเวลาในการซื้อขายหุ้นมีความสำคัญมากกว่าตัวของหุ้นเองด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อตัวไหนก็ได้ก็ต้องมีการศึกษาหุ้นตัวที่จะเล่นเสียก่อน

ถาม : คู่แข่งที่สำคัญของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ คือบริษัทใด

ตอบ : กิมเฮง เป็นบริษัทโบรคเกอร์ขนาดใหญ่ รองมาก็เป็นบริษัทเอเชียพลัส

ถาม : อุปสรรคในการดำเนินงานของโบรคเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ สาขาปิ่นเกล้า คืออะไรบ้าง

ตอบ : 1.  คู่แข่งทั้งภายในและภายนอก

        2.  ถ้าเป็นคู่แข่งภายในก็จะเป็นโบรเกอร์ด้วยกัน คือจะมีการแข่งขันกันทางด้านค่าคองมิชชั่น เป็นต้น

ถาม : ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย ณ ตอนนี้ มีผลต่อการขึ้น – ลงของหุ้นบ้างหรือไม่

 

ตอบ : มีผลโดยตรง  เพราะหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้น ขั้นอยู่กับปัจจัยภายนอกและตลาดต่างประเทศ คือ  หุ้นในประเทศไทยจะมีการอิงหุ้น Hangseng ของประเทศจีน ตัวหุ้นของแต่ละประเทศจะมีการอิงต่อๆ กันเป็นทอดๆ

 

ถาม : ลูกค้าที่นี่งอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ ส่วนมากเค้าเล่นหุ้นอะไรกันบ้าง

 

ตอบ : ส่วนมากลูกค้าที่มานั่งมักจะเล่นหุ้นปั่น คือ เป็นหุ้นเล็กๆ ที่มีราคา หุ้นละไม่ถึง 1 บาท เช่น หุ้นละ 0.28 บาท  เหตุที่เค้าเล่นหุ้นแบบนี้เพราะพวกเค้าคิดว่าหุ้นมีราคาน้อยซื้อได้หลายหุ้น และมีความเสี่ยงน้อยกว่า

images by uppicweb.com

หุ้น  pttep

กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค

บทวิเคราะห์หุ้น  pttep

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น   pttep  มี 4 Indicator ดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

1.1เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

1.2เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)บอกสัญญาณ  buy

          จากกราฟหุ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 29/12 จะมีแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (buy)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

          จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

 - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

 Divergence Stochastics

          จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence ในช่วงระหว่าง20/05เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

         จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

 - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ

- Negative Divergence     จะเกิดในตลาดขาขึ้น จะอยู่ในช่วงระหว่าง  12/11  กับ  29/12  จะบอกสัญญาณ  sell  มีลักษณะ ดังนี้คือ  New  hide   RSI  จะไม่  New  hide  

จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ

-Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 % และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเดิม  จะเกิดอยู่ในช่วงระหว่าง  20/05  กับ  02/07

-Bottom Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเดิม  จะเกิดอยู่ในช่วงระหว่าง  12/11  กับ  29/12    ,    13/02  กับ   30/03

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

          Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

          สรุป อนาคตหุ้น PTTEP  นั้น เส้น RSI มีลักษณะที่ยังไม่ตัดกับเส้นทั้ง  overbought  กับ  oversold  จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าเป็นแบบ  sideway    ก็คือ หุ้น PTTEP   ณ ปัจจุบันนี้  ควรที่จะนิ่งไว้ก่อน เพราะยังไม่มีสัญญาณ  ที่จะบอก buy   หรือ sell โดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ในการตัดสินใจ

 

 

วิกานต์ดา ศรีเพ็ชร รหัส 49473120016

Photobucket

 

บทวิเคราะห์หุ้น  SCG

The Siam Cement Group

กลุ่มอุตสาหกรรม       การเงิน

หมวดธุรกิจ                ธนาคาร

 ลักษณะการดำเนินธุรกิจ 

         ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ 5 กลุ่ม ได้แก่ ปิโตรเคมี กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่าย ทุกธุรกิจมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านสินค้าและบริการ กระบวนการทำงาน และรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเพียรพยายามพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในประเทศ มุ่งสู่ความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค และเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในระดับโลก

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น มี 4 Indicator คือ

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

บทวิเคราะห์หุ้น  SCG

-              เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้นไป บอกสัญญาณการ Buy

-      เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป เรียกจุดตัดนี้ว่า “Golden Cross” ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

-      การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS 

-      กราฟนี้ไม่ปรากฏ Divergence ที่ชัดเจน

-      เกิดสัญญาณเตือนซื้อเมื่อเส้น  STOCHASTICS  เข้าเขต  OVERSOLD  ที่บริเวณระดับต่ำกว่า  20 %  และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อ  จากที่เส้น  %K  ตัดกับเส้น  %D ขึ้นไป

-      เกิดสัญญาณเตือนขายเมื่อเส้น  STOCHASTICS  เข้าเขต  OVERBOUGHT  ที่บริเวณระดับสูงกว่า  80 %  และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขาย  จากที่เส้น  %K  ตัดกับเส้น  %D ลงไป

 RSI : Relative Strength Index  เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ 

การวิเคราะห์  ภาวการณ์ซื้อที่มากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

                - สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

                1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

                2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

                3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน 

                - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

                1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

                2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

                3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน

ในกราฟเกิด Divergence แบบ  Negative  Divergence  เกิดในตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น  เมื่อเกิดลักษณะการเคลื่อนที่แยกทางกัน (Divergence)  โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาใหม่ขึ้นสูงกว่ายอดสูงของราคาเก่า   แต่ RSI ยอดใหม่  อยู่ต่ำกว่า  RSI ยอดเก่า  ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน  แล้วจะปรับตัวลงมาตาม  RSI

-      ในกราฟเกิด  Failure  Swing  ซึ่งเกิด  2  ลักษณะ  คือ

                1. Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น  70 และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเก่า 

                2.Bottom  Failure  Swing  เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ  RSI  อยู่ใต้เส้น  30 และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเก่า 

 Volume  ปริมาณการซื้อขาย

                1. เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน และปริมาณการซื้อขายปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นการสนับสนุนการขึ้นของราคา

                2.เมื่อราคาที่พุ่งสูงขึ้น   ต่อมามีการปรับตัวลดลง หากปริมาณการซื้อขายปรับตัวลดลงด้วย จะเป็นการแสดงถึงการลดลงชั่วคราวของราคา ก่อนที่จะมีการปรับตัวสูงขึ้นของราคาอีกครั้งหนึ่ง

                3.เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อน  แต่ปริมาณการซื้อขายกลับลดลง  จะเป็นการค้านการขึ้นของราคา

                4.เมื่อราคาที่ลดลง  ต่อมามีการปรับตัวขึ้น  แต่หากปริมาณการซื้อขายลดลง  จะเป็นการค้านการขึ้นราคาในขณะนั้น

                5.เมื่อราคาวิ่งขึ้นกลับไปถึงจุดสูงเก่า  แต่ Volume  ไม่มากเท่ากับ Volume ของจุดสูงเก่า  จะเป็นการค้านการขึ้นของราคา  และอาจนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาในช่วงต่อไป

            สรุป  ในอนาคตหุ้น SCC มีแนวโน้มที่ลดลง   เพราะ  RSI ตัดเส้น  Overbought   ที่บริเวณระดับ  70 %  ลงมา  และมี  Top  Failure  Swing  ยืนยันการลดลงของหุ้น  ดังนั้นเราควรเตรียมขายที่จะหุ้นตัวนี้   เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลง 

น.ส.พรระวี แซ่อั้ง รหัส 49473120043

bbl

BBL : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : ธนาคาร

&#3648;&#3626;&#3657;&#3609;&#3604;&#3629;&#3585;&#3652;&#3617;&#3657;+&#3612;&#3637;&#3648;&#3626;&#3639;&#3657;&#3629;

คำแนะนำในการลงทุน

   เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว จึงมีการทยอยออกหุ้นกู้ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นในปีหน้า ซึ่งคาดว่าการเติบโตสินเชื่อจะดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง คาดว่า BBL จะมีความเสี่ยงต่ำในช่วงขาลง และจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นได้ซื้อขายที่มูลค่าเป้าหมายที่ 115 บาท ดังนั้นแนะนำให้ "ถือ" โดยดูจากเส้น Relative Strength Index หรือ RSI ซึ่งเป็นไปในทิศทางด้านข้าง (Sideway)

ความคิดเห็นทางเทคนิค

   คำแนะนำ : Sideway กรอบ 107 - 109 บาท

   เหตุผล : แนวโน้ม 1 สัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวลักษณะ Sideway อยู่ในกรอบ 107 - 109 บาท แนะนำให้ซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้

&#3648;&#3626;&#3657;&#3609;

น.ส.พรระวี แซ่อั้ง รหัส 49473120043

ขอโทษค่ะอาจารย์ ส่งกราฟผิดรูปค่ะ ส่งใหม่นะคะ

bbl

BBL : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : ธนาคาร

&#3648;&#3626;&#3657;&#3609;&#3604;&#3629;&#3585;&#3652;&#3617;&#3657;+&#3612;&#3637;&#3648;&#3626;&#3639;&#3657;&#3629;

คำแนะนำในการลงทุน

   เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว จึงมีการทยอยออกหุ้นกู้ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นในปีหน้า ซึ่งคาดว่าการเติบโตสินเชื่อจะดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง คาดว่า BBL จะมีความเสี่ยงต่ำในช่วงขาลง และจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นได้ซื้อขายที่มูลค่าเป้าหมายที่ 115 บาท ดังนั้นแนะนำให้ "ถือ" โดยดูจากเส้น Relative Strength Index หรือ RSI ซึ่งเป็นไปในทิศทางด้านข้าง (Sideway)

ความคิดเห็นทางเทคนิค

   คำแนะนำ : Sideway กรอบ 107 - 109 บาท

   เหตุผล : แนวโน้ม 1 สัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวลักษณะ Sideway อยู่ในกรอบ 107 - 109 บาท แนะนำให้ซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้

&#3648;&#3626;&#3657;&#3609;

กลุ่ม 1 เอกการเงินการธนาคาร (49)

การสัมภาษณ์ คุณ ศิริภัสสร กิตติ์พิชานันท์ supervisor บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า

images by uppicweb.com

 

images by uppicweb.com

 

images by uppicweb.com

Q : พี่สำเร็จการศึกษาจากที่ไหน ระดับอะไรค่ะ

A : ปริญาตรี สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ

Q : ก่อนที่พี่จะมาทำงานด้านนี้พี่เคยทำงานอะไรมาก่อนค่ะ

A : - เป็นผู้จัดการร้านมือถือ

     - เป็น Bangk offices 5 ปี

Q : ตอนนี้พี่ดำรงตำแหน่งอะไรค่ะ

 A : Supervisor

 Q : การที่เราจะเข้ามาทำงานด้านนี้เราต้องมีความรู้ด้านไหนบ้างค่ะ

 A : ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อที่จะได้เป็นพื้นฐานที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน

Q : พี่มีประสบการในการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดกี่ปีค่ะ

A : 2 ปี

 Q : ในส่วนที่พี่ทำงานมีความยากมากน้อยแค่ไหนค่ะ

A : ยากมากเพราะต้องคอยติดตามข่าวสารต่างๆตลอดเวลา ทั้งข่าวเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งข่าวการเมืองเพราะว่าจะมีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น

 Q : ทำไมพี่ถึงเลือกทำงานด้านนี้ค่ะ

 A : เพราะพี่เคยเป็น Bangk offices

Q : ถ้าจะมาทำงานด้านนี้จะต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ

A : ก็ต้องสอบ single license แล้วมาสอบของ TFEX

Q : การทำงานในด้านนี้ ต้องมีความรู้พื้นฐานอะไรบ้างค่ะ

A : ก็ต้องมีความสนใจและติดตามข่าวสารบ้านเมือง เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

Q : พี่มีวิธีการแนะนำในการลงทุนสำหรับนักลงทุนอย่างไรค่ะ

 A : ซื้อขายตามภาวะตลาดและดูนักลงทุนว่าชอบลงทุนในระยะสั้น ปานกลางหรือยาว

 Q : ในสภาวะเศรษฐกิจการเมืองปัจจุบัน มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไรค่ะ

A : จากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่มั่นคงในปัจจุบันก็จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขาย

Q : พี่คิดว่าในปัจจุบันหุ้นไหนน่าลงทุนมากที่สุดค่ะ

 A : หุ้นกลุ่มพลังงาน

Q : พี่มีวิธีการแนะนำในการลงทุนสำหรับนักลงทุนอย่างไรค่ะ

A : ซื้อขายตามภาวะตลาดและดูนักลงทุนว่าชอบลงทุนในระยะสั้น ปานกลางหรือยาว

Q : ปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นในแต่ละวันมีมากน้อยแค่ไหนค่ะ

A : มีมากและน้อยแตกต่างกัน แต่วันที่ 8 กันยายน มีมากที่สุดถือเป็นจุดสูงสุด

Q : ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นต่างประเทศมีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ

 A : ไม่แตกต่างมากนัก ตลาดหุ้นไทยจะอิงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นไปตามตลาดหุ้นต่างประเทศ

Q : พี่มีความรู้สึกอย่างไรกับการทำงานในตำแหน่งนี้ค่ะ

A : รู้สึกดีค่ะที่ได้ทำงานนี้เพราะทำให้เราต้องมีการหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

 Q : ถ้าจะมาทำงานในด้านนี้ ควรจะเตรียมความพร้อมอย่างไรค่ะ

A : ก็คือต้องมีใจรักในการทำงานด้านนี้ แล้วก็สนใจที่จะติดตามข่าวสารต่างๆอยู่ตลอดเวลา

น.ส. มลิศา ธนบัตร รหัส 4947312034

วิเคราะห์หุ้น

Photobucket บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน)

( PTT EXPLORATION AND PRODUCTION PUBLIC COMPANY LIMITED )

หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค

กลุ่มอุตสาหกรรม :ทรัพยากร

ประกอบกิจการหลัก

      ปตท. สผ. เป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของคนไทย มีพันธกิจหลักในการสรรหาปิโตรเลียมเพื่อสนองความต้องการใช้พลังงานทั้งภายในประเทศ และประเทศที่ไปลงทุน รวมทั้งสามารถนำเป็นรายได้กลับคืนสู่ประเทศไทย

     บทวิเคราะห์หุ้น PTTEP เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น PTTEP มี 4 Indicator ดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

     - เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

     - เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ลง ยืนยันการซื้อ (Sell)

     - เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

     จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

     - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

     - สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

    Divergence Stochastics

     จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

     นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ เป็นแบบ Bullish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดต่ำใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดต่ำใหม่ถือเป็นสัญญาณซื้อ (Buy) คือ ราคา new low Stochastics ไม่ new low บอกสัญญาณขาย (Buy)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

     จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

     1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

     2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

     3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

     1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

     2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

     3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)   

     จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ     

     - Negative Divergence คือ เส้นราคาทำ new hight แต่ เส้น RSI ไม่ทำ new hight จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ

     -Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 % และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเดิม

     -Bottom Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเดิม

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume

     คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

       สรุปได้ว่า หุ้น PTTEP ในอนาคต มีแนวโน้มที่จะลดลง เพราะ RSI ตัดเส้น OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับ 70 % ลงมาไม่มากนัก ดังนั้นเราควรเตรียมที่จะขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นPTTEP จะมีการปรับของราคาลดลง ทั้งนี้นักลงทุนก็ควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจลงทุนด้วย

น.ส.สุภาวรรณ จิแอ 49473120020

Photobucket

BANPU: บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม: ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ: พลังงานและสาธารณูปโภค

คำแนะนำในการลงทุน:

ในปี 2553 หุ้นมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากโอกาสในการควบรวมกิจการ, การเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการหงสาประเทศลาวในปี 2552 และธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนที่ขยายตัว ล้วนเป็นปัจจัยหนุนแนวโน้มราคาหุ้น กำไรมีแนวโน้มปรับลง - ต่ำสุดในไตรมาส 4/52 แต่กำไรปี 2553 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

ความคิดเห็นทางเทคนิค:

คำแนะนำ: ซื้อ เป้าหมาย 410 บาท Stop loss < 400 บาท

เหตุผล: ระยะเวลา 1 สัปดาห์ BANPU มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเนื่องจากสัญญาณ Break out แนวต้านสำคัญ 389 บาท สนับสนุนด้วยวอลุ่มที่เพิ่มสูงขึ้น

นางสาวพิมศิริ ลาภโสภา รหัส49473120024

Photobucket THE SIAM COMMERCIAL BANK PUBLIC COMPANY LIMITED (SCB)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม :: ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ :: ธนาคาร

คำแนะนำในการลงทุน

เนื่องจากดูจากสถานการณ์กราฟของธนาคารไทยพาณิชย์ในตอนแรกหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาลงแล้วเริ่มมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีการขึ้นในลักษณะที่ชันแล้วหลังจากนั้นก็มีการปรับตัวลดลงในลักษณะที่ชั้นคล้ายรูปตัว v Bottom เช่นกัน หลังจากที่ปรับตัวลดลงแล้วก็มีการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆจนถึง85.0 และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง จึงแนะนำให้ผู้ถือหุ้น scb ขายหุ้น

ความคิดเห็นทางเทคนิค

เหตุผล SCB มีแนวโน้มของหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกจะมีVolume ที่สูง หลังจากนั้นมีการปรับตัวลดลงตามลำดับ ซึ่งดูจากการปรับตัวของเส้น MA สั้นได้ตัดเส้นMAยาวขึ้นไป จนถึง83บาทและเริ่มที่จะมีการปรับตัวลดลง ถ้าดูจากเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ ( RSI ) เส้นRSIมีการปรับตัวขึ้นสูงกว่า70% และมีการปรับตัวลดลงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีที่หุ้นจะมีแนวโน้มขาลง ประกอบกับการปรับตัวของราคาหุ้นเปลี่ยนจากขาขึ้นแล้วปรับตัวเป็นขาลง จึงแนะนำให้ผู้ถือหุ้นของSCB “ขายหุ้น” หากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับที่ให้ไว้ที่ 83 บาท

นางสาวนิภาวรรณ บุญวงศ์ รหัส 49473120018 การเงินการธนาคาร ปี4

ADVANCED INFORMATION TECNOLOGY PUBLIC CO.,LTD บริษัทิ แอ็ดวานอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยี หมวดธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร Photobucket

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น AIT มี 4 Indicator คือ

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 บทวิเคราะห์หุ้น AIT จากกราฟหุ้น AIT วิเคราะห์ได้ดังนี้ คือ

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 • เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

• เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

• การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ Stochasticsในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ Stochasticsไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ ถือเป็นสัญญาณขาย

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ 10/02 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็วและสูงกว่าเส้น MA มากอาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณ Sell และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA สั้นและเริ่มวกกลับขึ้นไปให้ถือเป็นสัญญาณ Buy

 2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

จากกราฟ หุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

จากกราฟ แสดงให้เห็นว่ามีการแยกทาง จากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมาก เกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง 1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

 จากกราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ Positive Divergence และ Negative Divergence

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, Stochastics และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, Stochastics และ RSI เอาราคามาคำนวณ หุ้นAITควรซื้อหรือไม่

 สรุปได้ว่า อนาคตหุ้น AIT มีแนวโน้มลดลง เพราะRSI ตัดเส้น Overbought ลงมามีภาวะการซื้อมากเกินไปบอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70%ลงมาก็คือหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับราคา หรือปรับตัวลงเรื่อยๆ

นางสาวนิภาวรรณ บุญวงศ์ รหัส 49473120018 การเงินการธนาคาร ปี4

ADVANCED INFORMATION TECNOLOGY PUBLIC CO.,LTD บริษัทิ แอ็ดวานอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยี หมวดธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร Photobucket

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น AIT มี 4 Indicator คือ

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 บทวิเคราะห์หุ้น AIT จากกราฟหุ้น AIT วิเคราะห์ได้ดังนี้ คือ

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 • เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

• เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

• การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ Stochasticsในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ Stochasticsไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ ถือเป็นสัญญาณขาย

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ 10/02 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็วและสูงกว่าเส้น MA มากอาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณ Sell และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA สั้นและเริ่มวกกลับขึ้นไปให้ถือเป็นสัญญาณ Buy

 2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

จากกราฟ หุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

จากกราฟ แสดงให้เห็นว่ามีการแยกทาง จากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมาก เกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง 1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

 จากกราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ Positive Divergence และ Negative Divergence

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, Stochastics และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, Stochastics และ RSI เอาราคามาคำนวณ หุ้นAITควรซื้อหรือไม่

 สรุปได้ว่า อนาคตหุ้น AIT มีแนวโน้มลดลง เพราะRSI ตัดเส้น Overbought ลงมามีภาวะการซื้อมากเกินไปบอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70%ลงมาก็คือหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับราคา หรือปรับตัวลงเรื่อยๆ

ประภา เลิศพัฒนวรกุล รหัส 49473120026 เอกการเงินการธนาคาร ปี4

images by myuppic.com
เครื่องสำอาง ฝากรูป ไม่ลบ แปลไทย

SAIM CITY BANK PUBLIC COMPANY LIMITED (SCIB)

ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) 

กลุ่มอุตสาหกรรม                  ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ                            ธนาคาร

MA (Moving Averages) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

             จากกราฟหุ้น SCIB พบว่ามีจุดตัดที่เรียกว่า Golden cross หมายถึง บอกสัญญาณซื้อ (Buy) Golden cross หรือสัญญาณซื้อ (Buy) จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น MA (Moving Averages) สั้นตัดเส้น MA(Moving Averages)  ยาวขึ้นไป นั้นคือสัญญาณบอกถึงตลาด Bull  และเมื่อ MA(Moving Averages)  สั้นตัด MA(Moving Averages)  ยาวและอยู่เหนือ MA(Moving Averages)  ยาวมาระยะเวลานานพอสมควรแต่ยังไม่ตัดลงจึงบอกสัญญาณการซื้อ(Buy)

           ดังรูปในช่วงสัปดาห์ที่ 28/11 เส้นราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้น MA ที่เคลื่อนลงตามจะถือเป็นการบอกสัญญาณขาย (Sell) และในช่วงก่อนสัปดาห์ที่ 22/07 จนถึงช่วงสัปดาห์ที่ 22/07 เส้นราคาเคลื่อนขึ้นและทะลุผ่านเส้น MA ที่เคลื่อนขึ้นตามจะถือเป็นการบอกสัญญาณซื้อ (Buy)

Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

               เมื่อดูจาก %K(เส้นสีเขียว)  และ %D(เส้นสีแดง) นั้นจะวิเคราะห์ได้ดังนี้

                - เส้น%K คือเส้น STOCHASTICS และเส้น %D คือเส้นค่าเฉลี่ยของ %K

                - เขต Overbought จะอยู่ที่ 80% ส่วนเขต Oversold จะอยู่ที่ 20%

                การบอกสัญญาณจึงสามารถบอกได้ดังนี้

                - เมื่อเส้น %K เข้าเขต Overbought บอกถึงสัญญาณเตรียมขาย (Sell) แต่เมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D ลงมาจะบอกถึงสัญญาณขาย (Sell) ทันที

                - เมื่อเส้น %K เข้าเขต Oversold บอกถึงสัญญาณเตรียมซื้อ (Buy) แต่เมื่อเส้น %K ตัดเส้น %Dขึ้นไปจะบอกถึงสัญญาณซื้อ (Buy) ทันที

RSI (Relative Strength Index) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

                การบอกสัญญาณเมื่อวิเคราะห์จากเส้น RSI (Relative Strength Index)

                - เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น Overbought บอกถึงสัญญาณเตรียมขาย (Sell) และขาย (Sell) เมื่อเส้น RSI ตัดเขต Overbought ที่ระดับ 70% ลงมา

                - เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น Oversold บอกถึงสัญญาณเตรียมซื้อ (Buy) และซื้อ (Buy) เมื่อเส้น RSI ตัดเขต Oversold ที่ระดับ 30% ขึ้นไป

VOL (Volume) ปริมาณการซื้อขาย

                Volume เมื่อปริมาณการซื้อ-ขายเพิ่ม Volume เพิ่ม กล่าวคือเมื่อราคาหุ้นขึ้น Volume เพิ่มจึงยืนยันการขึ้นของราคา และเมื่อราคาหุ้นลง Volume เพิ่มจึงยืนยันการลงของราคา

                สุดท้ายนี้จากราฟนั้นสรุปได้ว่าอนาคตหุ้น SCIB จะขึ้นเนื่องจากเส้น Stochastics ขึ้นถึงเขต Overbought และเส้น %K ยังไม่ตัดเส้น %D ลงมาจึงมีแนวโน้มที่หุ้นจะขึ้นอีก และเมื่อดูที่เส้น RSI ซึ่งเส้น RSI กำลังขึ้นทะลุเขต Overbought ซึ่งหมายถึงราคาอาจจะขึ้นอยู่เหนือ Overbought อีกนั้นหมายถึงราคากำลังขึ้นและราคาจะตกเมื่อทะลุผ่าน Overbought ลงมา 

 

 

 

 

น.ส. ศิรัญญา ยอดแก้ว 49473120019

images by uppicweb.com

บริษัท ปิโตรเลียม สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด ( มหาชน ) (ปตท.สผ.)

PTT EXPLORATION AND PRODUCTION PUBLIC COMPANY LIMITED (PTTEP)

 

กลุ่มอุตสาหกรรม   ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ            พลังงานและสาธารณูปโภค

 

บทวิเคราะห์หุ้น PTTEP

อธิบายจากกราฟหุ้น PTTEP ด้านบน  Indicator มี 4 ตัวคือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่                                

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา                                          

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์                  

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 

-จากกราฟจุดที่เส้น MA สั้นตัด MA ยาวขึ้นไป เรียกว่าเรียกว่า “Golden Cross”

-เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้นไป ยืนยันการซื้อ (Buy)

 เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ลงมา ยืนยันการขาย (Sell)

-จากกราฟมีการแยกทางกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ทำให้เกิด Divergence แบบ  Bearish  Divergence  คือราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่  เรียกว่า “ราคา New hide  Stochastics ไม่ New hide”  บอกสัญญาณขาย

-จากกราฟบอกสัญญาณเตือนซื้อเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD  ที่บริเวณระดับต่ำกว่า  20 % จากการที่เส้น  %K  ตัดเส้น  %D ขึ้นไป

-จากกราฟบอกสัญญาณเตือนขายเมื่อเส้น  STOCHASTICSเข้าเขต OVERBOUGHT ที่ บริเวณระดับสูงกว่า  80 % จากการที่เส้น  %K  ตัดเส้น  %D ลงมา

-จากกราฟมีการแยกทางกันระหว่างแผนภูมิราคากับ  RSI ทำให้เกิด Divergence แบบ  Negative  Divergence  เกิดในตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น ลักษณะการแยกทางกัน (Divergence)  โดยลักษณะราคามีสูงใหม่สูงกว่าสูงเดิม   แต่ RSI มียอดใหม่ ต่ำกว่ายอดเดิม จุดบอกสัญญาณเตือนการขึ้นของราคาจะขึ้นต่อไปได้อีกไม่นาน  แล้วจะปรับตัวลงมาตาม  RSI

-จากกราฟเกิด Bottom Failure Swing ที่เกิดจากยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้นระดับ   30 % และมียอดต่ำใหม่สูงกว่ายอดต่ำเก่า

Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่มขึ้น เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลดลง Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume จะเอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ (แต่ไม่ใช้ราคาปิด - ราคาเปิด)

-จากการวิเคราะห์สรุปได้ว่า  :  อนาคตหุ้น PTTEP ยังสรุปแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงเพราะเส้น RSI มีลักษณะยังไม่ได้ตัดขึ้นไปในเขต  Overbought  และก็ไม่ได้ตัดลงมาในเขต Oversold  จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าเป็นแบบ  Sideway รูปแบบของราคาที่ไปด้านข้าง  หุ้น PTTEP   ณ ปัจจุบันนี้  จึงหยุดนิ่ง เพราะยังไม่มีสัญญาณ  ที่จะบอก buy   หรือ sell โดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ในการตัดสินใจ

 

 

 

กลุ่ม 2 Feel Good เอกการเงินการธนาคาร ปี4

การสัมภาษณ์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

ผู้ให้สัมภาษณ์  คุณสุวภัทร  หุตะสิงห์

ตำแหน่ง : รองผู้บริหารฝ่ายห้องค้าหลักทรัพย์ สาขาเสือป่า  

ศูนย์บริการธุรกิจเสือป่า (สำนักงานสาขา) อาคารธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักถนนเสือป่า ชั้น 3 ถนนเสือป่า แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพฯ 10100 โทร 0-2622-9153

 

Broker1

 

บทสัมภาษณ์

Q  :  ขอโทษนะค่ะก่อนอื่นต้องขอถามชื่อ-นามสกุลก่อนนะค่ะ ?

A  :  พี่ชื่อ สุวภัทร  นามสกุลหุตะสิงห์ ค่ะ

Q  :  แล้วศึกษาด้านใดมาค่ะถึงมาทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ ?             

A  :  จริงๆ แล้วถ้างานในส่วนนี้งานตรงนี้จะไม่ใช่เรียกว่านักวิเคราะห์นะค่ะ จะเป็น marketing มากกว่า ถ้านักวิเคราะห์จะอยู่ในส่วนของ research ที่หาข้อมูลให้ลูกค้าแต่เราเป็น marketing เราเอาข้อมูลจาก research มาวิเคราะห์อีกที เพื่อมาคุยกับลูกค้าในส่วนนี้จะเป็นส่วน front ด้านหน้าคือคุยกับลูกค้าโดยตรงค่ะ ตรงส่วนนี้เราก็ต้องมีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับงบการเงินเหมือนกันในเบื้องต้น โดยส่วนตัวพี่เองพี่ก็จบด้าน finance มาค่ะ

Q  :  จบการศึกษาจากที่ไหนมาค่ะ ?

A  :  พี่จบจากมหาลัยบูรพาค่ะ

Q  :  ตอนนี้ดำรงตำแหน่งใดในบริษัทนี้ค่ะ ?

A  :  ตอนนี้ถ้าอยู่ที่นี่ก็คือรองผู้บริหารฝ่ายคุ้มสาขาเสือป่า

Q  :  ทำอยู่ฝ่ายไหนค่ะ ?

A  :  เป็นฝ่ายห้องค้าหลักทรัพย์ค่ะ

Q  :  แล้วทำงานที่นี่มานานเท่าไรแล้วคะ ?

A  :  ถ้าเอาเป็นว่าในวงการนี้ทำงานมาที่เดิม 15 ปี จากที่เดิมอยู่พัฒนสินแต่ว่าเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้นี้เดือนที่ 3 ค่ะ

Q  :  ได้อะไรจากการทำงานในตำแหน่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ?

Q  :  ในจุดที่เป็นเกี่ยวกับทางด้านหลักทรัพย์ใช่ไหมค่ะ ?

A  :  ใช่ค่ะ/ครับ

A  :  พี่คิดว่าได้ทั้งรู้ในเรื่องของหุ้นทั้งหมด 400 กว่าตัวในตลาดหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่แล้วเราก็สามารถที่จะคุยกับลูกค้าหลากรูปแบบมากๆ มีหลายระดับเลยในการที่เข้ามาในตลาดหุ้น มีทั้งลูกค้าเก็งกำไร ลูกค้าลงทุนซึ่งตรงนั้นอาจเป็นลูกค้าเงินฝากด้วยก็ได้ ตรงนี้มันเป็นทั้งการพัฒนาตัวเราเองในเรื่องของบุคลิกการเข้าหาผู้ใหญ่ คือมันได้พัฒนาในหลายๆ ด้านเลยค่ะ โดยเฉพาะวิชาความรู้ที่เรียนมาไม่จำเป็นจะต้องจบ finance แล้วมาทำด้านนี้จบ marketing ก็ทำได้แม้แต่จบทางด้านคุรุ-ศาสตร์เองก็สามารถเอามาพัฒนาได้ เพราะถ้าในกสิกรเองเขาจะมีระบบการให้ความรู้โดยต่อเนื่องแก่พนักงานอยู่แล้ว ฉะนั้นตรงนี้ถ้าเราใฝ่ที่จะเรียนรู้เราสามารถนำมาพัฒนาได้หมดเลย พี่บอกตรงๆ ว่าถ้าเข้ามาตรงนี้แล้วเราไม่อยู่นิ่งนะค่ะ เราพยายามหาข้อมูลและเรียนรู้เราจะไปได้ไกลกว่า

Q  :  ทำอย่างไรถึงจะเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ดี ?

Q  :  ตรงนี้ถ้าจะบอกว่าเป็น broker ที่ดีเอาเป็นในตำแหน่งหรือเป็นตัวบริษัทค่ะ ?

A  :  ตำแหน่งงานค่ะ

A  :  ตำแหน่งงานก็คือถ้าเรียกทั่วๆ ไปก็คือ marketing ค่ะตรงนี้เน้นมากเลยคือความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เพราะว่าถ้าเราทำเกี่ยวกับทางด้านการเงินแล้วหุ้นเนี้ยแม้เราจะไม่ได้ร่ำเรียนจบจากเขาโดยตรงแต่นี้คือตัวเลขที่มันออกมาในรูปของตัวเงิน ความซื่อสัตย์สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งเพื่อให้เขาเกิดความไว้วางใจ ถ้าลูกค้าไม่มีความไว้วางใจแล้วนะเราจะไม่สามารถทำงานในวงการนี้ได้เลย เพราะว่าวงการนี้มันไม่ได้กว้าง พี่บอกได้เลยว่าความซื่อสัตย์นี้มาเป็นอันดับ 1 ค่ะ

Q  :  แล้วถ้าเป็นโดยรวมของตัวบริษัทล่ะค่ะ ?

A  :  ถ้าของบริษัทเลยนี้ก็คงจะคิดว่าในเรื่องการพยายามให้ความรู้ให้พนักงานได้ training ตรงนี้ค่ะเพราะว่าตอนนี้จะมีธุรกรรมใหม่ๆ เข้ามามากแล้วก็วงการ broker เป็นวงการที่แข่งขันสูงมากนะค่ะ ซึ่งต่อไปในปีหน้าจะไม่เหมือนเดิมแหละ เพราะว่าการคิดค่าคอมมิชชั่นจะเป็นการคิดแบบขั้นบันไดซึ่งจะต้องแข่งขันกันสูงมาก คือเทรดมากเสียคอมน้อยค่ะ ฉะนั้นตรงนี้จะเป็นเหมือนกับมีการวางแนวทางเพื่อรองรับในปีหน้าค่ะ

Q  :  แล้วมีการอบรมบ่อยไหมค่ะ ?

A  :  ถ้าเป็นของกสิกรจะอบรมบ่อยมากถ้าเทียบกับโบรคอื่นๆ  แล้วก็จะมีส่วนของตลาดหลักทรัพย์นะค่ะที่เขาจะจัดเทรนให้กับพวก marketing อยู่แล้วค่ะแล้วก็จะไปอบรมที่ตลาดหลักทรัพย์ค่ะ

Q  :  ในอนาคตข้างหน้าคิดว่าอาชีพนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จะเป็นอย่างไร ?

A  :  พี่คิดว่าถ้าตัว broker เองคงก็ต้องควบรวมกันเยอะเพราะการแข่งขันที่นี่ที่พี่บอกไปปีหน้ามันจะแข่งขันกันสูงมาก ค่าคอมมิชชั่นมันจะเปลี่ยนไปและรายได้แต่ละที่จะถูกจำกัดลง ฉะนั้น ณ ปีนี้ถึงปลายปีมันก็จะเป็นช่วงเดียวที่เรายังพอที่จะทำรายได้ต่อๆ ไป broker จากประมาณ 40 คน โบรค 30 กว่าโบรคทั่ววงการเหลือน้อยลง อาจจะเหลือแค่ครึ่งเดียวก็จะแบ่งเป็นโบรคที่มีแบงค์เป็นแบ็คอย่างกสิกร และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่มีต่างประเทศเป็นผู้ถือหุ้น และกลุ่มที่ 3 ก็คือกลุ่มที่เป็นโบรคเล็กๆ แล้วควบรวมกันค่ะ

Q  :  หากเป็นนักศึกษาที่อยากจะเล่นหุ้น จะมีวิธีแนะนำการลงทุนหุ้นอย่างไรเพื่อสร้างผลกำไร ?

A  :  ก็แนะนำเลยว่าให้ลงทุนทาง Internet เพราะว่าทาง Internet น้องสามารถ Search ข้อมูลได้และก็ค่าคอมมิชชั่นถูกค่ะ ค่าคอมมิชชั่นทาง Internet จะอยู่ที่ .20 โดยที่ถ้าไม่ใช่ผ่าน Internet จะอยู่ที่ .25 นะค่ะ มันจะมีสองเรทใน Internet จะมีคอมมิชชั่นแค่ .20 กับ .15 อย่างที่พี่เคยไปออกสัมมนาให้นักศึกษาส่วนใหญ่แล้วก็จะแนะนำว่าให้พยายามเข้า Search ทาง Internet ลงทะเบียนเขาจะมีฟรีให้ 15 วัน เราก็ลองเข้าไปดูหน้าจอ แล้วก็จะมีบทวิเคราะห์ให้มีให้เราคลิกในนั้นให้เราเริ่มเรียนรู้จากตรงนั้นก่อนแล้วก็ส่วนหนึ่งคือ อาจจะมีการโทรถามทาง Internet เขาจะมี Marketing เพื่อตอบข้อซักถาม แล้วอีกจุดหนึ่งควรจะไปอบรมที่ตลาดหลักทรัพย์ค่ะเขามีอบรมฟรี

Q  :  ต้องมีเงินลงทุนประมาณเท่าใดถึงจะเล่นหุ้นได้ครับ ?

A  :  เงินลงทุนถ้าเป็น Internet จริงๆ แล้วบางทีเขาก็ให้ขั้นต่ำอาจจะ 20,000-30,000 ค่ะ เพราะว่าถ้าน้องใช้คอมมิชชั่น .15 เอาเงินเข้าไปเท่าไหร่ก็เล่นได้เท่านั้น สมมติว่าโอนเข้าไป 30,000 น้องก็จะซื้อหุ้นได้ไม่เกิน 30,000 ทาง Internet ถือว่าเราเป็นคนรับผิดชอบเอง ฉะนั้นวงเงินที่เข้าไปขั้นต่ำได้ แต่ถ้าผ่าน Marketing มันก็จะต้องมีวงเงินประมาณ 500,000

Q  :  คิดว่ากลุ่มหลักทรัพย์ใดที่น่าลงทุนที่สุดในขณะนี้ ?

A  :  ถ้าในช่วงนี้ต้องบอกว่าเป็นกลุ่มพลังงานเพราะว่าเรามีการทำวิเคราะห์ออกมาว่าราคาน้ำมันโลกในตลาดโลกมันจะเป็น Peak เลยตั้งแต่ช่วงปลายปีเพราะว่าอากาศหนาวนะค่ะ แล้วก็การใช้รถต่างๆ มันมากเลยในอเมริกา ซึ่งทุกปีมันจะเป็นไซเคิลแต่ปีนี้ก็ยังวิเคราะห์เหมือนเดิมอยู่ว่าตอนนี้มัน 60 กว่า คิดว่าปีหน้าจะขึ้นเป็น 70 กว่า 73 ถึง 78 ได้

Q  :  มีลูกค้าโทรมาให้แนะนำ และเคยแนะนำผิดพลาดบ้างหรือไม่ ?

A  :  คือถ้าบอกว่าผิดพลาดมันอาจจะไม่ใช่คำว่าผิดพลาด อาจจะเป็นว่าอย่างเช่น ช่วงตลาด 6 เดือน นี้นะค่ะเป็นช่วงที่มี Volume เยอะมากแต่มันเป็นการขึ้นด้วยฟันโฟร์ คือ เงินของต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดอิมมาจิ๊งมาร์เก็ต ก็คือตลาดเปิดใหม่อย่างไทย, อินโด, ฮ่องกง, ไต้หวันอะไรพวกนี้ เป็นเพราะค่าเงินดอล์ล่าร์ที่อ่อน อย่างเศรษฐกิจสหรัฐอย่างที่มีปัญหาที่ผ่านมาตรงนั้นเขาเลยก็เริ่มไม่ไว้ใจทำให้ค่าเงินดอล์ล่าร์มันเหมือนกับขาดเสถียรภาพลงไป คนก็จะหันไปดูเรื่องเงินหยวน เงินยูโรแทน ฉะนั้นเขาก็จะขายเงินดอล์ล่าร์กันออกมา แล้วก็โฟร์พวกนี้กลับมาหาตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จะต้องเป็นตลาดหุ้น เป็นตลาดที่แบบสามารถเอาเงินมาพักแล้วเล่นได้ เก็งกำไรได้ โดยเฉพาะถ้าเฟรดก็คือ อเมริกาเขาไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยตอนนี้อยู่ประมาณ 0-.25 ฉะนั้นเงินมันก็จะต้องไปหาที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูง แต่เมื่อดอกเบี้ยมันต่ำก็มีการกู้เอามาลงทุนในตลาดเมืองไทย อย่างไทยเขาเรียกว่าดอล์ล่าร์แครี่เทรด อย่างสมัยก่อนช่วงปีก่อนมันจะเป็นเยนแครี่เทรด เพราะว่าทางประเทศญี่ปุ่นดอกเบี้ยมันต่ำเขาก็จะกู้ที่ดอกเบี้ยต่ำเพื่อมาลงทุนให้ผลตอบแทนสูงกว่านะค่ะ ค่าเงินมันจะเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับตลาดหุ้นอย่างนี้คือเป็นทฤษฎีเลยค่ะ

Q  :  หุ้นแบบไหนที่ควรลงทุนระยะยาวและแบบไหนที่ควรลงทุนระยะสั้น ?

A  :  ถ้าลงทุนระยะกลางถึงยาวก็เน้นไปเลยว่ามีกลุ่ม Bank นะค่ะ กลุ่มพลังงาน สื่อสาร ที่บอกว่า 3  บอกว่าเป็นหุ้นระยะสั้นๆ รายตัวส่วนใหญ่ก็จะเป็นตัวเล็กๆ เช่น พวกกลุ่มที่ดิน พัฒนาสังหาริมทรัพย์ก็จะเป็น AP, LPN, SIRI

Q  :  ทำยังไงถึงได้ก้าวเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้

A  :  จริงๆ แล้วโดยส่วนตัวของพี่จบ Finance มาแต่ว่าตั้งแต่จบมานะค่ะก็ยังไม่ได้ทำ Finance เลย เปลี่ยนงานมาประมาณ11 ที่ ที่ๆ 9 ก็คือเริ่มมาเป็นหลักทรัพย์ แต่ว่าอาจจะเป็นโบรคเล็กๆ ก่อนค่ะ แล้วพอที่ที่ 10 ก็ OK เป็นพัฒนาสินที่อยู่ยาวมาเลย ที่อยู่มา 15 ปี แล้วก็ที่นี่ค่ะที่ 11 คือกสิกร

Q  :  ต้องมีความรู้ด้านใดบ้างถึงจะเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ?

A  :  ตอนแรกพี่เริ่มเข้าไป เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่าเราจบ Finance มาแต่เราไม่ชอบเราก็เลยเข้าไปในส่วนของ PR บ้างแล้วก็บุคคลบ้างอยู่แต่ละที่อาจจะไม่ถึงปีค่ะ เพราะว่าในช่วงที่เราเรียนรู้ว่าเราต้องการอะไรมากกว่า แล้วสภาวะช่วงนั้นเป็นช่วงที่หางานง่ายช่วงหลังนี้จะหางานอยาก แล้วเขาจะจำกัดในเรื่องของสถาบันเยอะมาก

Q  :  ถ้าอยากจะเข้ามาทำงานในด้านนี้จะต้องทำยังไงบ้างค่ะ อยากให้ช่วยแนะนำ ?

A  :  เริ่มแรกเลยต้องสอบลายเส้นก่อนไปสอบลายเส้นที่ตลาดหลักทรัพย์ก่อนเขาจะเรียกว่า ซิงเกิลไลน์เส้น มันจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับทางด้าน Marketing เลยถ้าสนใจนะค่ะเข้าเว็ป TSI เขาจะมีเลยว่านัดวันสอบเมื่อไรคือไปสอบแล้วทำข้อสอบเสร็จรู้เลยว่าผ่านหรือไม่ผ่าน คือน้องต้องมีลายเส้นตัวนี้ก่อนแล้วก็จะสามารถไปสมัครที่ไหนก็ได้

 

 

broker4

         สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ พี่สุวภัทร หุตะสิงห์ (พี่อี๊ด) นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่กรุณาสละเวลาให้พวกเรานักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการเงินการธนาคาร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้มีโอกาสสัมภาษณ์ในเรื่องของการทำงานในด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์และรวมถึงคำแนะนำต่างๆ ที่พี่ได้ให้คำแนะนำมาค่ะ

 

broker3

นางสาว สุทิศา เนกขัมม์

images by uppicweb.com
บทวิเคราะห์หุ้น BBL

                กลุ่มอุตสาหกรรม  ;  ธุรกิจธนาคาร

                หมวดธุรกิจ                   ;  ธนาคาร

รูปแบบของเส้นราคา BBL เป็นแบบ Bar Chart   อธิบายดังนี้

  1. 1.         Bullish Flag  ;  เกิดตอนตลาดขาขึ้น  ในลักษณะที่ชัน  แล้วพักตัวประมาณ  3  สัปดาห์  บอกสัญญาณ  Buy  เมื่อตัดแนวต้านขึ้นไป
  2. 2.        Bullish  Rectangle  ;  เกิดตอนตลาดขาขึ้น  สูงใหม่ใกล้เคียงสูงเดิม  ต่ำใหม่ใกล้เคียงต่ำเดิม  บอกสัญญาณ  Buy  เมื่อตัดแนวต้านขึ้นไป

Moving Averages (MA)  เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

  1. 3.        Golden Cross  ;  MA(s)  ตัด  MA(l)  ขึ้นไป  บอกสัญญาณ  Buy 
  2. 4.        เส้น  MA  ที่บอกสัญญาณ Sell  ; เมื่อเส้นราคาตัด MA(s)  ลงไป / นานพอควร
  3. 5.        เส้น  MA  ที่บอกสัญญาณ Buy  ; เมื่อเส้นราคาตัด MA(l)  ขึ้นไป / นานพอควร

Stochastics 

  • เส้น  %K  เป้นเส้น  Stochastics 
  • เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K
  1. 6.        ภาวะการขายมากเกินไป  ;  สัญญาณเตือน  Buy (Oversold) ระดับต่ำกว่า 20% / ควร Buy เมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D  ขึ้นไป 
  2. 7.        ภาวะการซื้อมากเกินไป  ;  สัญญาณเตือน  Sell (Overbought) ระดับสูงกว่า 80% / ควร Sell เมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D  ลงไป
  3. 8.        Bearish  Divergence  ;  เส้นราคา  New height  เส้น Stochastics No height

Relative Strength Index (RSI)  เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

  1. 9.        Top  ;  ยอดสูงสุด เหนือเส้น Overbought (70%)
  2. 10.     Bottom  ;  จุดต่ำสุด  ใต้เส้น  Oversold (30%)
  3. 11.     Bottom Failure swing  ;  ต่ำใหม่สูงกว่าต่ำเดิม
  4. 12.     บอกสัญญาณ  Sell  เมื่อเส้น RSI  ตัดแนว Overbought ลงมา

 

นางสาว สุทิศา เนกขัมม์

บทวิเคราะห์หุ้น BBL

                กลุ่มอุตสาหกรรม  ;  ธุรกิจธนาคาร

                หมวดธุรกิจ                   ;  ธนาคาร

รูปแบบของเส้นราคา BBL เป็นแบบ Bar Chart   อธิบายดังนี้

  1. 1.         Bullish Flag  ;  เกิดตอนตลาดขาขึ้น  ในลักษณะที่ชัน  แล้วพักตัวประมาณ  3  สัปดาห์  บอกสัญญาณ  Buy  เมื่อตัดแนวต้านขึ้นไป
  2. 2.        Bullish  Rectangle  ;  เกิดตอนตลาดขาขึ้น  สูงใหม่ใกล้เคียงสูงเดิม  ต่ำใหม่ใกล้เคียงต่ำเดิม  บอกสัญญาณ  Buy  เมื่อตัดแนวต้านขึ้นไป

Moving Averages (MA)  เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

  1. 3.        Golden Cross  ;  MA(s)  ตัด  MA(l)  ขึ้นไป  บอกสัญญาณ  Buy 
  2. 4.        เส้น  MA  ที่บอกสัญญาณ Sell  ; เมื่อเส้นราคาตัด MA(s)  ลงไป / นานพอควร
  3. 5.        เส้น  MA  ที่บอกสัญญาณ Buy  ; เมื่อเส้นราคาตัด MA(l)  ขึ้นไป / นานพอควร

Stochastics 

  • เส้น  %K  เป้นเส้น  Stochastics 
  • เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K
  1. 6.        ภาวะการขายมากเกินไป  ;  สัญญาณเตือน  Buy (Oversold) ระดับต่ำกว่า 20% / ควร Buy เมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D  ขึ้นไป
  2. 7.        ภาวะการซื้อมากเกินไป  ;  สัญญาณเตือน  Sell (Overbought) ระดับสูงกว่า 80% / ควร Sell เมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D  ลงไป
  3. 8.        Bearish  Divergence  ;  เส้นราคา  New height  เส้น Stochastics No height

Relative Strength Index (RSI)  เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

  1. 9.        Top  ;  ยอดสูงสุด เหนือเส้น Overbought (70%)
  2. 10.     Bottom  ;  จุดต่ำสุด  ใต้เส้น  Oversold (30%)
  3. 11.     Bottom Failure swing  ;  ต่ำใหม่สูงกว่าต่ำเดิม
  4. 12.     บอกสัญญาณ  Sell  เมื่อเส้น RSI  ตัดแนว Overbought ลงมา

 

เนตรนภา เอิบอิ่ม 49473120076

images by uppicweb.com

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน)

( PTT EXPLORATION AND PRODUCTION PUBLIC COMPANY LIMITED )

หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค

กลุ่มอุตสาหกรรม :ทรัพยากร

คำแนะนำการลงทุน

เนื่องจากดูจากกราฟมีแนวโน้มที่อาจจะเป็นไปได้ทางใดทางหนึ่ง ยังไม่มีความแน่นอนว่าน้ำมันจะขึ้นหรือลง   จึงแนะนำให้ถือไว้ก่อน

ความคิดเห็นทางเทคนิค

คำแนะนำ   :   sideway  กรอบ  140-146 บาท

เหตุผล : แนวโน้ม1สัปดาห์ข้างหน้าสัณญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวลักษณะ   sideway  อยู่ในกรอบ  140-146 บาท แนะนำให้ซื้อขายในกรอบที่ตั้งไว้นี้และถ้าดูจากเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์(RSI)มีลักษณะเป็น sideway เนื่องจากอยู่ระหว่าง 30-70 จึงแนะนำให้ถือไว้ก่อน

 

ศิริรัตน์ บุญเจริญรุ่งเรือง รหัส 9473120071 การเงิน-การธนาคาร ปี4

images by uppicweb.com

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : การเงิน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น AIT มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 

จากกราฟจุดที่เส้น MA สั้นตัด MA ยาวขึ้นไป เรียกว่าเรียกว่า “Golden Cross”

-เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้นไป ยืนยันการซื้อ (Buy)

- เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ลงมา ยืนยันการขาย (Sell)

-จากกราฟมีการแยกทางกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ทำให้เกิด Divergence แบบ  Bearish  Divergence 

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

3. RSI (Relative Strength Index) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมาก เกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

สรุป : ในอนาคตหุ้น KBANK ยังสรุปแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงเพราะเส้น RSI มีลักษณะยังไม่ได้ตัดขึ้นไปในเขต  Overbought  และก็ไม่ได้ตัดลงมาในเขต Oversold  จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าเป็นแบบ  Sideway

พรรษสิริ นามมัน รหัส 49473120060

บริษัท ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ ปตท.

กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค

ลักษณะการดำเนินธุรกิจ 

         ประกอบธุรกิจด้านพลังงาน เป็นแห่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติอย่างครบวงจรเพียงรายเดียวในประเทศ ปตท. ทำงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี การสำรวจ กระบวนการผลิต พลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม การใช้งาน ตลอดจนการวิจัยตลาด  จัดจำหน่ายเชื้อเพลิงผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศกว่า 1,400 แห่ง

วิเคราะห์หุ้น PTT

Photobucket

           วิเคราะห์จากทั้ง 4 Indicator แล้ว คิดว่าหุ้น PTT น่าจะมีแนวโน้มลักษณะ Sideway เนื่องจากเส้นราคามีการปรับตัวไปด้านข้าง ไม่แสดงให้เห็นว่า ลงหรือขึ้นอย่างชัดเจน เส้น Slow Stochastic พิจารณาจาก เส้น %K ที่ตัด%D ลงมาซึ่งอยู่ต่ำกว่า 80 แต่ยังไม่แตะ 20 คือ อยู่ระหว่าง 80 กับ 20 ประกอบกับเส้น Relative Strength Index ก็ตัด 70 ลงมา แต่ยังไม่แตะ 30 จึงวิเคราะห์ได้ว่าลักษณะหุ้นของ PTT น่าจะมีแนวโน้มของหุ้นเป็นลักษณะไปด้านข้าง (Sideway) ณ ปัจจุบันนี้  จึงหยุดนิ่ง เพราะยังไม่มีสัญญาณ  ที่จะบอก buy หรือ sell

......................................................................................................................

           

     

 

 

 

 

 

 

สุดาทิพย์ พลับลับโพธิ์ รหัส 49473120090 การเงิน-ธนาคาร ปี4

images by uppicweb.com
กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : การเงิน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น AIT มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จากกราฟจุดที่เส้น MA สั้นตัด MA ยาวขึ้นไป เรียกว่าเรียกว่า “Golden Cross”

-เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้นไป ยืนยันการซื้อ (Buy)

 - เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ลงมา ยืนยันการขาย (Sell)

-จากกราฟมีการแยกทางกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ทำให้เกิด Divergence แบบ Bearish Divergence

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

 - สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

3. RSI (Relative Strength Index) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมาก เกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

 สรุป : ในอนาคตหุ้น KBANK ยังสรุปแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงเพราะเส้น RSI มีลักษณะยังไม่ได้ตัดขึ้นไปในเขต Overbought และก็ไม่ได้ตัดลงมาในเขต Oversold จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าเป็นแบบ Sideway

จิตติมา ดีขุนทด 49473120022

images by uppicweb.com

ptt:บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร

หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค

คำแนะนำในการลงทุน : แนวโมในครึ่งหลังของปีแม้ว่าราคาขายก๊าซจะลดลงจากราคาก๊าซจากแหล่งอาทิตย์มีแนวโน้มปรับลงในช่วงปรับราคาเดือนตุลาคม แต่อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่ปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นชดเชยผลกระทบจากราคาค่าที่ลดลง อุปสงค์ต่อก๊าซและไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศได้เริ่มปรับตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นได้ซื้อขายที่มูลค่าใกล้ราคาเป้าหมายที่ 240 บาทแล้ว ดังนั้นแนะนำให้ "ถือ"

ความคิดเห็นทางเทคนิค

คำแนะนำ : Sideway กรอบ 237 - 239 บาท

เหตุผล : แนวโน้ม 1 สัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวลักษณะ Sideway อยู่ในกรอบ 237 - 239 บาท แนะนำใหซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้

สราพร สิงหพงษ์ 49473120039

images by uppicweb.com

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม การเงิน

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

ลักษณะการดำเนินธุรกิจ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกอบกิจการหลัก คือ การรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ และการบริการด้านอื่นๆบริการธนาคารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการด้านการโอนเงินภายในประเทศ บริการด้านปริวรรตและเงินโอนต่างประเทศ บริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ด้านการค้าต่างประเทศ “Krungsri Trade Link” บริการหัก/เข้าบัญชีอัตโนมัติ บริการด้านวาณิชธนกิจ บริการด้านธุรกิจหลักทรัพย์ บริการบริหารเงินสด บริการซื้อขายเงินตราต่างประทศล่วงหน้าและเครื่องมือทางการเงินด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยบริการด้านพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ

วิเคราะห์หุ้น BAY

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น BAY มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

คำแนะนำในการลงทุน

สรุปได้ว่า ปัจจุบันราคาของหุ้น bayอยู่ที่ราคา 18.90 ซึ่งราคาคลาดว่าน่าจะลดลงอีกอนาคตหุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง หุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลงอีกดูจากการวิเคราะห์จากเครื่องมือต่างๆ เช่น เส้น RSI ตัดเส้น overbought ลงมา มีภาวะการณ์ซื้อมากเกินไป บอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70 % และยังมีVolumeที่เพิ่มขึ้นมาสนับสนุนการขายอีกด้วย

สราพร สิงหพงษ์ 49473120039

images by uppicweb.com

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม การเงิน

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

ลักษณะการดำเนินธุรกิจ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกอบกิจการหลัก คือ การรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ และการบริการด้านอื่นๆบริการธนาคารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการด้านการโอนเงินภายในประเทศ บริการด้านปริวรรตและเงินโอนต่างประเทศ บริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ด้านการค้าต่างประเทศ “Krungsri Trade Link” บริการหัก/เข้าบัญชีอัตโนมัติ บริการด้านวาณิชธนกิจ บริการด้านธุรกิจหลักทรัพย์ บริการบริหารเงินสด บริการซื้อขายเงินตราต่างประทศล่วงหน้าและเครื่องมือทางการเงินด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยบริการด้านพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ

วิเคราะห์หุ้น BAY

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น BAY มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

คำแนะนำในการลงทุน

สรุปได้ว่า ปัจจุบันราคาของหุ้น bayอยู่ที่ราคา 18.90 ซึ่งราคาคลาดว่าน่าจะลดลงอีกอนาคตหุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง หุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลงอีกดูจากการวิเคราะห์จากเครื่องมือต่างๆ เช่น เส้น RSI ตัดเส้น overbought ลงมา มีภาวะการณ์ซื้อมากเกินไป บอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70 % และยังมีVolumeที่เพิ่มขึ้นมาสนับสนุนการขายอีกด้วย

สมจิตร ประมาพงค์ 49473120086

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากภาพ hi5 เว็บไซต์สำเร็จรูป เสื้อผ้าแฟชั่น

  

กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร 

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค 

คำแนะนำการลงทุน

               นักลงทุนสามารถคาดการณ์ค่าการกลั่นน้ำมันได้จากปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันโดยตรง เช่น ความตึงเครียดทางการเมือง การปิดซ่อมโรงกลั่นน้ำมัน เฮอร์ริเคน และการปรับลดกำลังการผลิต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกไม่เพียงพอกับความต้องการ และส่งผลต่อเนื่องให้ค่าการกลั่นปรับสูงขึ้นตาม

                 ก่อนหน้านี้ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) มีรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเกือบ 100% โดยมีรายได้จากบริษัทย่อยเพียงเล็กน้อย แต่ในระยะหลัง TOP กระจายการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยถือหุ้นผ่านบริษัทย่อยในธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทย่อยมีอัตราการเติบโตทางธุรกิจค่อนข้างดี และสร้างกำไรให้กับ TOP เพิ่มขึ้นจนสร้างกำไรคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 57% ของกำไรทั้งหมด ขณะที่กำไรจากโรงกลั่นน้ำมันลดลงเหลือเพียง 43% เท่านั้น โดยการที่ TOP มีธุรกิจอื่นเข้ามาเสริม จะช่วยกระจายฐานรายได้ได้ดี และสามารถลดความผันผวนของค่าการกลั่นลงไปได้อีกด้วย

 

 

ความคิดเห็นทางเทคนิค

คำแนะนำ : ถ้านักลงทุนมีหุ้น top อยู่ก็ควรที่จะเตรียมการขาย

เหตุผล : เนื่องจากการปรับตัวของราคามีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีภาวะการซื้อมากเกินไปโดยยืนยันได้จาก VOLUME ที่เพิ่มขึ้นมาก และ มีดัชนีการแกว่งตัวของราคา(%Kและ%D)ทะลุผ่าน80ขึ้นไป และถ้าจะดูจากเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์(RSI) ก็ทะลุผ่าน70ขึ้นไป ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเขต Overbought (ที่มีภาวะการซื้อที่มากเกินไป) จึงควรที่จะมีการเตรียมพร้อมที่จะขายเมื่อเส้นราคาตัดเส้นMAลงมา เส้น%Kตัด%D ลงมา ดังนั้นจึงแนะนำให้เตรียมขาย

 

 

นางสาวนิษา สังข์สำราญ 49473120017

 

 

 

Photobucket

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

 THE SIAM COMMERCIAL BANK PUBLIC COMPANY LIMITED (SCB)

กลุ่มอุตสาหกรรม :: ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ :: ธนาคาร

 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น มี 4 Indicator คือ

 

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

 

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

 

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 

สรุปการวิเคราะห์กราฟ SCB

 

     เนื่องจากดูจากสถานการณ์กราฟของธนาคารไทยพาณิชย์ในตอนแรกหุ้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีการขึ้นในลักษณะที่ชันแล้วหลังจากนั้นก็มีการปรับตัวลดลงในลักษณะที่ชั้นคล้ายรูปตัว v Bottom เช่นกัน หลังจากที่ปรับตัวลดลงแล้วก็มีการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆจนถึง85.0 และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง จึงแนะนำให้ผู้ถือหุ้น scb ขายหุ้น

 

     เหตุผล SCB มีแนวโน้มของหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกจะมีVolume ที่สูง หลังจากนั้นมีการปรับตัวลดลงตามลำดับ ซึ่งดูจากการปรับตัวของเส้น MA สั้นได้ตัดเส้นMAยาวขึ้นไป จนถึง83บาทและเริ่มที่จะมีการปรับตัวลดลง ถ้าดูจากเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ ( RSI ) เส้นRSIมีการปรับตัวขึ้นสูงกว่า70% และมีการปรับตัวลดลงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีที่หุ้นจะมีแนวโน้มขาลง ประกอบกับการปรับตัวของราคาหุ้นเปลี่ยนจากขาขึ้นแล้วปรับตัวเป็นขาลง จึงแนะนำให้ผู้ถือหุ้นของSCB “ขายหุ้น

 

นายวสันต์ พิหูสูตร รหัส 49473120006

images by uppicweb.com

 จากการวิเคราะห์หุ้น AIT ทั้ง 4 Indicator จะมีแนวโน้มเป็นแบบ Sideway โดยที่ RSI ไม่เข้าอยู่ในเขต Overbought และ Oversold จึงสรุปการวิเคราะห์ได้ว่า หุ้นของ AIT มีลักษณะมีแนวโน้มเป็น Sideway จึงไม่สามารถบอกสัญญาณ Buy หรือ Sell  ได้

นางสาวศรีสุภางค์ แก้วผ่อง 49473120037

 

 

 

 

 

 

images by uppicweb.com

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

(PTT PUBLIC COMPANY LIMITED)

 กลุ่มอุตสาหกรรม : ทรัพยากร (RESOURC)

 หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)

 

 บทวิเคราะห์หุ้น PTTEP เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น PTTEP มี 4 Indicator ดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 - เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

- เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ลง ยืนยันการซื้อ (Sell)

- เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ

 - Negative Divergence คือ เส้นราคาทำ new hight แต่ เส้น RSI ไม่ทำ new hight

จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ

-Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 % และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเดิม

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากการวิเคราะห์กราฟสรุปได้ว่า 

     :  อนาคตหุ้น PTT ยังสรุปแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงเพราะเส้น RSI มีลักษณะยังไม่ได้ตัดขึ้นไปในเขต  Overbought  และก็ไม่ได้ตัดลงมาในเขต Oversold  จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าเป็นแบบ  Sideway รูปแบบของราคาที่ไปด้านข้าง  หุ้น PTT  ณ ปัจจุบันนี้  จึงหยุดนิ่ง เพราะยังไม่มีสัญญาณ  ที่จะบอก buy   หรือ sell โดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์มาใช้ในการตัดสินใจ

น.ส.อรัญญา นันทพรสิริพงศ์ รหัส 49473120038

วิเคราะห์หุ้น

Photobucket

กลุ่มอุตสาหกรรม :  ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ: ธนาคาร

บทวิเคราะห์หุ้น KBank

     เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น KBank มี 4 Indicator ดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

      1.1 เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

      1.2 เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

      จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

      - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

     - สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

      จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

      จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold - สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

      1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

      2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

      3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

 - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

      1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

      2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

      3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)   

      จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ  Negative Divergence

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

      Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

      สรุป ในอนาคตหุ้น KBank มีแนวโน้มขึ้น ควรเตรียมที่จะขายหุ้นตัวนี้ เพราะดูจาก RSI บอกสัญญาณขึ้นที่ระดับ 70% หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ จึงควรเตรียมที่จะขาย

นางสาวทัศนีย์ ภูศรีฤทธิ์ รหัส 49473120015

images by uppicweb.com
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : ธนาคาร

ความคิดเห็นทางเทคนิค

คำแนะนำ : Sideway กรอบ 117 - 119 บาท

เหตุผล : แนวโน้ม 1 สัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวลักษณะ Sideway  อยู่ในกรอบ 117 - 119 บาท แนะนำให้ "ถือ" หรือถ้าจะซื้อขาย ควรซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้ ประกอบกับการดูจากเส้น RSI ซึ่งเป็นไปในทิศทางแบบ Sideway

นางสาวจิราวรรณ ใจประสิทธิ์ รหัส49473120004

images by uppicweb.com

หุ้น  TOP

กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค

บทวิเคราะห์หุ้น  TOP

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น   TOP   มี 4 Indicator ดังนี้

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

-เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

-เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)บอกสัญญาณ  buy

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

          จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

 - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

 Divergence Stochastics

          จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence ในช่วงระหว่าง20/05เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

         จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

 - สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

          Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

สรุปผลการวิเคราะห์  

        เนื่องจากการปรับตัวของราคามีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีภาวะการซื้อมากเกินไปโดยยืนยันได้จาก VOLUME ที่เพิ่มขึ้นมาก และ มีดัชนีการแกว่งตัวของราคา(%Kและ%D)ทะลุผ่าน80ขึ้นไป และถ้าจะดูจากเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์(RSI) ก็ทะลุผ่าน70ขึ้นไป ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเขต Overbought (ที่มีภาวะการซื้อที่มากเกินไป) จึงควรที่จะมีการเตรียมพร้อมที่จะขายเมื่อเส้นราคาตัดเส้นMAลงมา เส้น%Kตัด%D ลงมา ดังนั้นจึงแนะนำให้เตรียมขาย

นางสาวศิริทิพย์ ร่มโพธิ์ภักดิ์ รหัส 49473120040

images by uppicweb.com

GMM Grammy Public Company Limited

กลุ่มอุตสาหกรรม : บริการ

หมวดธุรกิจ : สื่อและสิ่งพิมพ์

ความคิดเห็นทางเทคนิค

คำแนะนำ : Sideway กรอบ 12.5 - 13.5 บาท

เหตุผล : แนวโน้ม 1 สัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวลักษณะ Sideway อยู่ในกรอบ 12.5 - 13.5 บาท แนะนำให้ "ถือ" หรือถ้าจะซื้อขาย ควรซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้ ประกอบกับการดูจากเส้น RSI ซึ่งเป็นไปในทิศทางแบบ Sideway

นางสาววรรณพร ภู่สุวรรณ์ รหัส 49473120042 การเงินการธนาคาร ปี4

ESSO (THAILAND) PUBLIC COMPANY LIMITED

กลุ่มอุตสาหกรรม : ทรัพยากร (RESOURC)

หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)

 

Photobucket

บทวิเคราะห์หุ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น ESSO 4 Indicator ดังนี้

 1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

- เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

- เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ลง ยืนยันการซื้อ (Sell)

 - เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

 2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20%

จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

 - สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

 - สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

 1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

 3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

 1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ

 - Negative Divergence คือ เส้นราคาทำ new hight แต่ เส้น RSI ไม่ทำ new hight จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ

 -Top Failure Swing เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 % และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเดิม

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากการวิเคราะห์กราฟสรุปได้ว่า : อนาคตหุ้น ESSO อาจจะมีการปรับตัวลงเล็กน้อย เนี่องมาจากความผันผวนทางด้านราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ก็จะเป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้นจะมีความผันผวนได้ตลอดเวลา ขึ้นเร็วลงเร็ว แต่ถ้าพิจารณาจากกราฟในขณะนี้ควรจะขายหุ้นตัวนี้เพื่อทำกำไรเนื่องจาก เส้น slowstocastic และเส้น RSI นั้นอยู่ใกล้เขต OVERSOLD

นางสาวนพรัตน์ เสมอตระกูล รหัส 49473120041 การเงินการธนาคาร ปี4

บทวิเคราะห์ BANK OF AYUDHYA PUBLIC COMPANY LIMITED หมวดธุรกิจ ธนาคาร กลุ่มอุตสาหกรรม การเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

Photobucket

บทวิเคราะห์หุ้น BAY

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น BAY มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

 3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย บทวิเคราะห์หุ้น BAY

 จากกราฟหุ้นของ BAY วิเคราะห์ได้ดังนี้ คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 • เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy)

• เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

 • การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ Stochasticsในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ Stochasticsไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ ถือเป็นสัญญาณขาย

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 27/03 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (buy)

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20%

จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

 - สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

 2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน 3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง 1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI)

จากกราฟแสดงให้เห็นว่าไม่มีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ Positive Divergence และ Negative Divergence จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Bottom Failure Swingเกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเก่า

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, Stochastics และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, Stochastics และ RSI เอาราคามาคำนวณ - หุ้นBAY ควรซื้อหรือไม่

สรุปได้ว่า อนาคตหุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง เพราะ RSI ตัดเส้น overbought ลงมา มีภาวะการณ์ซื้อมากเกินไป บอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70 % ลงมา ก็คือ หุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลงอีกค่ะ

หมายเหตุ วงกลมสีดำ Divergence Stochastics กับแผนภูมิราคา วงกลมสีส้ม เป็นการบอก Buy เมื่อราคาตัด ma สั้นขึ้นไป วงกลมสีเขียว คือ การตัดกันของ MA สั้น กับ MA ยาว ที่จุด “Golden Cross” บอกสัญญาณการซื้อ (buy) วงกลมสีชมพู คือการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Bottom Failure Swingเกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่ใต้เส้น 30 % และยอดต่ำใหม่อยู่สูงกว่ายอดต่ำเก่า วงกลมสีแดง คือ Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume เพิ่มยืนยันการขึ้นของหุ้น

น.ส.พนิดา ศรีสกุล รหัส 49473120002 เอกการเงิน-การธนาคาร

 

                                     บทวิเคราะห์หุ้น

 

&#3585;&#3619;&#3634;&#3615;

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ: ธนาคาร

บทวิเคราะห์หุ้น KBANK

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น KBank มี 4 Indicator ดังนี้

     1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 

         1.1 เส้นราคาตัดเส้น MA สั้น ขึ้น ยืนยันการซื้อ (Buy) 

         1.2 เส้น MA สั้น ตัดเส้น MA ยาวขึ้น เกิดจุดตัดเรียกว่า “Golden Cross” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล (Bull Market)

     2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น Stochastics และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %Kเส้น overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (buy) /ขาย (sell) ได้ดังนี้ - สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป - สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น Stochastics เข้าเขต overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป Divergence Stochastics จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ ในกราฟStochasticsเกิด Divergence เป็นแบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ Stochastics ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (sell) คือ ราคา new high Stochastics ไม่ new high บอกสัญญาณขาย (sell)

     3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ oversold

สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ 

         1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

         2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

         3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน 

 สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

         1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน 

         2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

         3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน Divergence Relative Strength Index (RSI) จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI คือ Negative Divergence

     4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นVolume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการขึ้นของหุ้น เมื่อราคาลด Volume ก็จะเพิ่ม เพื่อยืนยันการลงของหุ้น Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

 

          สรุป ในอนาคตหุ้น KBank มีแนวโน้มขึ้น ควรเตรียมที่จะขายหุ้นตัวนี้ เพราะดูจาก RSI บอกสัญญาณขึ้นที่ระดับ 70% หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ จึงควรเตรียมที่จะขาย

            น.ส.พนิดา  ศรีสกุล  รหัส  49473120002   เอกการเงิน - การธนาคาร

นางสาวศิรินภา สุขแก้ว 49473120088

images by myuppic.com

TRUE : บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม : เทคโนโลยี

หมวดธุรกิจ : เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

คำแนะนำในการลงทุน

        บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE)คาดผลการดำเนินงานปี 52 น่าจะฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันค่า Interconnection Charge(IC)กลับมาที่จุดคุ้มทุนแล้ว จากที่เคยเป็นรายจ่ายสุทธิ ซึ่งในปีนี้ TRUE น่าจะมี EBITDA เติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 19,200-19,790 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 51 ที่มีกว่า 18,000 ล้านบาทและยังมีประเด็นในเรื่องกำลังหาพันธมิตรต่างชาติอยู่ ซึ่ง TRUE คงจะเปิดทางให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย เพราะต้องการเงินลงทุนในธุรกิจ 3G และพันธมิตรที่จะเข้ามาคงจะมาช่วยทำธุรกิจ 3G ด้วย ทั้งนี้ พันธมิตรที่จะมาก็น่าจะมาซื้อหุ้น TRUE ในราคาที่สูงกว่าราคาบนกระดานเทรดหลัก

         อย่างไรก็ดี ขณะนี้ TRUE ยังมีปัญหาในเรื่องเงินลงทุนในธุรกิจ 3G ซึ่งมองว่า TRUE จะต้องเร่งในการหาเงินทุนอย่างรวดเร็ว โดยทางออกน่าจะทางออก คือ การหาพันธมิตรใหม่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อตกลงใด ๆและ อีกทางเป็นเรื่องของการเพิ่มทุน

 ความคิดเห็นทางเทคนิค

       ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่คาดว่าจะจะมีการปรับตัวลดลงในระยะสั้นเท่านั้น โดยมีเป้าหมายทดสอบแนวรับที่ระดับ 3 บาทเป็นจังหวะซื้อทำกำไร โดยมีรูปแบบราคาในระยะกลางกลับมาเคลื่อนไหวในลักษณะ sideways และมีแนวต้านที่สำคัญที่บริเวณ 3.75 เป็นจุดขายกลับ

น.ส.เจษฎาภรณ์ วงศ์วุฒิ รหัส 49473120083 เอกการเงิน-การธนาคาร

                                        บทวิเคราะห์หุ้น

 

Photobucket

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม การเงิน หมวดธุรกิจ ธนาคาร

ลักษณะการดำเนินธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

 

ประกอบกิจการหลัก คือ

          การรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ และการบริการด้านอื่นๆบริการธนาคารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการด้านการโอนเงินภายในประเทศ บริการด้านปริวรรตและเงินโอนต่างประเทศ บริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ด้านการค้าต่างประเทศ “Krungsri Trade Link” บริการหัก/เข้าบัญชีอัตโนมัติ บริการด้านวาณิชธนกิจ บริการด้านธุรกิจหลักทรัพย์ บริการบริหารเงินสด บริการซื้อขายเงินตราต่างประทศล่วงหน้าและเครื่องมือทางการเงินด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยบริการด้านพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ

 

วิเคราะห์หุ้น BAY

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น BAY มี 4 Indicator คือ

     1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

     2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

     3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

     4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย คำแนะนำในการลงทุน

 

               

             สรุปได้ว่า วิเคราะห์จากทั้ง 4 Indicator แล้ว คิดว่าหุ้น BAY ปัจจุบันราคาคาดว่าน่าจะลดลงอีกอนาคตหุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง หุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลงอีกดูจากการวิเคราะห์จากเครื่องมือต่างๆ เช่น เส้น RSI ตัดเส้น overbought ลงมา มีภาวะการณ์ซื้อมากเกินไป บอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70 % และยังมีVolumeที่เพิ่มขึ้นมาสนับสนุนการขายอีกด้วย หรือเราจะดูเส้น Stochastics ด้วยก็ได้

 

         น.ส.เจษฎาภรณ์  วงศ์วุฒิ  รหัส  49473120083  เอกการเงิน-การธนาคาร

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากภาพ hi5 เว็บไซต์สำเร็จรูป เสื้อผ้าแฟชั่น

บทวิเคราะห์หุ้น

Krung Thai Bank

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

http://www.temppic.com/img.php?27-09-2009:1254057088_0.48494900.jpg

กลุ่มอุตสาหกรรม ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น KTB มีดังนี้

1. MOVING AVERAGES (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. STOCHASTICS ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

ฉะนั้นเราจะใช้เครื่องมือทั้ง 4 ตัวนี้ทำการวิเคราะห์หุ้น KTB

บทวิเคราะห์หุ้น KTB

จากกราฟหุ้นจะเห็นว่าเกิดลักษณะของจุดตัดที่เรียกว่า Golden cross คือ สัญญาณซื้อ (Buy) เกิดขึ้นเมื่อ เส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป ซึ่งแสดงถึงตลาด (Bull)

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 27/04 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (Buy)

จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K

เส้น Overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ Oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) และภาวะการซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และ

ควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%

และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) คือ ราคา New High STOCHASTICS ไม่ New High บอกสัญญาณขาย (Sell)

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป

(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI ในกราฟเกิด Divergence แบบ Negative Divergence เกิดตอนตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น เมื่อเกิดลักษณะการเคลื่อนที่แยกทางกัน Divergence โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาใหม่ขึ้นสูงกว่ายอดสูงของราคาเก่า แต่ RSI ยอดใหม่ อยู่ต่ำกว่า RSI ยอดเก่า ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน แล้วจะปรับตัวลงมาตาม RSI คือเส้นราคา New High แต่ RSI ไม่ New High บอกสัญญาณ Sell

จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Top Failure Swing และ Bottom Failure Swing

จากกราฟเส้น STOCHASTICS เป็นแบบ Bearish Divergent

จากกราฟ Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น หากปริมาณการซื้อขายมาก Volume ก็จะเพิ่ม หากปริมาณการซื้อขายลดลง Volume ก็จะเพิ่ม Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, STOCHASTICS และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, STOCHASTICS และ RSI เอาราคามาคำนวณ

สรุปได้ว่าในอนาคตหุ้น KTB เป็นรูปแบบ SIDEWAYS คือจะไปได้ทางใดทางหนึ่ง เพราะ RSI ไม่ตัดเส้น Overbought ที่บริเวณระดับ 70% และไม่ตัดเส้น Oversold ที่บริเวณระดับ 30% เพราะ RSI อยู่ระหว่างบริเวณระดับ Overbought 70% และ Oversold 30% ดังนั้นเราควรรอดูอีกซักระยะหนึ่ง เพราะในอนาคตหุ้นของ KTBอาจจะมีการปรับตัวของราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้

 

 

 

วริศรา สวนสุข รหัส 49473120080

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากภาพ hi5 เว็บไซต์สำเร็จรูป เสื้อผ้าแฟชั่น

บทวิเคราะห์หุ้น

Krung Thai Bank

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

http://www.temppic.com/img.php?27-09-2009:1254057088_0.48494900.jpg

กลุ่มอุตสาหกรรม ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น KTB มีดังนี้

1. MOVING AVERAGES (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. STOCHASTICS ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

ฉะนั้นเราจะใช้เครื่องมือทั้ง 4 ตัวนี้ทำการวิเคราะห์หุ้น KTB

บทวิเคราะห์หุ้น KTB

จากกราฟหุ้นจะเห็นว่าเกิดลักษณะของจุดตัดที่เรียกว่า Golden cross คือ สัญญาณซื้อ (Buy) เกิดขึ้นเมื่อ เส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไป ซึ่งแสดงถึงตลาด (Bull)

จากกราฟหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 27/04 ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้น MA มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้น MA และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ (Buy)

จากกราฟหุ้นจะเห็นได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K

เส้น Overbought อยู่ที่ระดับ 80% และ Oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) และภาวะการซื้อ (Buy) /ขาย (Sell) ได้ดังนี้

- สัญญาณเตือนซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Oversold ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และ

ควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณซื้อจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป

- สัญญาณเตือนขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต Overbought ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80%

และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณขายจากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลงไป

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS ในกราฟเกิด Divergence แบบ Bearish Divergence คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ถือเป็นสัญญาณขาย (Sell) คือ ราคา New High STOCHASTICS ไม่ New High บอกสัญญาณขาย (Sell)

จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป

(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ Overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

- สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง คือ

1. เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน

- สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

1. เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน

2. เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน

3. เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน

จากกราฟแสดงให้เห็นว่ามีการแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI ในกราฟเกิด Divergence แบบ Negative Divergence เกิดตอนตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น เมื่อเกิดลักษณะการเคลื่อนที่แยกทางกัน Divergence โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาใหม่ขึ้นสูงกว่ายอดสูงของราคาเก่า แต่ RSI ยอดใหม่ อยู่ต่ำกว่า RSI ยอดเก่า ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน แล้วจะปรับตัวลงมาตาม RSI คือเส้นราคา New High แต่ RSI ไม่ New High บอกสัญญาณ Sell

จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Top Failure Swing และ Bottom Failure Swing

จากกราฟเส้น STOCHASTICS เป็นแบบ Bearish Divergent

จากกราฟ Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น หากปริมาณการซื้อขายมาก Volume ก็จะเพิ่ม หากปริมาณการซื้อขายลดลง Volume ก็จะเพิ่ม Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

จากกราฟเราสามารถนำเส้น MA, STOCHASTICS และ RSI มาคำนวณได้ว่าในอนาคตหุ้นจะมีแนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง เส้น MA, STOCHASTICS และ RSI เอาราคามาคำนวณ

สรุปได้ว่าในอนาคตหุ้น KTB เป็นรูปแบบ SIDEWAYS คือจะไปได้ทางใดทางหนึ่ง เพราะ RSI ไม่ตัดเส้น Overbought ที่บริเวณระดับ 70% และไม่ตัดเส้น Oversold ที่บริเวณระดับ 30% เพราะ RSI อยู่ระหว่างบริเวณระดับ Overbought 70% และ Oversold 30% ดังนั้นเราควรรอดูอีกซักระยะหนึ่ง เพราะในอนาคตหุ้นของ KTBอาจจะมีการปรับตัวของราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลง

 

 

ประภาพรรณ เรืองทอง 49473120027

123

 

Land & House  

บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด มหาชน

กลุ่มอุตสาหกรรม :  อสังหาริมทรัพย์ 

หมวดธุรกิจ :  พัฒนาอสังหาริมทรัพย์         

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น LH มีดังนี้

- MOVING AVERAGES (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

จากกราฟหุ้นจะสังเกตได้ว่าเมื่อเส้น MA สั้นตัดเส้น MA ยาวขึ้นไปจะเกิดลักษณะของจุดตัดที่เรียกว่า Golden cross เป็นสัญญาณซื้อ (Buy) เกิดขึ้นเมื่อ ซึ่งแสดงถึงตลาดขาขึ้น (Bull)

- STOCHASTICS ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

                จากกราฟหุ้นจะสังเกตได้ว่าเส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS และเส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K   เส้น overbought จะอยู่ที่ระดับ 80% และ oversold อยู่ที่ระดับ 20% จากกราฟเราสามารถบอกภาวะเตือนซื้อ (Buy) และขาย (Sell) ได้ดังนี้

                จะเกิดสัญญาณการขายเมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D ลงมา ที่เขต Overbought และจะเกิดสัญญาณการซื้อเมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป ที่เขต Oversold

- RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

                จากกราฟ RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้นเพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป

(Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ overbought และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ Oversold

จากกราฟดูการเหวี่ยงตัวของ RSI แล้วมีการเกิด Failure Swing คือ Top Failure Swing เกิดขึ้น เมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 และยอดสูงใหม่อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเก่า โดย Top Failure Swing จะสมบูรณ์เมื่อเส้น RSI เคลื่อนที่จากจุดยอดลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่อยู่ระหว่างยอดสูงทั้งสอง

- VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

                จากกราฟ Volume คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น หากปริมาณการซื้อขายมาก Volume ก็จะเพิ่ม หากปริมาณการซื้อขายลดลง Volume ก็จะเพิ่ม Volume เอาปริมาณการซื้อขายมาคำนวณ

                จากกราฟข้างต้นนั้นสรุปได้ว่าหุ้น LH มีแนวโน้มที่จะลงเนื่องจากเส้น RSI กำลังเข้าเขต Oversold ซึ่งบ่งบอกถึงหุ้นแนวโน้มขาลงแนะนำให้ผู้ลงทุนชะลอการซื้อหุ้น LH และรอให้เส้น RSI ตัด Oversold ลงเพื่อให้นักลงทุนเตรียมที่จะซื้อ แล้วรอเส้น RSI ตัด Oversold ขึ้นก่อนถึงจะควรซื้อทันที

 

นายสัญชัย สุวรรณวงค์ รหัส 49473120072

images by uppicweb.com
บทวิเคราะห์หุ้น True

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น True มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

 4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

บทวิเคราะห์หุ้น True

 Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (MAสั้น) บริเวณ 3.5 บาท การแกว่งตัวเปลี่ยนเป็นขาลงในระยะ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า แนะนำขายหากราคาปรับตัวขึ้นเกินที่ให้ไว้ที่ 3.5 บาท

Slow Stochastic ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา จะเห็นได้ว่า เส้น %K และ %D อยู่บริเวณระดับsideway คือไม่เกิน 80% และไม่ต่ำกว่า 20%

RSI เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ จากภาพ จะเห็นได้ว่า เส้น RSI อยู่ต่ำกว่า70% ซึ่งอยู่ในเขตSideway

สรุป ในอนาคตแนวโน้มของหุ้นTrue มีแนวโน้มขึ้นเพราะดูจากปริมาณการซื้อขายหุ้นที่สูงขึ้น หุ้นทรู จะมีการปรับขึ้นราคาไปอยู่ที่3.5 บาทอีกครั้งอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ บริษัททรูเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินเป็นบริษัทที่ควรลงทุนเป็นอย่างมาก

นางสาวสุขศิริ อาสา รหัส 49473120074

images by uppicweb.com

 

    กำไรปี 2552-2553 ปรับเพิ่มขึ้น 15-30%: เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นสำหรับแนวโน้มของ BANPU เนื่องจากแนวโน้มราคาถ่านหิน และจากกำไรจำนวนมากจาก forward coal obligations ซึ่งจะชดเชยผลกระทบที่เกิดจากราคาถ่านหินในเอเชียที่หดตัว ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มประมาณการ EPS ปี 2552 ขึ้น 30% เป็น 41.97 บาทและปรับขึ้น 15% เป็น 30.10 บาท <ข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ  ออนไลท์>

       บทวิเคราะห์หุ้น BANPU ตามกราฟมีแนวโน้มลดลง เพราะ RSI กำลังจะตัดเส้น oversold ลงมา มีภาวะการณ์ขายมากเกินไป  <Volume เพิ่ม> บอกสัญญาณเตือนขาย และดูจากเส้น Slow ลักษณะที่กำลังปรับราคาลงมาเรื่อยๆ เตือนขายเช่นกัยเมื่อเส้น %Kตัด%Dลงในเขต Over bought ดังนั้นเราควรขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะต้องมีปรับตัวด้านราคาที่ลดลงอีกสรุปว่าหุ้น BANPU ยังไม่ควรที่จะลงทุนที่จะซื้อแต่ควรที่จะขายหุ้น BANPU แทนโดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ในการตัดสินใจ  นอกจากนี้ควรคิดเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุนทุกครั้ง

นางสาวจิราพร วงศ์วุฒิ 49473120085

images by uppicweb.com

กลุ่มอุตสาหกรรม               อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

หมวดธุรกิจ                          พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

    

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น  LH มีดังนี้

1. MOVING AVERAGES (MA)  เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที

2. STOCHASTICS  ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

3. RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI)  เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. VOLUME (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

 

คำแนะนำการลงทุน

LH : แนวโน้มกำไรจะอยู่ในขาลง

  เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2551-2553 ในอัตรา 9%, 12% และ 8% ตามลำดับเพื่อสะท้อนอุปสงค์ที่อยู่อาศัยที่อ่อนตัวลงกว่าคาด โดยรายได้ใน 4Q51 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.4 พันล้านบาทแม้จะมีส่วนแบ่งรายได้เกือบ 1 พันล้านบาทจากโครงการคอนโดมิเนียมสองโครงการ (THE BANGKOK SATHORN-TAKSIN 800 ล้านบาทและ THE ROOM SUKHUMVIT 64 200 ล้านบาท) ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากรายได้ของโครงการแนวราบที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (FIGURE 1&2) ดังนั้นเพื่อคงมุมมองเชิงอนุรักษนิยม

อย่างไรก็ตาม เรายังคงเชื่อว่ารายได้จะทยอยเข้ามาแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งของไทยและทั่วโลก ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ LH ใช้นโยบายการบริหารสินค้าคงเหลือให้อยู่ในระดับต่ำ (บริหารเป็น 2 เดือนจากเดิม 3 เดือน) และตั้งงบลงทุนแบบอนุรักษนิยม

ความคิดเห็นทางเทคนิค

สรุป  อนาคตของหุ้น LH เป็นรูปแบบSIDEWAYS ที่เกิดตอนตลาดขาลงโดยดูได้จาก เส้นราคาตัดเส้น MA สั้นลงมา และการแกว่งตัวก็อยู่ในช่วง SIDEWAYS เหมือนกัน คือ เส้น %K ตัด %D ลงมาแล้ว  แต่ยังไม่เข้าเขต Oversold (การขายมากเกินไป) และเครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ ก็ยังไม่ตัด 70 ขึ้นไป  และ 30 ลงมา  เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรที่จะชะลอการซื้อไว้ เพื่อที่จะซื้อในอนาคต แต่ผู้ที่มีหุ้น LH อยู่ก็ควรที่จะรีบขาย

นาย ชัยวัฒน์ จันทสนธิ์ รหัส 49473120077

images by uppicweb.com

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น มี 4 Indicator คือ

1. Moving Averages (MA) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

2. Stochastics ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

 3. Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์

4. Volume (VOL) ปริมาณการซื้อขาย

บทวิเคราะห์

 บทวิเคราะห์บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH) ต้องถือว่า LH เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ โดยมีอัตราส่วนของหนี้สินต่อกองทุนสุทธิ (Net D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า และมีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยสูง โดยมีอัตราส่วน ความสามารถจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio ) สูงถึง 52 เท่า ในขณะเดียวกันยังคาดการณ์ได้ว่ายอดขายของLH จะเติบโต 13 %และซัพพลายที่ค่อยๆลด ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่โดยเฉพาะ LH มีอำนาจต่อรองลูกค้ามากขึ้น เราจึงคาดว่าจะได้เห็น LH ค่อยๆปรับราคาขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนมุมในแง่การลงทุนหุ้น LH นั้น ยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะเงินปันผล อัตราที่สูงถึง 8%  จึงแนะนำว่าควรถือ

 

images by myuppic.com

ดูจากเส้น RSI มีแนวโน้มที่จะขึ้น และเส้นราคาที่เพิ่มขึ้นด้วย คาดว่าหุ้นตัวนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น จึงแนะนำให้"ถือ" คาดว่าหุ้นตัวนี้จะมีความเสี่ยงต่ำในช่วงขาลง เพราะว่ารัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้น เศรษฐกิจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง และหุ้นตัวนี้จะฟื้นตัวเมื่อเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวขึ้น

พวงเพ็ชร กะการดี 49473120084

ลืมใส่รหัสค่ะ

ประภาพรรณ เรืองทอง 49473120027
อาจารย์ส่งแก้นะค่ะ

123

Land & House บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด มหาชน
กลุ่มอุตสาหกรรม : อสังหาริมทรัพย์
หมวดธุรกิจ : พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
บทวิเคราะห์หุ้น LH
กำไรสุทธิไตรมาสที่2/52 มีจำนวน 1,103 ล้านบาทโตถึง 71% โดยมีผลการประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดเติบโตเทียบเท่ากับไตรมาสที่ 1/ 52 โดยช่วงไตรมาสที่ 3/52 ยังมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมอีก 1,000 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสที่ 4/52 จะมีผู้บริโภคตัดสินใจซื้อและเร่งโอนมากขึ้น จึงแนะนำให้ถือราคาเป้าหมายที่ 5.7 บาท แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาเป้าหมายที่คาดไว้

น.ส. อัญชลี อำพันพงษ์ รหัส 49473120089 เอกการเงิน - การธนาคาร

                                            แก้ไขเพิ่มเติม

 

ความคิดเห็นทางเทคนิค 

 

          คำแนะนำ:  ขาย  ถ้าเส้นราคาหลุดแนวรับที่  400 บาท ลงมา

          เหตุผล:   BANPU ในอนาคตมีแนวโน้มปรับตัวลง  และถ้าเส้นราคาหลุดแนวรับที่  400  บาทลงมา  แนะนำให้ขาย  เพราะหุ้นขึ้นสูงมาเป็นระยะเวลายาวนาน  โดยดูจากเส้นราคาอยู่เหนือเส้น MA สั้นเป็นระยะเวลายาวนาน  ถ้าเส้นราคาตัดเส้นแนวรับที่ 400 บาทลงมา จะยืนยันการขาย  พร้อมทั้งมี  Volume สนับสนุนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

 

          น.ส. อัญชลี  อำพันพงษ์  รหัส 49473120089  เอกการเงิน - การธนาคาร       

สุทิศา เนกขัมม์ 49473120032

bbl

                                        บทวิเคราะห์หุ้น  BBL

BBL : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : ธนาคาร

         ปัจจุบันธนาคารยังคงระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อให้บรรษัทขนาดใหญ่และสินเชื่อธุรกิจไปก่อน  รอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่กระเตื้องขึ้น  และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการบริโภคในประเทศที่สูงขึ้นจะหนุนให้สินเชื่อ BBL ขยายตัวคาดว่าสินเชื่อ BBL จะเติบโตขึ้น

คำแนะนำ: คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยมีปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ได้ปรับเลื่อนราคาเป้าหมาย BBL ไปปี 2553 ที่ 150 บาทโดยมีปัจจัยหนุนจากโครงการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐและการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย BBL มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนสาธารณูปโภคของภาครัฐสูงสุด เนื่องจากมีสัดส่วนเงินทุนต่อสินท รัพ ย์เสี่ยง (CAR) สูงที่15.8% และมีสัดส่วนตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสูงสูงในกลุ่มฯที่ 108% ยังคงแนะนำ “ซื้อ”__

 

นายทักษ์ดนัย ธนหิรัญพัฒน์ 49473120029 เอกการเงินการธนาคาร

แก้ไข งานเก่า

images by uppicweb.com

BANPU                     บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอุตสาหกรรม        ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ                พลังงานและสาธารณูปโภค

ประกอบกิจการหลัก 

        คือ การทำเหมืองถ่านหินเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงลักษณะการดำเนินงานเป็นการสำรวจหาและพัฒนาเอาถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมซีเมนต์และผลิตไฟฟ้า โดยมีเหมืองถ่านหิน ในประเทศ ไทย อินโดนีเซีย และไทย

บทวิเคราะห์หุ้น

         ในระยะสั้น ราคาหุ้นของ BANPU อาจได้รับแรงกดดันจากราคาถ่านหินที่ลดลง อย่างไรก็ตามผมคาดว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในไตรมาส 4/52ต่อเนื่องถึงปีหน้าจะช่วยหนุนให้มีความต้องการถ่านหินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกในระยะกลางต่อตลาดถ่านหินและราคาถ่านหิน ดังนั้นหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อสะสม นอกจากนี้ความเป็นไปได้เกี่ยวกับการประกาศซื้อเหมืองถ่านหินใหม่ในไม่นานต่อจากนี้ข้างหน้าจะช่วยเพิ่มกำไรและมูลค่าของบริษัทฯ ได้ในทันที

คำแนะนำ

          (ซื้อ) โดยมีราคาเป้าหมายที่ 412 บาท ที่ราคาปัจจุบัน BANPUถือว่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับบริษัททำเหมืองถ่านหินอื่น ๆ ในกลุ่มฯ และโดยดูจากเส้นราคา ที่เป็นแบบSideway ยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน แต่ดูแล้วเส้นราคามีทิศที่จะตัดเส้นMAลงประกอบกับเส้นRSI มีทิศทางที่จะตกลงเช่นกัน ถ้าเส้นราคาตัดMAในระดับราคาที่ 412ก็ควรที่จะซื้อเก็บไว้เพื่อไว้เก็งกำไรในอนาคต อย่างที่บอกไว้ว่าราคาปัจจุบัน BANPUถือว่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับบริษัททำเหมืองถ่านหินอื่น ๆ

 

น.ส. สุพรรษา มานุช รหัส 49473120079

images by uppicweb.com

แก้งานเก่าค่ะ

 

บริษัท ปิโตรเลียม สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด ( มหาชน )

PTT EXPLORATION AND PRODUCTION PUBLIC COMPANY LIMITED(PTTEP)

กลุ่มอุตสาหกรรม   ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ            พลังงานและสาธารณูปโภค

คำแนะนำ       ซื้อ   เพราะ เส้นราคาได้มีการหลุดแนวต้านขึ้นไปในราคาที่เกิน 100 บาท

ความคิดเห็นทางเทคนิค 

อนาคตหุ้น  PTTEP  ควรที่จะเตรียมซื้อ จะสรุปได้ว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น  เพราะเส้น  Stochastics  อยู่ในเขต  Oversold  อยู่ในภาวะที่มีการขายมากเกินไป   จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าควรที่จะซื้อหุ้น  PTTEP  นี้ ทิ้งไว้เพื่อนำไปเก็งกำไรในอนาคตเพราะว่าหุ้นตัวนี้อาจจะสูงขึ้น โดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Stochastics   เครื่องมือดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคา

 

นางสาว ศิรัญญา ยอดแก้ว

images by uppicweb.com

บริษัท ปิโตรเลียม สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด ( มหาชน ) (ปตท.สผ.)

PTT EXPLORATION AND PRODUCTION PUBLIC COMPANY LIMITED (PTTEP)

กลุ่มอุตสาหกรรม ทรัพยากร

หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค

      จากผลการดำเนินงานของ PTTEP คาดว่าจะมีแนวโน้มโดดเด่นที่สุดในกลุ่มพลังงานในปี 2553โดยจากการปรับเพิ่มราคาน้ำมันปี 53 เป็น 74.5 เหรียญ/บาร์เรล คาดผลการดำเนินงานของ PTTEP จะเติบโตได้ 85% และกลับมาทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับตัวอ่อนลง มองในเชิงกลยุทธ์กำไรในระดับสูงสุดใหม่น่าจะสนับสนุนให้หุ้นปรับขึ้นได้ใกล้เคียงระดับสูงสุด คาดว่าการชะลอการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วง ไตรมาสที่ 3 ปี 2552 จากแรงกดดันของราคาน้ำมันที่ ยังไม่ปรับขึ้นแรงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมหุ้น ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของปี 2553 ด้วย

        ผลจากการวิเคราะห์โดยสรุปจากกราฟได้ว่า : อนาคตหุ้น PTTEP ยังสรุปแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ได้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงเพราะเส้น RSI มีลักษณะยังไม่ได้ตัดขึ้นไปในเขต Overbought และก็ไม่ได้ตัดลงมาในเขต Oversold แต่หากอิงกับบทวิเคราะห์คาดว่าอนาคตหุ้นตัวนี้น่าจะดีขึ้น จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าเป็นแบบ Sideway รูปแบบของราคาที่ไปด้านข้าง หุ้น PTTEP ณ ปัจจุบันนี้ จึงหยุดนิ่ง เพราะยังไม่มีสัญญาณ ที่จะบอก buy หรือ sell โดยการยึดหลักของการใช้ Indicator Relative Strength Index (RSI) เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ในการตัดสินใจ

นางสาวสุปราณี แสนทวีสุข รหัส 49473120014 เอกการเงินการธนาคาร ปี4

BANK OF AYUDHYA PUBLIC COMPANY LIMITED

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

กลุ่มอุตสาหกรรม การเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

บทวิเคราะห์หุ้น

วิเคราะห์จากทั้ง 4 Indicator แล้ว คิดว่าหุ้น BAY ปัจจุบันราคาคาดว่าน่าจะลดลงอีกอนาคตหุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง หุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ดังนั้นเราควรเตรียมขายหุ้นตัวนี้ เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาลดลงอีกดูจากการวิเคราะห์จากเครื่องมือต่างๆ เช่น เส้น RSI ตัดเส้น overbought ลงมา มีภาวะการณ์ซื้อมากเกินไป บอกสัญญาณเตือนขาย ที่บริเวณระดับ 70 % และยังมีVolumeที่เพิ่มขึ้นมาสนับสนุนการขายอีกด้วย หรือเราจะดูเส้น Stochastics ด้วยก็ได้

คำแนะนำในการลงทุน

หุ้น BAY ควรจะขาย เพราะ หุ้น BAY ราคาของหุ้นอาจจะปรับตัวลดลงอีก หุ้น BAY มีแนวโน้มลดลง หุ้นมีโอกาสปรับตัวลง ถ้านักลงทุนขายหุ้น BAY ในตอนนี้อาจทำให้ไม่ขาดทุน

เหตุผล : BAY มีแนวโน้มปรับลดลงเนื่องจากราคาปรับลดลง สนับสนุนด้วย Volume ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 BANK OF AYUDHYA PUBLIC COMPANY LIMITED

นางสาววรรณพร ภู่สุววรณ รหัส 4947312042 การเงินการธนาคาร ปี4

ESSO (THAILAND) PUBLIC COMPANY LIMITED

กลุ่มอุตสาหกรรม : ทรัพยากร (RESOURC)

หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)

จากการวิเคราะห์กราฟสรุปได้ว่า : อนาคตหุ้น ESSO อาจจะมีการปรับตัวลงเล็กน้อย เนี่องมาจากความผันผวนทางด้านราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ก็จะเป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้นจะมีความผันผวนได้ตลอดเวลา ขึ้นเร็วลงเร็ว แต่ถ้าพิจารณาจากกราฟในขณะนี้ควรจะขายหุ้นตัวนี้เพื่อทำกำไรเนื่องจาก เส้น slowstocastic และเส้น RSI นั้นอยู่ใกล้เขต OVERSOLD

นางสาววรรณพร ภู่สุววรณ รหัส 49473120042 การเงินการธนาคาร ปี4

รหัสผิดค่ะ

ประภา เลิศพัฒนวรกุล รหัส49473120026 การเงินการธนาคาร ปี4

รูปภาพ

กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ : ธนาคาร

จากการวิเคราะห์หุ้น SCIB สรุปได้ว่าสินเชื่อไตรมาส 3/52 ลดลงเล็กน้อย 0.2% ส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้าง ณ 30 มิ.ย. 52 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นไตรมาสก่อน ซึ่งทำให้สินเชื่อ 9 เดือนแรกของธนาคารมียอดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.1% จากสิ้นปีก่อน โดยสินเชื่อที่มีการขยายตัวสูงคือสินเชื่อที่อยู่อาศัยเนื่องจากธนาคารทำการตลาดค่อนข้างมาก

คำแนะนำในการลงทุน ราคาหุ้นในปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นสูงจากราคาตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ 17.90 บาท/หุ้น แต่มองว่าหุ้นยังมี Upside จากดีลการขายหุ้นของกองทุนฟื้นฟูฯ เนื่องจากกรอบระยะเวลาและกระบวนการขายหุ้น SCIB ของกองทุนฟื้นฟูฯที่ความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้น จึงแนะนำให้ “ซื้อเก็งกำไร” โดยซื้อที่ 26.70 บาท/หุ้น อ้างอิงกับ 1.3 เท่าของมูลค่าทางบัญชีปี 52 โดยช่วงราคาซื้อขายในอดีตที่ผ่านมาในกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 1.1-1.6 เท่าของมูลค่าทางบัญชี

เหตุผล เพราะเส้นStochasticsเข้าเขตOverboughtซึ่งอาจจะคงตัวอยู่เหนือOverboughtแปลว่าหุ้นก็อาจจะขึ้นอยู่สักระยะหนึ่งเพราะเส้น%Kยังไม่มีแนวโน้มว่าจะวกตัวกลับตัด%Dจึงแนะนำให้"ซื้อเพื่อเก็งกำไร"

พาฝัน โหเทพา (การเงินการธนาคาร) รหัส 49473120058

                                                        บทวิเคราะห์หุ้น 

              THE SIAM COMMERCIAL BANK PUBLIC COMPANY LIMITED

                                           ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

&#3651;&#3627;&#3617;&#3656;&#3621;&#3656;&#3634;&#3626;&#3640;&#3604;

กลุ่มอุตสาหกรรม               ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ                       ธนาคาร

บทวิเคราะห์หุ้น  SCB

                สำหรับหุ้น SCB ในอนาคตควรซื้อ (buy) เพราะประกอบกับเส้น MA สั้นตัด MA ยาวขึ้นและอยู่เหนือ MA ยาวมาระยะเวลานานพอสมควรยังไม่ตัดลงและยังมี VOLUME ที่เพิ่มขึ้นอีกและเส้น STOCHASTICS ก็เข้าเขตOVERSOLD และ %K ก็ตัดเส้น %D ขึ้นไป และเส้น RSI ตัดเส้น OVERBOUGHT ที่ระดับ 70% ขึ้นไป ดังนั้นเราควรเตรียมซื้อหุ้น SCB เพราะในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีการปรับตัวของราคาที่เพิ่มขึ้น

 

นางสาวหทัยภัทร อินทร์ปัญญา รหัส 49473120059 เอกการเงินการธนาคาร

แก้ไขเพิ่มเติมจากงานเก่าค่ะ

 

                                          บทวิเคราะห์หุ้น

          SAIM CITY BANK PUBLIC COMPANY LIMITED (SCIB)

                          ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)

 

SCIB

กลุ่มอุตสาหกรรม ธุรกิจการเงิน

หมวดธุรกิจ ธนาคาร

บทวิเคราะห์หุ้น SCIB

         แนวโน้ม 1 สัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณทางเทคนิคประเมินราคาหุ้นจะแกว่งตัวในลักษณะ Sideway เนื่องจากเส้นราคามีการปรับตัวไปด้านข้างไม่แสดงให้เห็นว่า ลงหรือขึ้นอย่างชัดเจนของเส้นราคา เพราะประกอบกับเส้น Stochastic ไม่เข้าเขต Oversold 20% และ RSI ไม่ตัดเส้น Overbought  และ Oversold  เพราะ RSI อยู่ระหว่างบริเวณระดับ Overbought 70% และ Oversold 30% ประกอบกับการดูจากเส้น RSI ซึ่งเป็นไปในทิศทางแบบ Sideway ดังนั้นจึงแนะนำให้ "ถือ" และควรรอดูหุ้นอีกซักระยะหนึ่ง เพราะในอนาคตหุ้น SCIB อาจจะมีการปรับตัวของราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้

บทสัมภาษณ์

ผู้ให้สัมภาษณ์   1. คุณ ธนธรณ์  ชัยมณี             ตำแหน่ง   Senior Officer

                      2. คุณ สิทธิชัย  แก้วราเขียว      ตำแหน่ง   เจ้าหน้าที่การตลาด

ผู้สัมภาษณ์       นักศึกษาเอกการเงินการธนาคาร กลุ่ม 3

สถานที่            ห้องสมุดมารวย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Q : หน้าที่ของเจ้าหน้าที่การตลาดมีหน้าที่อะไรบ้าง

A : รับเปิดบัญชี ขยายสาขา แนะนำการลงทุนเบื้องต้นทั้งหมด การใช้หน้าจอทางอินเตอรืเน็ตสอนการส่ง       คำสั่งทางอินเตอร์เน็ตทั้งหมด รวมถึงการ support ลูกค้า

Q : จรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่การตลาดมีอะไรบ้าง

A :มีความจริงใจให้ลูกค้า แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ไม่บิดเบือนข้อมูลความเป็นจริง ไม่เอาผลประโยชน์เข้าตนเอง

Q : หลักในการแนะนำหลักทรัพย์ในการลงทุนสำหรับลูกค้า

A : แนะนำหลักทรัพย์มีที่มาที่เราแนะนำ ที่มามาจากอะไร ต้องมีปัจจัยมาจากอะไรบ้าง ปัจจัยพื้นฐาน ผลประกอบการ เป็นหุ้นปั่นเป็นข่าวที่มาจากบริษัท ดูผลประกอบการย้อนหลังไป 2-3 ปี ใช้คำแนะนำจากนักวิเคราะหืหลักทรัพย์ เพราะนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จะมีลายเส้นการวิเคราะห์

Q : ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่การตลาดมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนมากน้อยเพียงใด

A : การที่เราคอนเฟริ์มลูกค้าไป ทำให้ลูกค้ามีความมมั่นใจในการลงทุนซื้อได้ การที่เราให้คำแนะนำลูกค้าแล้วแต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็ต้องเป็นของลูกค้าเอง เพราะฉะนั้นลูกกค้าจะต้องยอมรับการตัดสินใจของตนเอง

Q : ที่มาของแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการแนะนำนักลงทุนนำมาจากแหล่งใดบ้าง

A : มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ อินเตอร์เน็ต เพื่อให้นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจ มีกราฟทางเทคนิค ว่าจะซื้อเมื่อไหร่ ขายเมื่อไหร่ มีข่าวแบบเรียวทามให้ดูตลอด ใช้ข้อมูลประกอบกันหลายอย่าง

Q : มีขั้นตอนในการแนะนำหลักทรัพย์ให้ลูกค้าอย่างไร

A : เจ้าหน้าที่การตลาดจะต้องฟังผลการวิเคราะห์ พอเข้าทำงานจะมีผลการวิเคราะห์เป็น paper มาให้แล้วลูกค้าก็ต้องศึกษาข้อมูลจากบทวิเคราะห์ว่ามีปัจจัยใดที่มีผลกระทบต่อตลาด ทั้งราคาทองคำ ราคาน้ำมันต่างๆและหุ้นตัวใหนที่ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำควรซื้อควรขายราคาเท่าไหร่ ต้องศึกษาให้เข้าใจพอลูกค้าโทมาถามจะได้อ้างอิงในบทวิเคราะห์นั้นได้

Q : การวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ประเภทใด

A : กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป กลุ่มอิเล็กทรอนิก

Q : ในสถานการณ์ปัจจุบันหลักทรัพย์กลุ่มใหนที่น่าลงทุน

A : แนะนำกลุ่มสื่อสาร เช่น dtac advance true เพราะว่าปัจจุบันนี้จะมีเรื่อง 3G เข้ามาเกี่ยวข้อง 3G จะเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มสื่อสารโดยเฉพาะ

A : มีลูกค้าโทรมาให้พี่แนะนำบ้างหรือเปล่า/และเคยแนะนำผิดพลาดบ้างหรือป่าวและมีวิธีแก้ไขอย่างไร

Q : เรื่องการแนะนำเป็นหนี่หลักอยู่แล้ว  บางครั้งก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง เช่น ลูกค้ามีหุ้น 100,000 หุ้น  ต้องการขายที่ราคา 110 บาท  แต่ทางเราคีย์ผิดเป็นส่งคำขอซื้อแทนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น  วิธีแก้ไขคือ  ต้องรีบทำการขายทันทีแต่อาจจะเกิดส่วนต่างจากการขายขาดทุน  ตัวพนักงานเองต้องรับผิดชอบ 50%  บริษัทรับผิดชอบ 50%

A : ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นโลกมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

Q :  มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก  เพราะ  ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ เมื่อต่างชาติเกิดผลกระทบก็จะส่งผลถึงประเทศไทยโดยตรง เช่น อเมริกาลดอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อประเทศไทยโดยต่างชาติจะกระจายเงินออกสู่ทั่วโลกเป็นผลพลอยได้

Q : เพราะเหตุใดจึงมาเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด

A : อันดับแรกเลย คือ จบมาสาขาโดยตรง ในกรณีฝึกงานก็ต้องไปฝึกให้ตรงกับสาขาที่เราเรียนมาพอฝึกงานเสร็จก็จะทำให้เรารับรู้งานในด้านนี้

Q:  ถ้าสนใจเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดจะต้องเตรียมตัวอย่างไร

A : สอบ Single Linesen สอบผ่านแล้ว ก็ยื่นใบสมัครได้เลย

Q : ในการเปิดบัญชีที่จะไปลงทุนในหลักทรัพย์มีขั้นตอนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่การตลาด

A : แนะนำการลงทุน พูดให้ลูกค้าสนใจตรงนี้มีข้อดีอย่างไร มีการนำเงินไปฝากออมทรัพย์อย่างไร มีโปรโมชั่นอะไรดีๆมาแข่งขันใน broker เพราะว่าในการแข่งขันทางการตลาดมีหลาย broker ที่มาแข่งขันกัน

Q: ก่อนที่พี่จะมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด พี่ต้องมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน รึเปล่าค่ะ

A: ก็ต้องมีนะครับ พอดีว่าพี่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา มาแล้วก็ยังมีประสบการณ์ในด้านของการขายมาด้วยครับ

Q :เทคนิคในการเลือกหลักทรัพย์ให้ลูกค้า

A :อันดับแรกต้องดูพอร์ดการงทุนของลูกค้า เพื่อศึกษาการเล่นหุ้นของลูกค้าว่ามีความกล้าเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และดูจากสถานการณ์ปัจจุบันประกอบการตัดสินใจ

A: ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน มีอะไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขอย่างไร

Q: มีปัญหาในเรื่องการคีย์ Order และส่งคำสั่งผิด ลูกค้าที่มาซื้อหุ้นไม่ชำระเงิน และมีวิธีแก้ไข คือ หากมีการส่งคำสั่งผิด ก็จะทำการ Cancel แล้วทำการส่งคำสั่งซื้อใหม่ให้ถูกต้อง

Q: ได้อะไรจากการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด

A : ได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก การทำงานไม่น่าเบื่อ ไม่เหมือนงานอื่น ๆ ที่มีการทำงานจำเจ มีการติดตามข่าวสารทุกวัน มีข่าวสารใหม่ ๆ มาตลอด

Q: พี่คิดว่าเศรษฐกิจการเมืองตอนนี้มีผลต่อตลาดหุ้นไหมค่ะ

A: ตอนนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมันต่ำมากถ้าการเมืองคลี่คลายก็คงจะดีขึ้น แต่ว่าเราก็ต้องดูเพื่อนบ้านด้วยอย่างอเมริกา และ ญี่ปุ่น

Q : คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

A : ผู้ที่จะลงทุนควรศึกาการลงทุนให้เข้าใจเป็นอย่างดี คือการที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ในหุ้นแต่ละตัวเราต้องศึกษาเกี่ยวกับอะไร ต้องดูงบการเงินของบริษัทให้เป็นดูว่าบริษัททำอะไรในอนาคตการเงินของบรัทจะเป็นอย่างไร ต้องดูราคาหุ้นให้เป็น ควรศึกษาการลงทุนในหุ้นให้แน่นก่อน เรียนรู้รายละเอียดการลงทุนทั้งหมด

 

 

 

 

กลุ่มที่ 5 QuickWin ทาวงด่วนแห่งชัยชนะ

ผู้ให้สัมภาษณ์ คุณหรัณย์ คัคนาพร (ผู้จัดการกองทุน)

สถานที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)

ผุ้ติดต่อ: คุณวราภรณ์   เก่งการช่าง

Q : หน้าที่ของนักวิเคราะห์มีหน้าที่อะไรบ้าง

A: นักวิเคราะห์มีหน้าที่ทำบทวิเคราะห์ให้ผู้จัดการกองทุนนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการเลือกลงทุน นักวิเคราะห์แล้วแต่ว่าจะถูกมอบหมายว่าต้องวิเคราะห์อะไร ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหุ้น หรือตราสารหนี้ก็ได้  แล้วแต่โจทย์ที่ได้มาซึ่งผลการวิเคราะห์ก็ต้องตรงกับโจทย์ที่ได้มา เช่นหุ้นตัวไหนมีความน่าสนใจ หรือถ้าเป็นตราสารหนี้ก็ดูว่าหุ้นกู้ตัวไหนมีความน่าสนใจไหมหรือหุ้นกู้ตัวนี้จะปรับตัวหรือไม ถ้าเป็นหุ้นนักเคราะห์เขาต้องดูของเขาอยู่แล้วแหละว่าถ้าเป็นหุ้นตัวไหนน่าสนใจแล้วก็ต้องวิเคราะห์ออกมาว่าตอนนี้หุ้นตัวไหนน่าสนใจ ถ้าเป็นตราสารหนี้ก็จะเป็นมุมมองอีแบบหนึ่ง การวิเคราะห์เริ่มจากการดูสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจตอนนี้หุ้นของอุตสาหกรรมไหนน่าสนใจค่อยๆเจาะลงไปถ้ากลุ่มอุตสาหกรรมนี้น่าสนใจแล้วหุ้นตัวไหนในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้น่าสนใจนักวิเคราะห์ก็จะมีหน้าที่หาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันในหลายๆตัวของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดี่ยวกันว่าความน่าสนใจอยู่ที่หุ้นตัวไหนโดยดูในเรื่องของเงินกู้ ราคา แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาตัดสินใจเพื่อเขียนบทวิเคราะห์ให้ผู้จัดการกองทุนประกอบการตัดสินใจ

Q: จรรยาบรรณของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มีอะไรบ้าง

A: จรรยาบรรณของนักวิเคราะห์ ต้องวิเคราะห์ด้วยความเที่ยงตรงไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้วิเคราะห์หรือแรงจูงใจอื่นๆที่หัวยุให้นักวิเคราะห์คล้อยตาม ไม่นำความรู้สึกส่วนตัวมาใช้ในการวิเคราะห์ ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการวิเคราะห์ ข้อมูลไหนที่เป็นความลับของหุ้นที่ทำการวิเคราะห์ก็ไม่สมควรเปิดเผย ถ้าข้อมูลไหนที่เราเอาของคนอื่นเขามาเราต้องใส่ที่มาของข้อมูลนั้นด้วย ส่วนไหนเป็นความคิดเห็นของนักวิเคราะห์เองก็บอกไปด้วย

Q: การเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

A: คุณสมบัติของนักวิเคราะห์ ต้องมีหลักในการวิเคราะห์ สามารถค้นหาและรวมรวบข้อมูลได้ดี และนำข้อมูลที่ได้มาใช่ต่อให้เป็น

Q: หลักการวิเคราะห์หลักทรัพย์มีอะไรบ้าง

A: ต้องรู้ว่าโจทย์คืออะไร หาข้อมูลมาสนับสนุนโจทย์อย่างครบถ้วน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ต่อ เช่นการใช้สูตรทางสถิติมาทดสอบข้อมูลที่ได้มา และประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาประเมินรวมด้วย เลือกเครื่องมือทางการวิเคราะห์มาใช้ให้ถูกต้องกับข้อมูลที่มีอยู่และรู้ข้อจำกัดของข้อมูล ที่ชัดเจนที่สุดคือโจทย์ชัดข้อมูลครบถ้วน

Q: ความคิดเห็นของนักวิเคราะห์มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนหรือไม่

A: ขึ้นอยู่กับข้อมูลของนักวิเคราะห์กับข้อมูลที่เรารู้มาถ้าตรงกันก็ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้นแต่ถ้าไม่ตรงกันก็ต้องพูดคุยกันว่าไม่ตรงเพราะเหตุใดเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้อง หรืออาจเป็นเครื่องมือหรือข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ไม่ตรงกัน

Q: ที่มาของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศ

A: การวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศมีข้อจำกัดมากกว่าหลักทรัพย์ในประเทศไทยในเรื่องของข้อมูล แหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับหลักทรัพย์ต่างประเทศคือข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ที่มีสาขาอยู่ที่ประเทศนั้นที่จะเลือกลงทุนเป็นหลักโดยการพิจารณาหลายๆข้อมูลจากหลายบริษัทหลักทรัพย์มาเปรียบเทียบกันเพื่อประกอบการตัดสินใจ ถ้าเป็นหลักทรัพย์ในประเทศจะมีการไปเยี่ยมชมบริษัท ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์และนักวิเคราะห์ของบริษัท

Q: วิเคราะห์หลักทรัพย์ให้กับนักลงทุนทั่วไปต่างจากการวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้แก่กองทุนอย่างไร

A: แตกต่างกันตรงภาษาที่ใช้และรายละเอียดของบทวิเคราะห์ ให้กองทุนต้องมีรายละเอียดมากกว่าการวิเคราะห์ให้กับนักลงทุนทั่วไปและมีภาษาที่อยากกว่าการวิเคราะห์ให้กับนักลงทุนทั่วไป

Q: การวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ประเภทใด

A: ไม่ได้แบ่งเป็นกลุ่มหลักทรัพย์แบ่งเป็นภูมิภาคมากกว่าว่าตอนนี้ภูมิภาคไหนน่าสนใจแล้วในภูมิภาคนี้ประเทศไหนน่าสนใจก็จะให้นักวิเคราะห์ค้นหาข้อมูลมาประกอบการเขียนบทวิเคราะห์เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน

Q: ในขณะนี้บริษัทได้เปิดกองทุนรวมที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศหรือไม่

A: เปิด กองทุนแบบ Goble ทั่วโลก ซึ่งเลือกลงทุนในประเทศเด่นที่น่าสนใจลงทุน

Q: ในต่างประเทศมีกองทุนรวมเหมือนประเทศไทยหรือเปล่า ถ้ามีแล้วมีวิธีในการวิเคราะห์เหมือนในประเทศไทยหรือไม่

A: มีมาก่อนเราหลายปี เราจะเพิ่งมีที่หลักต่างประเทศ วนเรื่องของการวิเคราะห์ต่างประเทศคงมีข้อมูลในการตัดสินใจมากกว่าเพราะเขามีประสบการณ์และมีฐานข้อมูลที่ใหญ่กว่า

Q: เพราะเหตุใดจึงมาเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศ

A: มีการบริโภคข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องพอถึงจุดๆหนึ่งเกิดการอิ่มตัว ก็ต้องหาสิ่งใหม่ๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้หรือประสบการณ์ที่ยังไม่เคยสัมผัส

Q: ในการเปิดกองทุนที่จะไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีขั้นตอนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับนักวิเคราะห์

A: เจ้าหน้าที่ทางด้านผลิตภัณฑ์ ทำการสำรวจว่าตอนนี้ผู้ลงทุนสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทใด แล้วจึงนำมาเสนอต่อที่ประชุม ในที่ประชุมก็จะมี ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิตภัณฑ์ มารวบรวมข้อมูลกันว่าถ้าเปิดแล้วจะขายได้มากน้อยเพียงใด ตลาดเป็นที่ต้องการหรือไม เป็นต้น เมื่อหลายฝ่ายเห็นสมควรตรงกันก็ทำการขั้นต่อไป แล้วจึงทำเรื่องยืนต่อ กลต.เพื่อพิจารณาเปิดกองทุน เปิดกองทุนเรียบร้อยแล้วฝ่ายขายก็จะมีหน้าที่ขายเพื่อให้ได้เงินมาแล้วต้องมารายงานต่อกลต. อีกครั้งเพื่อขอนำเงินไปลงทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในหลักทรัพย์ประเภทนั้นออกมาเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน

Q: เมื่อตัดสินใจเปิดกองทุนที่จะไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศแล้วถ้าเกิดปัญหา เช่น ไปลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศกรีซแล้วเกิดปัญหาตามมาภายหลัง บริษัทจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

A: เรียกประชุมคณะกรรมการการลงทุนมาให้ข้อมูลกันว่าเกิดอะไรขึ้น ว่าจะเพิ่มหรือลดการลงทุน การลดการลงทุนถ้าลดแล้วจะต้องเพิ่มการลงทุนในหลักทรัพย์อะไร ก็จะมีนักวิเคราะห์เข้ามาเกี่ยวข้องในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ตัวใหม่เข้ามาทดแทน

Q: การเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ดี

A: ต้องมีจรรยาบรรณ มีหลักในการวิเคราะห์ที่ชัดเจน ขวนขวายหาความรู้ ขยันอ่านข้อมูลหรือบทวิเคราะห์เก่าเพื่อนำมาเป็นตัวอย่างในการเขียนบทวิเคราะห์  มีความเข้าใจที่แท้จริงในข้อมูลที่เราหามาประกอบการวิเคราะห์เพื่อความชัดเจนในการเขียนบทวิเคราะห์เมื่อมีคนส่งใสในข้อมูลที่เราวิเคราะห์ก็สามารถตอบได้อย่างมั่นใจเพื่อความน่าเชื่อถือของผู้อ่านบทวิเคราะห์

กลุ่มของกระผม ขอขอบคุณ ผู้ให้สัมภาษณ์และผู้ติดต่อมา ณ. ที่นี้ด้วย

 

 


 
 
 

images by uppicweb.com
  images by uppicweb.com
images by uppicweb.com

<a href="http://www.uppicweb.com/show.php?id=8efeb55fdd90e64e36baf8e1a2f94c50" target="_blank"><img border="0" src="http://www.uppicweb.com/x/i/ib/14022008_07.gif" alt="images by uppicweb.com"/></a><br><font size=1>Thanks: <a href="http://www.uppicweb.com" target="_blank">ฝากรูป</a> <a href="http://www.dictionary.in.th" target="_blank">dict</a></font>

กลุ่มที่ 3 การเงิน ปี4 รหัส 50

บทสัมภาษณ์

ผู้ให้สัมภาษณ์   1. คุณ ธนธรณ์  ชัยมณี             ตำแหน่ง   Senior Officer

                      2. คุณ สิทธิชัย  แก้วราเขียว      ตำแหน่ง   เจ้าหน้าที่การตลาด

ผู้สัมภาษณ์       นักศึกษาเอกการเงินการธนาคาร กลุ่ม 3

สถานที่            ห้องสมุดมารวย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Q : หน้าที่ของเจ้าหน้าที่การตลาดมีหน้าที่อะไรบ้าง

A : รับเปิดบัญชี ขยายสาขา แนะนำการลงทุนเบื้องต้นทั้งหมด การใช้หน้าจอทางอินเตอรืเน็ตสอนการส่ง       คำสั่งทางอินเตอร์เน็ตทั้งหมด รวมถึงการ support ลูกค้า

Q : จรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่การตลาดมีอะไรบ้าง

A :มีความจริงใจให้ลูกค้า แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ไม่บิดเบือนข้อมูลความเป็นจริง ไม่เอาผลประโยชน์เข้าตนเอง

Q : หลักในการแนะนำหลักทรัพย์ในการลงทุนสำหรับลูกค้า

A : แนะนำหลักทรัพย์มีที่มาที่เราแนะนำ ที่มามาจากอะไร ต้องมีปัจจัยมาจากอะไรบ้าง ปัจจัยพื้นฐาน ผลประกอบการ เป็นหุ้นปั่นเป็นข่าวที่มาจากบริษัท ดูผลประกอบการย้อนหลังไป 2-3 ปี ใช้คำแนะนำจากนักวิเคราะหืหลักทรัพย์ เพราะนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จะมีลายเส้นการวิเคราะห์

Q : ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่การตลาดมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนมากน้อยเพียงใด

A : การที่เราคอนเฟริ์มลูกค้าไป ทำให้ลูกค้ามีความมมั่นใจในการลงทุนซื้อได้ การที่เราให้คำแนะนำลูกค้าแล้วแต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็ต้องเป็นของ ลูกค้าเอง เพราะฉะนั้นลูกกค้าจะต้องยอมรับการตัดสินใจของตนเอง

Q : ที่มาของแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการแนะนำนักลงทุนนำมาจากแหล่งใดบ้าง

A : มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ อินเตอร์เน็ต เพื่อให้นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจ มีกราฟทางเทคนิค ว่าจะซื้อเมื่อไหร่ ขายเมื่อไหร่ มีข่าวแบบเรียวทามให้ดูตลอด ใช้ข้อมูลประกอบกันหลายอย่าง

Q : มีขั้นตอนในการแนะนำหลักทรัพย์ให้ลูกค้าอย่างไร

A : เจ้าหน้าที่การตลาดจะต้องฟังผลการวิเคราะห์ พอเข้าทำงานจะมีผลการวิเคราะห์เป็น paper มาให้แล้วลูกค้าก็ต้องศึกษาข้อมูลจากบทวิเคราะห์ว่ามีปัจจัยใดที่มีผลกระทบ ต่อตลาด ทั้งราคาทองคำ ราคาน้ำมันต่างๆและหุ้นตัวใหนที่ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำควรซื้อควรขายราคาเท่า ไหร่ ต้องศึกษาให้เข้าใจพอลูกค้าโทมาถามจะได้อ้างอิงในบทวิเคราะห์นั้นได้

Q : การวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ประเภทใด

A : กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป กลุ่มอิเล็กทรอนิก

Q : ในสถานการณ์ปัจจุบันหลักทรัพย์กลุ่มใหนที่น่าลงทุน

A : แนะนำกลุ่มสื่อสาร เช่น dtac advance true เพราะว่าปัจจุบันนี้จะมีเรื่อง 3G เข้ามาเกี่ยวข้อง 3G จะเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มสื่อสารโดยเฉพาะ

Q : มีลูกค้าโทรมาให้พี่แนะนำบ้างหรือเปล่า/และเคยแนะนำผิดพลาดบ้างหรือป่าวและมีวิธีแก้ไขอย่างไร

A : เรื่องการแนะนำเป็นหน้าที่หลักอยู่แล้ว  บางครั้งก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง เช่น ลูกค้ามีหุ้น 100,000 หุ้น  ต้องการขายที่ราคา 110 บาท  แต่ทางเราคีย์ผิดเป็นส่งคำขอซื้อแทนทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น  วิธีแก้ไขคือ  ต้องรีบทำการขายทันทีแต่อาจจะเกิดส่วนต่างจากการขายขาดทุน  ตัวพนักงานเองต้องรับผิดชอบ 50%  บริษัทรับผิดชอบ 50%

A : ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นโลกมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

Q :  มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก  เพราะ  ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ เมื่อต่างชาติเกิดผลกระทบก็จะส่งผลถึงประเทศไทยโดยตรง เช่น อเมริกาลดอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อประเทศไทยโดยต่างชาติจะกระจายเงินออกสู่ทั่ว โลกเป็นผลพลอยได้

Q : เพราะเหตุใดจึงมาเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด

A : อันดับแรกเลย คือ จบมาสาขาโดยตรง ในกรณีฝึกงานก็ต้องไปฝึกให้ตรงกับสาขาที่เราเรียนมาพอฝึกงานเสร็จก็จะทำให้เรารับรู้งานในด้านนี้

Q:  ถ้าสนใจเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดจะต้องเตรียมตัวอย่างไร

A : สอบ Single Linesen สอบผ่านแล้ว ก็ยื่นใบสมัครได้เลย

Q : ในการเปิดบัญชีที่จะไปลงทุนในหลักทรัพย์มีขั้นตอนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่การตลาด

A : แนะนำการลงทุน พูดให้ลูกค้าสนใจตรงนี้มีข้อดีอย่างไร มีการนำเงินไปฝากออมทรัพย์อย่างไร มีโปรโมชั่นอะไรดีๆมาแข่งขันใน broker เพราะว่าในการแข่งขันทางการตลาดมีหลาย broker ที่มาแข่งขันกัน

Q: ก่อนที่พี่จะมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด พี่ต้องมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน รึเปล่าค่ะ

A: ก็ต้องมีนะครับ พอดีว่าพี่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา มาแล้วก็ยังมีประสบการณ์ในด้านของการขายมาด้วยครับ

Q :เทคนิคในการเลือกหลักทรัพย์ให้ลูกค้า

A : อันดับแรกต้องดูพอร์ตการงทุนของลูกค้า เพื่อศึกษาการเล่นหุ้นของลูกค้าว่ามีความกล้าเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และดูจากสถานการณ์ปัจจุบันประกอบการตัดสินใจ

Q: ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน มีอะไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขอย่างไร

A: มีปัญหาในเรื่องการคีย์ Order และส่งคำสั่งผิด ลูกค้าที่มาซื้อหุ้นไม่ชำระเงิน และมีวิธีแก้ไข คือ หากมีการส่งคำสั่งผิด ก็จะทำการ Cancel แล้วทำการส่งคำสั่งซื้อใหม่ให้ถูกต้อง

Q: ได้อะไรจากการทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด

A : ได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก การทำงานไม่น่าเบื่อ ไม่เหมือนงานอื่น ๆ ที่มีการทำงานจำเจ มีการติดตามข่าวสารทุกวัน มีข่าวสารใหม่ ๆ มาตลอด

Q: พี่คิดว่าเศรษฐกิจการเมืองตอนนี้มีผลต่อตลาดหุ้นไหมค่ะ

A: ตอนนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมันต่ำมากถ้าการเมืองคลี่คลายก็คงจะดีขึ้น แต่ว่าเราก็ต้องดูเพื่อนบ้านด้วยอย่างอเมริกา และ ญี่ปุ่น

Q : คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

A : ผู้ที่จะลงทุนควรศึกษาการลงทุนให้เข้าใจเป็นอย่างดี คือการที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ในหุ้นแต่ละตัวเราต้องศึกษาเกี่ยวกับอะไร ต้องดูงบการเงินของบริษัทให้เป็นดูว่าบริษัททำอะไรในอนาคตการเงินของบริษัทจะ เป็นอย่างไร ต้องดูราคาหุ้นให้เป็น ควรศึกษาการลงทุนในหุ้นให้แน่นก่อน เรียนรู้รายละเอียดการลงทุนทั้งหมด

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากรูป dict images by uppicweb.com
Thanks: ฝากรูป dict images by uppicweb.com
Thanks: ฝากรูป dict
กลุ่มที่1เอกการเงินรหัส50

บทสัมภาษณ์บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง

Q1 :   สวัสดีค่ะอาจารย์!  พวกหนูเป็นนักศึกษาเอกกการเงิน – การธนาคาร  มหาวิทยาลัยราชภัฏ   สวนสุนันทา  วันนี้พวกหนูขออนุญาตรบกวนเวลาอาจารย์สัก  15 นาทีด้วยนะค่ะ

A:     อืม  ได้สิ  แล้วประกอบวิชาอะไรล่ะ  การลงทุนหรอ

Q:   ค่ะอาจารย์

Q2 :   อยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำตัวเองให้รู้จักหน่อยได้ไหมค่ะ.

A:  อาจารย์ชื่อพลตรีนิติกร   วาณิชย์   ทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งและเป็นอาจารย์พิเศษให้กับเทคโนโลยีราชมงคล

Q:  อาจารย์ทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งมานานหรือยังค่ะ.

A:  ทำมาได้  14  ปีแล้ว  ปีนี้เป็นปีที่  15

Q:  อาจารย์ค่ะบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่างกันยังไงค่ะ

A:  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะคอยทำหน้าที่เป็นตลาดหุ้นหรือเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขายหลักทรัพย์และนอกจากจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์แล้วยังทำหน้าที่กำหนดระเบียบ  กฎเกณฑ์  เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปด้วยความมีระบบระเบียบที่คล่องตัว  และมีความยุติธรรม  เพราะจะทำให้ผู้ลงทุนที่เข้ามาลงทุนมีความมั่นใจ  แต่ถ้าบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งจะทำหน้าที่เป็น  Broker  ซื้อขาย เท่านั้นเอง.

Q:  แล้วถ้านักลงทุนที่ต้องการก้าวเข้ามาลงทุนและซื้อขายหลักทรัพย์ต้องทำยังไงบ้างคะอาจารย์ ?

A:  สำหรับนักลงทุน  ต้องรู้ว่าตัวเองน่ะมีสภาพคล่องทางการเงินมากน้อยแค่ไหน  และต้องการมีการวางแผนการลงทุนของตัวนักลงทุนอย่างชัดเจน  อีกทั้งระยะเวลาที่นักลงทุนต้องการจะลงทุนควรศึกษาข้อมูลตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ  หรือหนังสือชี้ชวนก็ได้  และนักลงทุนเองต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่มีความอาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของผู้ลงทุนเอง  อีกทั้งยังยอมรับกับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นได้ด้วยน่ะ  จากนั้นก็มาติดต่อกับ  Broker  ที่จะมาใช้บริการ เช่น  บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง.

 

Q6   :  แล้วเรามีวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์กันยังไงค่ะ

A6  : ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดทำการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์  ยกเว้นวันหยุดราชการกับวันเสาร์-อาทิตย์แม้กระทั่งวันสำคัญต่าง ๆ นะ หรือง่าย ๆ สังเกตธนาคารก็แล้วกัน  หากธนาคารเปิดแสดงว่า ตลาดหลักทรัพย์ก็เปิดเหมือนกัน  ซึ่งการซื้อขายผ่านทางโทรศัพท์  โดยแจ้งรหัสประจำตัวของผู้ซื้อกับเจ้าหน้าที่ทุกครั้งที่เราโทรมาสั่งซื้อ  หรือลูกค้าจะสั่งซื้อผ่านระบบอินเตอร์เน็ตก็ได้

Q:  การวิเคราะห์บริษัทหนึ่ง ๆ เราต้องดูอะไรเป็นสำคัญบ้างคะ.

A:  รายละเอียดของตลาดหลักทรัพย์มันเยอะมากนะ  มีตราสารต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  แต่สำหรับการวิเคราะห์เทคนิค  มันก็จะดูเข้าไปในตัวบริษัท  ดูกราฟ  ดูอะไรอีกเยอะ  แต่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมันจะเป็นแบบมหภาคเลยนะคือ  ดูกันเป็นระดับประเทศเลยล่ะ  มีอะไรมั่งล่ะ  มีอุตสาหกรรม  มีธุรกิจ  มีบริษัทใช่ไหม  ซึ่งการดูพวกนี้มันก็ต้องเอามาเทียบกับ GDP  ของประเทศด้วยนะ อ่ะอย่างร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ขายดี  คือ  ขายเส้นหมด  ลูกชิ้นหมด  ผักหมด  ก็แสดงว่าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวมีการสั่งสินค้าเหล่านี้จากภายนอกร้านเข้ามาทำให้เกิดเป็นระบบการซื้อขายที่ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเงินกันมากขึ้น  แสดงว่าธุรกิจประเภทนี้ดี

Q:  อาจารย์ค่ะ  ถ้าเราเป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ แต่เราอยากลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งได้ไหมค่ะ

A:  ได้ซิ

Q:  ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ธุรกิจไหนน่าลงทุนที่คะอาจารย์

A9  :  เราต้องดูสภาพคล่องในธุรกิจกับผลตอบแทนของ Size กิจการแนบไปด้วยนะ  อ่ะถ้าดูอย่างการสื่อสารคิดว่าบริษัทไหนล่ะที่มีสภาพคล่องกับผลตอบแทนไปด้วยกันได้ดีโดยไม่สวนทางกับกระแสของยุคไฮเทค

Q10 :  ถ้าดูหุ้น  หุ้นตัวไหนค่ะอาจารย์น่าซื้อมากที่สุด

A10 :   ต้องดูก่อนนะว่าหุ้นตัวนี้เขามีตัวแม่อยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ  ซึ่งนั่นหมายถึงการข้ามไปดูผลประกอบการ  การดำเนินงานของเขาเป็นไปด้วยดีหรือป่าว  หุ้นตัวนั้นจึงจะน่าลงทุน

 

Q11  :  บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาสนใจในการลงทุนยังไงบ้างค่ะ

A11  :   เราเป็นนายหน้าสำหรับลูกค้าที่จะสั่งขาย และคำสั่งซื้อขาย ให้กับนักลงทุนที่มาใช้บริการ

Q12  :   ถ้าอย่างพวกหนูล่ะคะอาจารย์คือ  นักศึกษาสามารถลงทุนได้ไหมค่ะ

A12  :   ได้ซิ  การลงทุนทางอ้อมไง  หลักการของการลงทุนคืออะไร  คือกำไรใช่ไหม  ซึ่งกำไรมันก็เกิดมาจากผลการดำเนินงานซึ่งเราก็สามารถนำมาวิเคราะห์กับสิ่งที่เรากำลังจะลงทุนได้อยู่แล้ว

Q13  :   อาจารย์ค่ะ  ถ้าพวกหนูอยากมีโอกาสทำงานในบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งต้องทำไงบ้างค่ะ

A13  :   ( หัวเราะ )  ก็ต้องอ่านหนังสือเยอะ ๆ  แล้วก็ไปสอบให้ได้นะ

Q14  :   ค่ะสุดท้ายนี้พวกหนูขอขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาให้ความรู้กับพวกหนูในวันนี้ด้วยนะค่ะ   ขอบคุณค่ะอาจารย์

A14  :   ขอให้ทุกคนโชคดีล่ะกันนะ

 

 

คำถามบทสัมภาษณ์นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กองทุนรวม MFC จำกัด(มหาชน)

คำถามบทสัมภาษณ์นักวิเคราะห์หลักทรัพย์

คำถาม : หน้าที่ของนักวิเคราะห์มีหน้าที่อะไรบ้าง

คำตอบ : เป็นผู้ที่มาวิเคราะห์ข่าวสารต่างๆที่มีอยู่ทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุน  ให้คำแนะนำในข้อมูลที่มีอยู่ปัจจุบัน     ของหุ้น ของหลักทรัพย์ ว่ามีอะไรบ้าง  ให้ผู้ลงทุนในการตัดสินใจบนข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่  และบางอย่างที่นักลงทุนไม่รู้ จะถามนักวิเคราะห์ได้  นักวิเคราะห์จะให้ข้อมูลและให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุน

 

คำถาม : จรรยาบรรณของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มีอะไรบ้าง

คำตอบ :นักวิเคราะห์มีจรรยาบรรณมาก  เรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารก็ต้องทำอย่างเต็มความสามารถด้วยความรู้  ความชำนาญในวิชาชีพ  คือ  การให้คำแนะนำต้องอ้างอิงบนพื้นฐานของสิทธิ  ของงานที่ตัวเองทำไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐาน  เหตุและผลในแง่ของการแนะนำก็ไม่สามารถให้คำแนะนำตามอารมณ์หรือว่าตามผลประโยชน์ส่วนตัวได้  อย่างเช่นว่า นักวิเคราะห์ถือหุ้นบริษัทแห่งหนึ่ง  แล้วแนะนำให้ผู้ลงทุนมาซื้อหุ้นที่ตัวเองถือด้วย   ก็ต้องมีข้อกำหนดหรือกรอบให้คำแนะนำ  ซึ่งสมาคมนักวิเคราะห์และทาง ก.ล.ต. เองก็ระบุไว้แล้ว

 

คำถาม : การเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

คำตอบ : นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มีหลายระดับ โดยทั่วไปคุณสมบัติที่ ก.ล. ต ระบุไว้สำหรับนักวิเคราะห์ที่แนะนำเป็นการทั่วไป กับบุคคลทั่วไป ก็จะต้องสอบ มีคุณสมบัติคือ สอบผ่านซิงเกิ้ลลายเส้น ก็จะมีคุณสมบัติส่วนบุคคล เช่น ไม่เคยมีคดีเกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ ไม่ติดคุก ให้เปิดเวบไซด์ของ ก.ล.ต. จะมีคุณสมบัติของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่ามีอะไรบ้าง

 

คำถาม : หลักในการวิเคราะห์หลักทรัพย์มีอะไรบ้าง

คำตอบ :หลักในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ก็มีหลากหลายแล้วแต่ที่จะพูดถึงเป็นอะไร เป็นหุ้น เป็นพันธบัตร โดยทั่วไปหลักการวิเคราะห์หลักทรัพย์จะดูโดยการเปรียบเทียบ อย่างเช่น หุ้นมูลค่าของสิ่งที่เราจะซื้อเท่าไหร่ นักวิเคราะห์ก็จะทำการบ้าน ไปเตรียมข้อมูล ไปศึกษาประมาณการ กำไรสุทธิของบริษัท และก็เอาข้อมูลต่างๆมาประเมินหามูลค่าที่ยุติธรรม ดึงลูกค้าที่เหมาะสมของบริษัทต่างๆ เอาเปรียบเทียบราคาตลาดปัจจุบัน ว่าราคาตลาดจะต่ำกว่าหรือแพงกว่า  ถ้าต่ำกว่ามากๆ แนะนำให้ลูกค้าซื้อได้ นักวิเคราะห์ต้องมีเหตุผลประกอบว่าทำไมถึงซื้อ ทำไมถึงขาย เหตุผลนี้ต้องสมเหตุสมผลด้วย  

 

คำถาม : ความคิดเห็นของนักวิเคราะห์มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนมากน้อยเพียงใด

คำตอบ : ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นักวิเคราะห์ชื่อดังจะมีคนสนใจเยอะ แต่นักวิเคราะห์รุ่นใหม่จะมีคนสนใจน้อย โดยทั่วไปนักวิเคราะห์จะโน้มน้าวให้นักลงทุนเชื่อในสิ่งที่เขาพูดได้  ถ้าเป็นนักวิเคราะห์ที่มาจากสถานที่ใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง การให้คอมเมนก็จะมีแผนการตลาดสมควร ซึ่งการนี้ก็ทำการรีเซอร์ออกมาแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ โบรเกอร์แห่งใหญ่ๆ เวลาซื้อจะทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นไปได้มากน้อยจะอยู่ที่คำแนะนำเขาคืออะไร หลักทรัพย์ที่เขาแนะนำคืออะไร และตลาดขณะนี้เป็นอย่างไร

 

คำถาม : ที่มาของแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศนำมาจากแหล่งใดบ้าง

คำตอบ : แหล่งที่มาจะมาจากทุกแหล่ง นักวิเคราะห์หาจากที่ไหนได้ที่เชื่อถือได้ก็ต้องใช้เท่าที่หาได้ เช่น ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นอินเตอร์เนตสามารถหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไม่ว่าเป็นข่าวสภาวะเศรษฐกิจหรือว่าข้อมูลที่เกี่ยวกับบริษัทที่จดทะเบียนสามารหาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเวบไซด์ของบริษัทเอง เว็บไซด์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น ตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ประเทศต่างๆเขาจะมีข้อมูลเหล่านี้ให้อยู่ หรือจะเป็นข้อมูลข่าวสารที่เราไปซื้อมา อย่างเช่น จะเป็นข้อมูลข่าวสารที่เป็นแพดเพิ่มเข้ามาและนำมาวิเคราะห์ได้ง่ายๆ จะเป็นข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ได้เหมือนกัน การหาข้อมูลต่างประเทศหาได้ทั่วไป เปิดเวบไซด์ที่เราสนใจจะมีขึ้นว่านักลงทุนสัมพันธ์จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของเราก็ไปอ่านและเก็บ บางที่สมบัติวิเคราะห์ต่างๆได้เลย

 

คำถาม : ขั้นตอน ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อเสนอให้กองทุนตัดสินใจในการลงทุนต้องทำอย่างไรบ้าง

คำตอบ : ขั้นตอน = แล้วแต่ ก.ล.ต. แล้วแต่ บลจ ของ MFC จะมีขั้นตอนการนำเสนอที่พอจะอธิบายได้ว่า ถ้าเรามีหุ้นตัวไหนที่สนใจ นักวิเคราะห์จะเข้าไปหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทนี้ทำอะไร แนวโน้วของผลประกอบการเป็นอย่างไร แล้วเข้าไปเยี่ยมชมกิจการซักทีหนึ่ง ไปเจอผู้บริหารไปเก็บข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์หาปัจจัยพื้นฐานของมัน ทำประมาณการผลิตกำไรในอนาคตหาข้อมูลที่เหมาะสม เปรียบเทียบกับราคาตลาด ดูว่า up ไซด์ หรือ out ไซด์ ของหุ้นตัวนี้เท่าไร ให้คำแนะนำกับผู้วิจัยการกองทุนต่างๆ โดยด้วยสิ่งที่ตัวเองไปวิเคราะห์มานี้ ความเห็นของนักวิเคราะห์คือควรซื้อ ควรขาย เฉยๆ ซึ่งการตัดสินใจการลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์คอมเมนก็ได้ จะสวนทางก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเหตุผลว่าสมเหตุสมผลแค่ไหน เช่น ปัจจัยอื่นโดยรอบ เช่น หลักทรัพย์อื่นๆน่าสนใจหรือปล่า นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จะซื้อหรือขาย ขึ้นอยู่กับผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ให้คำแนะนำอย่างเดียว และผู้จัดการกองทุนสนใจ และมีข้อสงสัยเพิ่มเติมอาจจะขอให้นักวิเคราะห์ไปเติมข้อมูลเพิ่มเติมมา

 

คำถาม : การวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้กับนักลงทุนทั่วไปต่างจากการวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้แก่กองทุนอย่างไร

คำตอบ : ในแง่ของความแตกต่างถ้าหลักการวิเคราะห์จะเหมือนกัน คุณจะใช้การวิเคราะห์แบบไหนให้กับนักลงทุนรายย่อย ก็ต้องวิเคราะห์แบบเดียวให้กับกองทุนด้วยจะไม่แตกต่างกันเพียงแต่ว่าที่แตกต่างอาจจะเป็นเรื่องของดีเทลการให้คำแนะนำ อย่างเช่น นักลงทุนทั่วไปก็จะเป็นรีเซิศรีพอร์ทที่ออกมาเป็นพร้อมปิด ฉะนั้นสิ่งที่เขียนลงไปสามารถทำให้คนรับรู้ได้ทั่วๆไป  แต่ในแง่ของกองทุนเอง ก็อาจจะมีความสนใจพิเศษจากสิ่งที่เขียนในรีเซิส  การออกรีเซิสจะต้องแฟร์ในการส่งจะต้องส่งให้พร้อมๆกันหรือไม่ใช่ส่งให้กองทุนก่อน  นักวิเคราะห์ทีหลังไม่ได้  จะผิดจรรยาบรรณ  ส่งพร้อมกัน  ได้รับพร้อมกันอยู่ที่ใครจะอ่านหรือไม่อ่าน  ถ้าเราจะขอข้อมูลจากนักวิเคราะห์ที่เราเห็นต่างต้องการ  รายละเอียดเพิ่มเต็มจากที่เขาเขียนมาไว้กรณีอย่างนี้กองทุนจะติดต่อโดยตรงกับนักวิเคราะห์ว่าช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมให้หน่อย 

 

คำถาม : ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์แต่ละครั้งนักวิเคราะห์เป็นผู้เลือกหลักทรัพย์ในการวิเคราะห์เองหรือว่าบริษัทเป็นผู้กำหนดมาให้วิเคราะห์

คำตอบ : ถ้าเป็นรูปของบริษัท  บางบริษัทที่โบรเกอร์เฮ้าจะเป็นตัวที่มีความสนใจเยอะ  เช่น หุ้นมีแคพหรือว่าตราสารหนี้ที่รู้จักกัน ของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  บริษัทจะระบุว่านักวิเคราะห์จะดูแลกลุ่มอุตสาหกรรมไหนและบริษัทอะไรและก็ดูว่าตัวไหนที่น่าสนใจในกลุ่มอุตสาหกรรมของเราและก็ทำรีเซิสมา

 

 

คำถาม : ในการตัดสินใจของกองทุนใช้ความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์ทางเดียวหรือหลายทาง ถ้าหลายทางมีทางใดบ้าง

คำตอบ : กองทุนจะมีแหล่งที่มาเยอะ  เราเองก็มีโบรเกอร์ที่ใช้งานในการวิเคราะห์ที่ให้ข้อมูลเรามากกว่า 10 ราย  ตรงนั้นในหุ้นตัวเดียวกันคอมมิเคชั่นเราก็มาจากหลายแหล่ง  ทั้งนักวิเคราะห์ภายนอก  นักวิเคราะห์ที่เราจ้างใช้เอง  ซึ่งในแง่การลงทุนเราจะนำข้อมูลข่าวสารต่างๆ มาประมวลผลว่า  ข้อมูลต่างที่ให้มา  อันไหนสมเหตุสมผล  อันไหนน่าสนใจ

 

 

คำถาม : การวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ประเภทใด

คำตอบ : กองทุนของเราเองวิเคราะห์หลักทรัพย์ทุกประเภทเพราะว่าเราเองมีการลงทุนในต่างประเทศทั้งหุ้นสามัญ  พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศหรือหุ้นกู้ที่เป็นบริษัทเอกชนในต่างประเทศรวมถึงเงินฝากกองทุนรวมของเราส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นมากกว่า  กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศว่าในแง่ของการลงทุนเองเราไม่ได้ลงตรงไปตัวพันธบัตรหลายตัว  หรือว่าหุ้นหลายตัวส่วนใหญ่จะลงทุนผ่านกองทุนรวมมากกว่า เช่น ETF เราอยากลงทุนในประเทศญี่ปุ่นเราคนไทยอาจไม่รู้จักอะไรของญี่ปุ่นเท่าไร  บริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง  จะมีกองทุนประเภทหนึ่งเป็น  แพคซี FUND  เช่น นิคิ 225  กองทุนที่ว่าจะมีหน้าตาเหมือนนิคิ 225 เวสเท่าไรก็เท่านั้น ในแง่ของนักลงทุน  เราไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หลักทรัพย์ตรงนั้นเอง  และไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลบริษัทเอง  เราอาจจะเลือกวิเคราะห์ในแง่เศรษฐกิจ  สกุลเงินเยน  และก็ลงทุนในกองทุนรวมนี้เป็นพอคซี่แทนการลงทุนในหุ้นหลายตัว  ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น

 

คำถาม : ในขณะนี้บริษัทได้เปิดกองทุนรวมที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศหรือไม่

คำตอบ :มีกองทุนที่เปิดในต่างประเทศเยอะและครอบคลุมด้วยตราสารหนี้  ตราสารทุนและเงินฝากต่างๆ  ก็จะทยอยออกมาอยู่เรื่อยๆเพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนที่ไม่มีเวลาไปศึกษาหลักทรัพย์ต่างประเทศก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้

 

คำถาม : ในต่างประเทศมีกองทุนรวมเหมือนประเทศไทยหรือเปล่า ถ้ามีแล้วมีวิธีในการวิเคราะห์เหมือนในประเทศไทยหรือไม่

คำตอบ :ประเทศไทยเอากองทุนรวมมาจากต่างประเทศ หลักการลงทุนไม่แตกต่างกันมากแต่จะแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย

 

คำถาม : การวิเคราะห์หลักทรัพย์ในประเทศและหลักทรัพย์ต่างประเทศต่างกันอย่างไร

คำตอบ :หลักการพื้นฐานเหมือนกันคือเหตุและผล ถ้าเป็นต่างประเทศจะสำคัญมากในเรื่องของค่าเงิน ถ้าลงทุนในประเทศจะเป็นค่าเงินบาท แต่ถ้าลงทุนในสหรัฐอเมริกาก็จะเป็น US ดอลล่าร์ซึ่งค่าเงินในปัจจุบันก็ผันผวนมากเหมือนกัน

 

คำถาม : เพราะเหตุใดจึงมาเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศ

คำตอบ :นักวิเคราะห์ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องการศึกษาคณะอะไร เริ่มต้นมาคงไม่มีใครมีประสบการณ์นักวิเคราะห์จดทะเบียนจะต้องสอบผ่าน CFA 1 ถ้าสอบผ่านก็มาเริ่มต้นเป็น จูเนียร์ และค่อยๆเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เตรียมตัวอย่างไร ก็ต้องตั้งใจสอบให้ผ่านถ้าคุณสอบผ่านก็มีสิทธิ

คำถาม : ถ้าสนใจในการเป็นนักวิเคราะห์จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

คำตอบ :นักวิเคราะห์ต้องรู้จักปัจจัยพื้นฐาน เราจะต้องรู้ในแง่การจ่ายเงินว่าด้วยเป็นสกุลเงินอะไร อย่างไร นักวิเคราะห์จะวิเคราะห์ให้เรา เช่น เราอยากลงทุนในยุโรปนักวิเคราะห์จะช่วยในการคัดเลือกประเทศที่จะลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ก็จะวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ประเทศใดที่น่าลงทุน แนวโน้มค่าเงินประเทศใดน่าจะแข็งขึ้นหรืออ่อนลงควรจะเป็นแง่ในการให้ข้อมูล ซับพอร์ทในแง่การลงทุนมากกว่า

 

คำถาม : ในการเปิดกองทุนที่จะไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีขั้นตอนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับนักวิเคราะห์

คำตอบ :ถ้ามีปัญหาก็มี เช่น ไปลงทุนในตราสารหนี้แล้วมันดีฟอร์ เราจะมีพอโพซีเยอร์ที่เซ็ตเอาไว้ว่ากระบวนการติดตามหนี้เป็นอย่างไร ก็จะเกี่ยวข้องกับทุกคนในบริษัท ถ้าเป็นส่วนของการลงทุน ผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์จะดูว่าเหตุของปัญหาคืออะไร การติดตามแก้ไขเป็นอย่างไรและเราจะมีการปรับตัวอย่างไรถือหลักทรัพย์นั้นไว้หรือขายออกไปก็ต้องมาปรึกษากัน

 

คำถาม : ในการแก้ปัญหานักวิเคราะห์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องนักวิเคราะห์มีวิธีอย่างไร

คำตอบ :เมื่อตัดสินใจลงทุนแล้วมันไม่ใช่ความรับผิดชอบขงคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะผู้จัดการกองทุนและไม่ใช่นักวิเคราะห์ ทุกคนมีปัญหาหมดและทุกคนก็ช่วยกันแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเอง ในแง่ของนักวิเคราะห์เองต้องไปดูว่าที่เคยวิเคราะห์ผิดพลาดมาจากสาเหตุอะไร แล้วปัจจุบันนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร อนาคตมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เราจะแนะนำให้กับผู้จัดการกองทุนอย่างไร นักวิเคราะห์จะเป็นคนแนะนำอย่างเดียว ส่วนผู้จัดการกองทุนจะเป็นคนตัดสินใจว่าในข้อมูลที่ให้มาและข้อมูลที่ตัวเองวิเคราะห์ด้วยควรจะทำอย่างไร

 

images by uppicweb.com
Thanks: ฝากรูป ฝากรูป

คำสัมภาษณ์ฝ่ายการตลาด บริษัท ประสานมิตร


ข้อ 1: นักการตลาดต้องมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง

ตอบ :   1. ประชาสัมพันธ์สินค้าของบริษัทให้เป็นที่รู้จัก

           2. สร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กร

           3. วางตำแหน่งสินค้าของบริษัทในตลาด

ข้อ 2: จรรยาบรรณของนักการตลาดมีอะไรบ้าง

ตอบ : 1. ต้องไม่โจมตีคู่แข่งขันในทางลบ

         2. ต้องมีความซื่อสัตย์

ข้อ 3: การเป็นนักการตลาดต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

ตอบ :   1. มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี

           2. มองโลกในแง่ดี

           3. ต้องทำงานเป็นทีมได้

           4. ต้องบริหารความขัดแย้งได้

           5. ต้องนำเสนอความคิดเก่ง

           6. ต้องเป็นนักเจรจาต่อรองที่ดี

           7. ต้องเป็นนักกลยุทธ์

           8. ต้องเป็นนักปฏิบัติที่ดี

           9. ต้องทันสมัยอยู่เสมอ

           10. ต้องมีจรรยาบรรณ

           11. ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี

ข้อ 4       จากการเรียนการสอนที่มหาวิทยาลัยมา พี่ได้นำความรู้อะไรมาใช้บ้างในอาชีพนักการตลาด

ตอบ : เรื่องของความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เรื่องของ 4Ps =  ตัวสินค้าต้องรู้ว่าเป็นอะไร  ราคาต้องเหมาะสมกับตัวสินค้า  สถานที่ว่าควรจะนำสินค้าไปขายที่ใด โปรโมชั่น พวกของแถม ลดราคา วิชาอื่น ก็เรื่องของการเงินเกี่ยวกับส่วนลดการบริการจัดการในทีมงาน

ข้อ 5       พี่คิดว่านักการตลาดมีส่วนสำคัญต่อบริษัทมากน้อยเพียงใด อย่างไ

ตอบ : สำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีผ่ายการตลาด ใครจะมาเป็นผู้นำตัวสินค้าออกไปสู่การแนะนำในตลาดได้  ฝ่ายการตลาดจะเป็นผู้ที่นำสินค้าในบริษัทไปบอกแก่ประชาชนผู้บริโภค ว่าบริษัทเราทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขายนะ มีบริการอย่างนี้นะ ถ้าไม่มีจะทำให้ไม่มีใครรู้จักบริษัท

ข้อ 6       บริษัทของพี่มีเทคนิคทางการตลาดอย่างไร ถึงจะสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน

ตอบ : ในเรื่องตลาดหนังสือ ก็ขึ้นอยู่กับ % ส่วนลดว่าใครลดให้กับโรงเรียนได้เยอะกว่ากัน   คุณภาพของหนังสือจะต้องดีกว่า ทั้งรูปเล่มหนังสือต้องน่าสนใจ

ข้อ7        ฝ่ายการตลาดมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเงินในบริษัทอย่างไรบ้าง

ตอบ : เมื่อเราทำการตลาดแล้วเกิดการขายแล้วนั้น  เมื่อลูกค้าสั่งของมาจะถูกเก็บบิลไว้ที่ผ่ายการเงิน และฝ่ายบัญชี เมื่อถึงเวลาฝ่ายการเงินก็ต้องรีบเก็บเงินจากลูกค้า แต่บางที่อาจจะอาศัยฝ่ายการตลาดไปช่วยเก็บเงิน

ข้อ 8       ฝ่ายการตลาดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้ลงทุนหรือ ลูกค้า อย่างไรบ้า

ตอบ : เรื่องความมั่นคงของบริษัท  ภาพลักษณ์ของบริษัท  การปันผลของแต่ละปี แนวโน้มการทำกำไรของบริษัทในอดีต ฝ่ายการตลาดจะช่วยในการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้ได้

ข้อ 9       การที่จะปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดจะต้องนำการวิจัยตลาดด้านใดบ้าง

ตอบ : ด้านสินค้าที่จะต้องวิจัย คือ ต้องทำการสำรวจความตั้งใจของลูกค้า แล้วในด้านบริษัทหนังสือจะต้องทำการสำรวจความต้องการของครูว่าต้องการสอนอะไร  ต้องการแผนการสอนไหม เนื้อหาดีเหมาะสมกับราคา

 

ข้อ 10     มีการเปลี่ยนแปลงแผนการตลาดบ่อยเพียงใด

ตอบ : ไม่ค่อยมี นอกจากว่าปีที่แล้วมีข้อผิดพลาดประการใด จึงนำมาแก้ไขเปลี่ยนแปลง

ข้อ 11     ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับแผนการตลาด

ตอบ : ถ้าจะเปลี่ยนแผนการตลาดจะทำการเจาะกลุ่มโรงเรียนขนาดใหญ่แต่ทำได้ยากมีปัจจัยจาก

  1. ผู้อำนวยการของโรงเรียนเข้าถึงยาก
  2. การต่อรองสูง

ข้อ 12     เพราะเหตุใดจึงมาเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด

ตอบ : เจ้าหน้าที่การตลาด กับ ขายเปรียบเหมือนเป็นคนๆเดียวกันเลยก็ว่าได้ เดิมที่ไม่ชอบงานนี้คิดว่าจบมาต้องไปเดิน ขายของตามบ้าน พอได้ลองทำก็รู้สึกสนุก ได้อะไรหลายๆอย่าง  ได้พบปะผู้คนหลากหลายอารมณ์ หลายอาชีพ

ข้อ 13     ถ้าสนใจการเป็นนักการตลาดจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ตอบ : เหมือนกับคุณสมบัติของนักการตลาด  ต้องรู้จักคิดตามข่าวสาร และฝึกยิ้ม และเอาใจใส่ลูกค้า และต้องรักงานบริการ

ข้อ 14     บริษัทของพี่เจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใด ทำไมถึงเจาะกลุ่มนั้น

ตอบ : โรงเรียน  เพราะเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับหนังสือแบบเรียน

ข้อ 15     คนที่เป็นนักการตลาดจำเป็นที่จะต้องจบสาขาการตลาดมาหรือไม่อย่างไร

ตอบ : ไม่จำเป็น  เพราะถ้าจบจากสาขาการตลาดมาจะได้ความรู้เรื่องการตลาดมากกว่า  ไม่จำเป็นต้องปูพื้นฐานเรื่องการตลาดใหม่ แต่ ถ้าจบสาขาอื่นมาก็ทำได้ แต่ความรู้เรื่องการตลาดจะมีความรู้ไม่มากนัก หรือไม่ลึกนัก จึงต้องเรียนรู้พื้นฐานใหม่ จบจากสาขาการตลาดมาทำนักการตลาดจึงดีกว่า

ข้อ 16     ถ้าไม่มีนักการตลาด วิชาชีพใดที่จะมาแทนนักการตลาดได้ เพราะอะไร

ตอบ : ไม่มีนักการตลาดไม่ได้  จึงไม่มีวิชาชีพใดมาแทนนักการตลาดได้  ไม่มีนักการตลาดจะทำให้ ไม่มีใครรู้จักบริษัท

 

บทสัมภาษณ์

คุณภูวพล  ว่องวิวัฒน์กุล ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการส่วน ฝ่ายเครือข่ายธนาคารสัมพันธ์                          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด  ชั้น 1 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ 898 ถนนเพลินจิต    แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330  โทร 0-2305-2595,0-2657-5757 ต่อ 2595                                     อีเมล์ : [email protected]  www.ayfunds.com

Q1 : คุณสมบัติอะไรบ้างที่แสดงถึงการเป็นนักการตลาด

A1 : นักการตลาดที่ดี อย่างแรกก็คงต้องรู้ลูกค้า รู้จักสินค้าที่เราขาย รู้จักคู่แข่ง รู้เรารู้เขา จะคุยกับลูกค้าได้ดี

Q2 : นักการตลาดมีหน้าที่อะไรบ้าง

A2 : เราก็ต้องตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้ สิ่งที่สำคัญเราจะต้องรู้จักกับลูกค้าหรือผู้บริโภคให้มาก ที่เค้าสะดุดผลิตภัณฑ์เรานี้ เค้าสะดุดเพราะอะไร

Q3 : หลักทางวิชาการที่ใช้นำมาวิเคราะห์ตลาดมีอะไรบ้าง

A3 : หลักก็คือขายเมื่อไหร่ ขายที่ไหน ขายอะไรให้ลูกค้าดี ก็คือ What When Why Where มันก็จะค่อยกำหนดช่วงแคบพอถึงปลายปี ขายอะไร ขายให้ใคร ยกตัวอย่าง กองทุนช่วงปลายปี เราไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีลูกค้าที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ตั้งใจที่จะซื้อกองทุนในช่วงปลายปี เพื่อใช้ประหยัดภาษีของเค้า ช่วงนั้นเราก็ไม่ต้องทำการตลาดอะไรมาก เพียงแต่เราต้องมองคู่แข่งว่าคู่แข่งเค้ามีโปรโมชั่นอะไร เราจะเอาโปรโมชั่นไปสู้กับเค้าเพื่อดึงลูกค้ามาซื้อในช่วงปลายปี ก็ตรงๆเราก็ดูเรื่องโปรโมชั่นเป็นหลัก “แล้วลดภาษีไปเท่าไหร่ค่ะ” ขึ้นอยู่กับรายได้ของลูกค้าลูกค้าที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่ได้ยื่นภาษีรายได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อกองทุน ถ้าเรารู้ลูกค้าเป็นแบบนี้ เราก็คงไม่ต้องขายกองทุนที่ใช้เพื่อลดหย่อนภาษี เราขายเป็นกองเปิด ก็ขึ้นอยู่กับลูกค้า พูดถึงคนที่สามารถนำกองทุนมาลดหย่อนภาษีได้ ก็ประหยัดภาษีจากยอดซื้อได้ตั้งแต่ 10 % - 37% สำหรับผลตอบแทนที่เค้าจะได้กับมาแน่ๆ ภาษีที่ถูกหักไปตั้งแต่ 10% - 37% ขึ้นอยู่กับว่ารายได้ของเค้ามากน้อยแค่ไหน

 

 

Q4 : เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดมีอะไร อย่างไรบ้าง

A4 : อย่างแรกดูช่วงเวลานี้ในอดีตว่าเราเคยขายอะไรได้ดี เอามาเปรียบเทียบกัน อย่างสมมุติ ตอนนี้เดือนกันยายน ถ้าดูตัวเลขเราก็คงรู้ว่า ช่วงนี้กองทุนที่นำมาลดหย่อนภาษียังไงก็ขายไม่ดีนัก กองทุนหน่วยลงทุนมันค่อนข้างเป็น Season ไม่ใช่ว่ากองทุนหนึ่งเราจะขายได้ตั้งแต่ ม.ค. - ธ.ค. อย่างเดือนกันยานี้ สิ่งที่พยายามให้กองทุนที่ขายได้ไม่ดีในช่วงนี้ขายได้ดีขึ้น เทคนิคคือ อาจจะเอาตัวเลขของยอดขายในอดีต ณ ช่วงเดียวกันมาดู แต่ว่าปีที่แล้วมันชัดเจน คือ กองทุนที่ขายดี คือ กองทุนที่มีระยะเวลา อย่างเช่น กองพันธบัตรเกาหลี แต่ว่าปีนี้คงไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เพราะว่าผลตอบแทนของกองทุนแบบนี้ปัจจุบันมันได้น้อยลง ก็ยากขึ้น เพิ่งออกสาขามาให้เค้าเน้นขาย LMFGMF มากขึ้น

Q5 : ขั้นตอนในการดำเนินงาน การวิเคราะห์ตลาดมีกี่ขั้นตอน อย่างไรบ้าง

A5 : ส่วนใหญ่ทำเป็นทีมขั้นตอนจริงๆมีฝ่ายกำหนดพวกสินค้าร่วมรายการอยู่ เค้าก็มีส่งข้อมูลมาว่าสินค้านี้ต้นทุนเท่ากัน ได้สินค้าอะไรบ้าง ฝ่าย Marketing จะเป็นคนเลือก ส่วนช่วงเค้ารียกว่าช่วงของยอดซื้อ ที่ได้สินค้าส่วนใหญ่เค้าใช้ในอดีตทั้งนั้น เวลาไปจัด Booth ตามงานเช่น Money Expro งานประหยัดภาษีนาทีสุดท้าย เราก็ใช้ช่วงราคาไม่ต่างกัน แต่เราเปลี่ยนสินค้าโปรโมชั่นเท่านั้น

Q6 : ที่มาของแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดนำมาจากแหล่งใดบ้าง

A6 : มีฝ่ายคอยดูแลเรื่องข่าวสารของบลจ.อื่นๆอยู่แล้ว มีฝ่ายโดยเฉพาะเค้าจะมีข้อมูลมาเลยว่า ข่าวที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมของแต่ละที่ลงหนังสือพิมพ์อะไร มีข่าวอะไรอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น ของMFC เป็นบลจ.หนึ่ง เค้ามีโปรโมชั่นที่ซื้อหน่วยลงทุน ที่เค้าเรียกว่าหน่วยลงทุนตราสารทางการเงิน มีโปรโมชั่นหลายอย่างสมมุติ เช่น ซื้อ Money Market 5 ล้านบาท ได้บัตรกำนัลไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ แต่เค้ามีเงื่อนไขคือต้องถือต่ออีก 3-4 เดือน

Q7 : ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะของการร่วมงานกับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หรือไม่อย่างไร

A7 : นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่นี่จะเรียกว่าฝ่ายการลงทุน จะไม่เจาะเป็นหลักทรัพย์รายตัว เค้าจะมองเป็นมุมกว้างมากกว่า Fun Manager เค้าก็จะสรุปให้ฟัง ทุกวันจันทร์ ภาวะตราสารนี้เป็นอย่างไร อัตราดอกเบี้ยขึ้นลงมากน้อยแค่ไหนในแต่ละช่วงเวลา และก็ตราสารทุน กองน้ำมันเป็นอย่างไร เค้าก็จะกำหนดมาว่าช่วงนี้น่าจะขายกองอะไร เช่น บางช่วงเราก็มีเสนอกองทุนใหม่ๆ ช่วงนั้นเค้าก็จะให้ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ก็ต้องให้ข้อมูลของกองใหม่มากขึ้นในช่วงๆนั้น

Q8 : ในการวิเคราะห์ตลาดให้กับบริษัท ท่านมีวิธีในการเจาะตลาดอย่างไรบ้างที่สามารถเพิ่มผลประกอบการให้กับบริษัทได้

A8 : ถ้าเป็นลูกค้ารายคน มีวิธีคือ แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ เราก็มีการ List E-mail ของลูกค้า แล้วก็ส่งข้อมูลโปรโมชั่นในช่วงนั้นๆทาง E-mail ตรงนี้ถือว่าไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนที่เสียคือฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์เค้าก็จะมีเป็น โฆษณาทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ และมีห้องผู้สื่อข่าวอยู่ที่ชั้น 12 ก็เค้าจะมา มาทำข่าวเกี่ยวกับเราให้ อีกทางหนึ่งคือส่ง SMS หาผู้ถือหน่วยที่ให้เบอร์มือถือไว้

Q9 : ความคิดเห็นของท่านมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนมากน้อยเพียงใด

A9 : มีครับ นักลงทุนส่วนใหญ่ สิ่งที่เค้าต้องการมันก็เหมือนกันทุกคน ซื้อช่วงไหน ซื้อหน่วยอะไรช่วงไหนดี ถ้านักการตลาดเอาความคิดเห็นส่วนตัวไปเจาะว่า “พี่ซื้อช่วงนี้ดีกว่า ช่วงเดือนธันวา มันก็ต้องมีเหตุผล” ถ้าโดยส่วนตัวคิดเอง แล้วไปบังคับลูกค้าให้ทำตามสิ่งที่เราคิด ที่จริงมันเป็นสิ่งที่ผิด โดยเฉพาะกองทุนถ้าเป็นกองที่เกี่ยวกับหุ้น ถ้าเรามองว่าหุ้นจะลง พี่คงไม่ให้เค้าซื้อ ทั้งๆที่เค้าเข้ามาในใจเค้าอาจจะอยากที่เริ่มซื้อ แล้วมองว่าหุ้นลง พี่ไปบอกเค้าว่าไม่ควรซื้อ ที่จริงมันเป็นสิ่งที่ผิดเราควรให้ข้อมูลที่เป็นสภาวะปัจจุบัน ด้านดี ด้านไม่ดี แล้วกองทุนนี้มันลงทุนอย่างไร ให้เค้าได้ตัดสินใจเองว่าลงทุนตอนนี้มีแนวโน้มที่เป็นบวกอะไร แนวโน้มที่เป็นลบอย่างไร เค้าเริ่มซื้อทีเดียวทั้งหมด หรือเค้าจะทยอยซื้อ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเค้าเอง

Q10 : ในขณะนี้บริษัทได้มีการส่งเสริมการตลาดอย่างไรบ้าง

A10 : เรามีหลายอย่างมากเลยครับ เรื่องการส่งเสริมการตลาด บลจ.เราถือว่าเป็นบลจ. ที่ช่วยวางแผนให้ลูกค้า เรามีกาส่งเสริมการตลาดตั้งแต่ต้นปี เรารู้ว่า Season ที่ลูกค้าจะซื้อมันช่วงปลายปี สมมุติกองทุนประเภทหนึ่งที่ลูกค้านิยมซื้อช่วงปลายปี อย่างเช่น LTF ที่เน้น LTF เป็นพิเศษนี้เพราะว่า มันเจาะถึงลูกค้าได้เยอะ กลุ่มลูกค้ามนุษย์เงินเดือน ถ้าเค้าเสียภาษี เค้าก็อยากได้เงินคืน มนุษย์เงินเดือนมรความรู้ด้วย ดังนั้นการตลาดของเรา เราเน้นช่วงต้นปี โดยเน้นให้ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม ให้ลูกค้าช่วยมาซื้อช่วงต้นปีด้วย โดมีโปรโมชั่นการซื้อแบบต่อเนื่อง คือลูกค้าซื้อครั้งเดียวไม่ได้ ต้องซื้อต่อเนื่องเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือน 1- 12 จะได้มาก และก็มีว่า ถ้าซื้อขายภายในครึ่งปีแรก เราให้เพิ่มอีก ก็เป็นแผนการตลาดอย่างหนึ่งโดยให้เป็นหน่วยลงทุนบ้าง ให้เป็นบัตรกำนัลบ้าง

Q11 : การวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ สามารถช่วยในการวิเคราะห์ตลาดภายในประเทศได้มากน้อย เพียงใด

A11 : ช่วยครับ เราจะดูว่าธุรกิจกองทุนนี้ดีหรือไม่ดี เรามักจะดูธุรกิจกองทุนรวมของต่างประเทศ ในหลายประเทศนักลงทุนจะฝากเงินไว้กับแบงก์น้อยกว่าลงทุนในกองทุนรวม สำหรับประเทศไทยถือว่าเงินฝากมันมีสัดส่วนมากกว่าเงินทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมเยอะ มันก็มองได้ว่าธุรกิจกองทุนรวมมีโอกาสเติบโตอีกเยอะ ถ้ามองธุรกิจกองทุนรวมในต่างประเทศ สินค้านี้มีโอกาสเติบโตได้ ถ้าดูสินค้านี้จากประเทศอื่นๆ

Q12 : การวิเคราะห์ตลาดภายในประเทศและการวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศแตกต่างกันอย่างไร

A12 : แน่นอนครับ การศึกษาของคนไทย กับการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้วมันต่างกัน อย่างที่เราเคยได้ยินครับว่าคนไทยที่ยังไม่รู้หนังสือมีจำนวนมาก และก็ที่จะสนใจอ่านหนังสือก็น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้นการที่เราจะขายของต้องทำให้เค้ารู้จัก จะขายกองทุนให้เค้า ให้เค้ามีความรู้ก่อน ไม่ใช่ว่าไปขายเค้าโดยแจ้งข้อมูลผิด ยกตัวอย่างว่า กองทุนมันไม่เหมือนเงินฝาก เงินฝากใครๆก็รู้จัก มีทั้งเรื่องเงินฝากปลอดภัย มีศูนย์ประกันเงินฝาก เป็นองค์กรหนึ่งที่คอยช่วยผู้ฝากเงิน แต่กองทุนรวมมันไม่ใช่ ถึงแม้เป็นกองทุนที่ปลอดภัยแต่ก็มีโอกาสเงินสูญได้ แต่ว่าแน่นอนกองทุนมันให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก การที่จะให้ความรู้ของคนขาย เพื่อให้คนขายไปขายสินค้า ให้กับผู้บริโภค มันค่อนข้างยาก มันต้องใช้เวลา

Q13 : ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรสำหรับกลุ่มตลาดที่น่าลงทุนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และส่งผลต่อหน่วยธุรกิจของท่านอย่างไรบ้าง

A13 : เศรษฐกิจช่วงนี้ มันอยู่ในช่วงที่พื้นตัวแล้ว ตัวอย่าง เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา มันอยู่ในช่วงตกต่ำจากทางด้านการเมือง จากต่างประเทศ ก็ส่งผลกระทบ ช่วงธุรกิจในแต่ละช่วงยอดขายมันต่างกันบางทีมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อกองทุน กองทุนบางกองทุนไปลงในตราสารหนี้ของบริษัท อาจจะเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ ตลาดหุ้นร่วงระนาว บริษัทๆหนึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับให้เงินกู้นักลงทุน เค้าไม่ชำระหนี้กับกองทุน ส่งผลกระทบผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมา ของเราจะเรียกว่า Defoursec ส่วนที่เราลงทุนในบริษัทที่มีปัญหา มันจะถูกแยกออกมา เงินจากลูกค้าที่ได้ลงทุนในกองทุนเดียวจะถูกแยกออกมาเป็น 2 ก้อน เงินในบัญชีที่ลงทุนในกองทุนจะหายไปทันที ดังนั้นมันมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ว่าช่วงนี้ฟื้นตัวขึ้นมาก็ทำให้ยอดขายดีขึ้น

Q14 : การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ในการนำมาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจของผู้ลงทุน

A14 : วิเคราะห์พื้นฐานของหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ ก็มีผลอยู่แล้ว ถ้านักลงทุนจะซื้อหุ้นตัวหนึ่งมันมีการวิเคราะห์หลายอย่าง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างน้อยๆ มันมีการคาดการณ์ราคาเป้าหมายให้ลูกค้าทราบ ดังนั้นจะไปเชียร์หลักทรัพย์ซึ่งมีราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาตลาด ยกตัวอย่าง ปตท.ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 320 บาท แต่ว่าราคา ปตท.ขึ้นมาที่ 400 บาท แน่นอนครับ เราจะไปเชียร์ลูกค้าให้ซื้อ ปตท.ที่ราคา 400 บาท ทั้งๆที่มีการวิเคราะห์ไว้ที่ 320 บาท ลูกค้าคงไม่ซื้อ แต่ว่ามันก็มีอะไรที่มากกว่านั้น บทวิเคราะห์อาจจะไม่เป็นปัจจุบันหรืออะไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนกล้าซื้อหรือกล้าขายหุ้น

Q15 : ถ้าเกิดข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ ท่านมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง โดยที่ส่งผลกระทบกับผู้ลงทุนน้อยที่สุด

A15 : การลงทุนมันต้องมีระเบียบ ถ้าเราพูดถึงปัจจัยพื้นฐาน เราก็ต้องเอาปัจจัยพื้นฐานมาบอกให้ลูกค้าทราบ สมมุติว่าเชียร์ ปตท. เค้าเคยให้ปัจจัยพื้นฐานไว้ที่ 420 บาท เราเชียร์ลูกค้าซื้อตอน 400 บาทจริงๆมันก็น่าซื้อ เพราะว่ามันยังต่ำกว่าราคาประเมิน ณ วันหนึ่งมันลงมาที่ 380 บาทจริงๆมันไม่ใช่ความผิดพลาดของลูกค้า มันไม่ใช่ความผิดพลาดของเรา ไม่ใช่ความผิดพลาดของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แต่ว่าราคามันลง เพราะว่ามันเกิดจาก Demand Supple ในตลาด เกิดจากอารมณ์ บทวิเคราะห์ล่าสุดบอกว่าเป็น Buy ที่ 400 บาท ราคาตลาดอยู่ที่ 300 บาท ลูกค้าก็ต้องถือ เพราะเราซื้อตามปัจจัยพื้นฐาน ก็คือต้องถือหรือซื้อเพิ่ม แต่เราต้องตัดตามบทวิเคราะห์จากหลายๆที่ว่าแต่ละที่ไม่ควรคิดเหมือนกัน ต้องคิดของเค้าเองว่าเค้ามีนักวิเคราะห์ของเค้าเอง แน่นอนพอเริ่มมีการเปลี่ยนราคาปัจจัยพื้นฐานจากที่หนึ่งนั้น เราก็ควรเข้าไปดูว่า เค้ามีบทวิเคราะห์ว่าอะไร ทำไมถึงปรับราคาตามปัจจัยพื้นฐานลง เราก็อาจจะแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าทราบ เรามีหน้าที่ให้ข้อมูลปัจจุบันกับลูกค้า เราให้เค้าตัดสินใจอีกรอบหนึ่ง ถ้าเค้าปรับประมาณการต่ำกว่าราคาตลาด แน่นอนเค้าต้องขายหุ้นที่เค้าถือ “คือเราจะบังคับเค้าไม่ได้” ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆเราแนะนำปัจจัยพื้นฐาน แต่ไปให้เค้าซื้อขายตามปัจจัยทางด้านเทคนิค ปัจจัยทางด้านเทคนิคใช้ราคาในอดีตบอกแนวโน้ม ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่ซื้อเพราะพื้นฐานแต่ขายเพราะเทคนิค

Q16 : จรรยาบรรณวิชาชีพสำหรับนักการตลาดมีอะไรบ้างและมีความสำคัญอย่างไร

A16 : ก็ควรให้ประโยชน์กับลูกค้าสูงสุด ไม่ใช่ให้ประโยชน์ผู้ขายสูงสุด เช่นโบรกเกอร์ได้รายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ ซื้อหุ้นล้านหนึ่ง ขายล้านหนึ่ง อันนี้คือสองล้าน สองล้านคือผลประโยชน์ของบริษัทหลักทรัพย์ แต่ผลประโยชน์ของลูกค้าคือ เค้าอยากได้ซื้อล้านหนึ่งแต่ขายได้ราคา ได้เงินกลับมาล้านห้า เราควรมองประโยชน์ของลูกค้ามากกว่า แต่ว่าล้านหนึ่งมาล้านห้านี้ มันอาจจะใช้ระยะเวลาก็คือ ไม่ใช่ประโยชน์ของหลักทรัพย์เลย เค้าซื้อหุ้นไว้ล้านหนึ่ง เมื่อเดือนกันยายนปี 53 แต่เค้าตั้งเป้าไว้ล้านห้า ปรากฏว่าถึงล้านห้า เดือนกันยายนปี 54 ระยะเวลา 1 ปี เค้าไม่ได้ซื้อขายเลย เท่ากับโบรกเกอร์ไม่ได้ประโยชน์ ก็ประโยชน์ลูกค้าสำคัญ 

Q17 : การเป็นนักการตลาดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจวัตรประจำวันของท่าน อย่างไรบ้าง

A17 : ก็บอกว่าขายอะไร ถ้าเราขายกองทุน เราก็ควรที่จะรักกองทุน เราแนะนำอะไรลูกค้า เราก็ควรทำตามที่เราแนะนำ อย่างเราเสียภาษี เราแนะนำให้ลูกค้าซื้อหน่วยลงทุน มาเพื่อลดหย่อนภาษี แต่บางตัว มันเป็นหน่วยลงทุนที่เป็นการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ ดังนั้นตัวเราเอง ก็ควรซื้อหน่วยลงทุน เพื่อวางแผนในวัยเกษียณ เหมือนกับที่เราแนะนำให้ลูกค้า แล้วเราก็จะเห็นว่าประโยชน์ อย่างเรามีความรู้แบบนี้ เรารู้แล้วละว่า เราจะจูงใจให้ลูกค้าซื้อกองทุนเพื่อวัยเกษียณ เราต้องใช้ตัวเลขของการเงินที่ควรมีก่อนเกษียณ เพื่อขายลูกค้า พี่ยกตัวอย่างว่าคนที่ทำงานตอนอายุตอนนี้ สมมุติยกตัวอย่างพี่เลย พี่อายุ 25 ปี น่าจะทำงานถึงอายุ 55 ปีตัวเลขนี้คือ พี่ทำงานอีก 30 ปี แต่พี่ต้องวางแผนไว้แล้วว่า พี่เท่าไหร่จึงจะเสียชีวิต อาจจะ 90 ปี แล้วตาย พี่ไม่มีรายได้ แต่พี่ต้องอยู่ต่ออีก 35 ปีดังนั้นถ้าพี่วางแผน ตั้งแต่วันนี้ พี่ก็จะเก็บเงิน เดือนละไม่มากนัก แต่ถ้าพี่ไปเก็บตอนอายุ 54 ปี อีกปีเดียวพี่ก็จะเกษียณแล้ว ตอนแก่ก็คงลำบาก ถ้าเราไม่มีลูกมีหลาน เราก็ยิ่งลำบาก ดังนั้นทำให้เราได้ทำการบ้านเร็ว แล้วเราก็ลงทุนอย่างที่เราแนะนำลูกค้า

สมาชิกกลุ่ม4

  1. นางสาวมินตรา                   ประเสริฐศรี(คานทอง)      รหัสนักศึกษา 50473120004
  2. นางสาวกานดา                    นามคำ                                   รหัสนักศึกษา 50473120007
  3. นางสาวแพรไหม                เกรียงไกร                           รหัสนักศึกษา 50473120020
  4. นางสาวผกามาส                 สมทอง                                  รหัสนักศึกษา 50473120024
  5. นางสาวกาญจนา                พิมคำมูล                               รหัสนักศึกษา 50473120047
  6. นางสาวมาลีวัลย์                 พ่วงพร                                  รหัสนักศึกษา 50473120049
  7. นางสาวน้ำฝน                     พลแรง                                   รหัสนักศึกษา 50473120053

โปรแกรมวิชา บริหารธุรกิจ(การเงินการธนาคาร)

 

 

 

บทสัมภาษณ์ 

โบรกเกอร์ : นายฆนัท  วิรัชอมรพันธ์ , นายณัฏฐ์  ธรฤทธิ์ , นายกฤษฏิ์ภัฏ  ภักดีบัญชาศักดิ์
สถานที่ : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย

นักศึกษา : สวัสดีค่ะ คุณฆนัท  วิรัชอมรพันธ์ , คุณณัฏฐ์  ธรฤทธิ์ และคุณกฤษฏิ์ภัฏ  ภักดีบัญชาศักดิ์
โบรคเกอร์ : สวัสดีครับ

นักศึกษา : ขอรบกวนเวลาสักครู่นะค่ะ ขอสอบถามเกี่ยวกับการทำงานเป็นโบรกเกอร์นะค่ะ
โบรกเกอร์ : ยินดีครับ

นักศึกษา : เริ่มเข้ามาทำงานได้อย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : เห็นประกาศรับสมัครทาง Website แล้วส่งResume ให้ทางบริษัท หลังจากนั้นก็ได้รับ sms จากบริษัทตอบกลับมาให้ไปสอบสัมภาษณ์ครั้งแรก โดยจะมีการสอบสองครั้งคือ ครั้งแรกสอบข้อเขียน มี 80ข้อและมี 2ส่วนคือ 1. ส่วนบัญชี 40 ข้อ 2.ส่วนเศรษฐศาสตร์ อีก 40 ข้อ เป็นภาษาอังกฤษและข้อสอบจรรยาบรรณธุรกิจ เมื่อสอบข้อเขียนผ่านก็จะมีการสอบรอบที่สองคือสอบสัมภาษณ์กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท

นักศึกษา : ค่ะ แล้วการหาลูกค้าให้บริษัทนี่หาได้อย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : ทางบริษัทจะมีการออกงานEvent เช่น Set in the city หรืองานMoney Expo เป็นต้นเราก็จะไปยืนต้อนรับและให้คำแนะนำกับลูกค้าก็จะได้ลูกค้ามางานส่วนนี้เยอะ แต่ก็จะมีบางส่วนที่ลูกค้า walk in เข้ามาหาเองเพราะสนใจในการลงทุน

นักศึกษา : แล้วเคยมีปัญหาในกรณีหุ้นตก แล้วลูกค้าโวยวายไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : ก็มีบ้างครับ ทางเราก็จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงตกอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นใน ณ ตอนนั้นจึงมีผลทำให้หุ้นตก

นักศึกษา : แล้วมีการแย่งลูกค้ากันบ้างไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : ไม่มีครับ เพราะจะมีการแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เมื่อลูกค้า walk in เข้ามาทางบริษัทจะมีการจะลำดับของลูกค้าและโบรกเกอร์ด้วย

นักศึกษา : มีการจัดการที่ดีนะค่ะ  ในกรณีที่เราคีย์คำสั่งหุ้นผิดพลาดมีการแก้ไขยังไงค่ะ
โบรกเกอร์ : จะต้องแก้ไขภายใน 15 นาทีครับ โดยจะเข้าคำสั่ง account ของลูกค้าบอกกับทางหัวหน้าฝ่ายและยกเลิกทันที  ในกรณีที่คำสั่งซื้อขายผิดพลาดใน 24 ชม. โบรคที่รับผิดชอบต้องรับผิดชอบคำสั่งนั้นเพียงผู้เดียว แต่ถ้าเกิน 15 นาทีผู้จัดการกับโบรกเกอร์รับผิดชอบคนละ 50%ครับ

นักศึกษา : พี่ๆหาแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือมาจากไหนค่ะ
โบรกเกอร์ : ทาง K-bank มีทีม Research และนักวิเคราะห์ครับ จะมีการประชุมในตอนเช้าทุกเช้าเพื่อชี้แจงข่าวสารข้อมูลของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาทำการวิเคราะห์ประชุมในเรื่องกลยุทธ์ การลงทุน ว่างการลงทุนระยะสั้น ระยะยาวควรทำอย่างไร

นักศึกษา : ค่ะ แล้วอย่างนี้เวลาการทำงานเป็นอย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : ก็เข้างานตอนเช้า 08.30 น. เพราะต้องเข้ามาฟังข่าวร่วมกันอย่างที่บอกไป เลิกงานก็ 17.00 น.ครับ

นักศึกษา : แล้วโบรกมีการเล่นหุ้นไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : เล่นไม่ได้ครับ เนื่องจากผิดกฎ กลต.

นักศึกษา : การจัดพอร์ตลูกค้าทำอย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าต้องการผลตอบแทนอย่างไร เช่น บางคนเล่นในระยะสั้นก็จะดูแนวโน้มและปัจจัยว่าหุ้นสามารถจะขึ้นและเก็งกำไรมากแค่ไหน  แต่ส่วนมากคนจะเล่นกันในระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรครับ

นักศึกษา : ค่าคอมมิชชั่นได้มาจากไหนค่ะ
โบรกเกอร์ :  เฉลี่ย Volume ล้านละ 500 บาท (ถ้าเข้าตลาด ถ้าซื้อขาย 1 ล้านค่าคอมจะอยู่ที่ 2,500 บาท) ตรงนี้คือจะเฉลี่ยแบบขั้นบันได ยิ่งเทรดมากค่าคอมก็จะเพิ่มขึ้น       

นักศึกษา : ค่ะ แล้วถ้าต้องการเปิดบัญชีกับ K-bank ต้องมีวงเงินขั้นต่ำเท่าไหร่ค่ะ
โบรกเกอร์ : ถ้าเป็น cash balance ไม่มีขั้นต่ำครับ แต่ถ้าเป็น account ขั้นต่ำ 5 แสนครับ

นักศึกษา : แล้ว ณ ตอนนี้มีกลุ่มอุตสาหกรรมไหนที่น่าสนใจบ้างค่ะ
โบรกเกอร์ : ก็จะเป็นกลุ่มพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ครับ เพราะจะมีผลกำไรในไตรมาสที่ 2

นักศึกษา : มีหุ้นตัวไหนแนะนำไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : แนะนำหุ้นราชบุรีในกลุ่มพลังงานครับ หุ้นไม่ตกตามสภาวะตลาด และมีการประกันราคาโดยภาครัฐและใช้Technical ในการวิเคราะห์หุ้น เช่น trend line ของ moving average ขึ้นหรือลงก็ต้องดูสัญญาณจากทางเทคนิค MCD และ RSI

นักศึกษา : ที่นี่รับนักศึกษาฝึกงานไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : จะมีบางส่วนรับ ในฝ่ายของโบรกเกอร์ไม่รับครับ team internet รับครับ

นักศึกษา : ต้องขอบคุณพี่ๆที่ให้ความรู้ในวันนี้มากเลยนะค่ะ
โบรกเกอร์ :ไม่เป็นไรครับ ยินดี…

 

 

 

 

 

 

นางสาวสุดารัตน์  บุญมาก  รหัส 51127312017
นางสาวจามจุรี  ศรีสวัสดิ์   รหัส  51127312019
นายสิทธิชัย  วงศ์เต้จ๊ะ       รหัส  51127312022
นายพงศ์พันธุ์   มณีเขียว   รหัส  51127312027
นางสาวสุพรรณิการ์    กันภัย   รหัส  51127312031
นางสาวลัทธวรรณ  สุขบุญเพ็ญ   รหัส  51127312034

 

การเงินการธนาคารปี 4 (บริหารธุรกิจ)

                                   บทสัมภาษณ์ โบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

สถานที่                  บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) Tower A เซ็นทรัลปิ่นเกล้า

โบรกเกอร์             ชื่อคุณอำนาจ       คุระแก้ว                 ชื่อเล่น พี่แอ็ด

นักศึกษา              สวัสดีค่ะ วันนี้เราก็มาที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส นะค่ะ จะมาสัมภาษณ์ พี่โบรกเกอร์เดี๋ยวจะ ให้ 

                              พี่บอกประวัติ และชื่อของคุณพี่นะค่ะ

พี่แอ๊ด                    สวัสดีครับ พี่ชื่ออำนาจ  คุระแก้ว  เป็นเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัสนะครับ ได้ทำงานตรงนี้มาประมาณ 8 ปี ครับ ก็คือตั้งแต่จบใหม่ๆ ครับ

นักศึกษา               ในแต่ละวันพี่มีการเตรียมตัวในการทำงานอย่างไรบ้างค่ะ

พี่แอ๊ด                    ตอนเช้าเข้ามาที่Officeก็ต้องมาอ่านข่าว เช็คข่าวในอินเตอร์เน็ต ข่าวจากResearchต่างๆ และก็ฟังResearch  เขาจะResearch ระหว่าง Office กับสาขาครับ ว่าแนวโน้มตลาดแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้างครับ

นักศึกษา               ก็คือตอนเช้าเข้ามาก็จะต้องติดตามข่าวอยู่ตลอดเวลาเลยนะค่ะ

พี่แอ็ด                     ใช่ครับ

นักศึกษา               เวลาลูกค้าเข้ามาติดต่อพี่ พี่มีการแนะนำในการลงทุนอย่างไรบ้างค่ะ

พี่แอ็ด                    ส่วนใหญ่ก็ต้องทราบการสไตล์การลงทุนของลูกค้าก่อนว่า ลูกค้ามีการลงทุนแบบไหนอย่างไร อย่างเช่นลูกค้าบางคนมีการเล่นหุ้นหุ้นปันผล หรือว่าเล่นหุ้นถือระยะยาวนะครับ ต้องดูว่าสภาพการลงทุนของลูกค้าแต่ละคนว่าต้องการลงทุนประเภทไหนครับ

นักศึกษา               ก็คือต้องดูลูกค้าเป็นหลักว่าต้องการลงทุนเป็นแบบไหน

พี่แอ็ด                     บางคนลูกค้าต้องการลงทุนซื้อขายแบบวันเป็นวัน ก็ต้องดูหุ้นที่ซื้อขายเร็วให้ลูกค้า

นักศึกษา               ลูกค้าที่พี่ดูแลอยู่มักจะลงทุนในหุ้นประเภทไหนค่ะ

พี่แอ็ด                    ก็จะดูโดยรวมมากกว่าครับ ลูกค้าแต่ละคนชอบเล่นหุ้นกลุ่มแบงค์ หรือบางคนชอบเล่นหุ้นกลุ่มพลังงานก็จะคละเคล้ากันไปนะครับ

นักศึกษา               ในการดูแลลูกค้าพี่มีวิธีอย่างไรที่ทำให้ลูกค้าเชื่อถือได้ค่ะ

พี่แอ็ด                    ก็มีข้อมูลให้ลูกค้าที่น่าเชื่อถือแบบรับรองได้นะครับ ก็คือก่อนพี่จะโทรไปรายงานลูกค้าแต่ละครั้ง เราก็ต้องศึกษาข้อมูลก่อนว่า ข้อมูลตรงนี้มันแบบนี้ ถ้าลูกค้าต้องการข้อมูลของหุ้นปตท.มันมีอะไรบ้าง อย่างลูกค้าสนใจจะซื้อ ปตท.ก็ต้องศึกษาข้อมูลของหุ้นปตท. ก่อนว่า มันดีอย่างไรแนวรับ แนวต้านของหุ้นตัวนี้มันควรอยู่ตรงไหน ครับ

นักศึกษา               พี่คิดว่าบริษัทของพี่มีจุดเด่นอย่างไรค่ะ ในการดึงดูดลูกค้าในการเข้ามาลงทุนค่ะ

พี่แอ็ด                    จุดเด่นของบริษัทนะครับ ก็คือทีมResearch และก็มีหลายหน่วยงานที่Support ที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าครับ

นักศึกษา               พี่มีเทคนิคในอะไรในการดูแลลูกค้าบ้างค่ะ

พี่แอ็ด                     ก็Marketing แต่ละคนก็จะมีเทคนิคในการที่จะคุยกับลูกค้าที่แตกต่างกันไปนะครับ

นักศึกษา               และสไตล์ของพี่เป็นอย่างไรบ้างค่ะ

พี่แอ็ด                    สไตล์ของพี่ก็ เมื่อลูกค้าทำกำไรออกแล้ว เราก็ต้องหาหุ้นตัวอื่นที่ให้ลูกค้าสามารถเข้ามาซื้อตัวใหม่ได้ ก็ต้องดูกราฟ ดูอะไรพวกนี้เป็นด้วย ดูแนวรับ แนวต้านของหุ้นว่าตัวนี้มันเป็นอย่างไรเพื่อให้ลูกค้าจะได้ไม่ต้องถือระยะยาวเกินไปครับ

นักศึกษา               พี่มีกลยุทธ์อย่างไรให้การเล่นหุ้นค่ะ

พี่แอ็ด                     กลยุทธ์ของพี่คือ ซื้อเร็ว ขายเร็ว  เอากำไรไว้ก่อนครับ

นักศึกษา               ถ้าพวกเรามีความสนใจที่อยากจะเป็นโบรกเกอร์พี่มีคำแนะนำอย่างไรบ้างค่ะ

พี่แอ็ด                    ถ้าเกิดว่าน้องอยากทำงานด้านโบรกเกอร์ใช่มั้ยครับ ขั้นแรกก็ต้องสอบใบอนุญาต หรือลายเซ็นให้ผ่านก่อน เดี๋ยวนี้มันจะมีการสอบลายเซ็นหลายแบบ ก็จะมีลายเซ็นเกี่ยวกับหุ้น ขั้นแรกก็คือน้องMarketingใหม่นะครับก็อาจจะต้องมีความอดทนนิดนึงนะครับ เพราะว่าอาจจะยังไม่ค่อยมีฐานลูกค้าสักเท่าไร แต่ว่าพอเราเริ่มมีฐานลูกค้าแล้วนะครับเราก็จะดีขึ้นครับ

นักศึกษา               สุดท้ายก็จะให้พี่บอกเคล็ดลับดีๆกับนักลงทุนที่อยากจะลงทุนอย่างไรบ้างค่ะ

พี่แอ็ด                    ขั้นแรกก็คือต้องมีความรู้ในขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นบางส่วนนะครับ  เพราะว่าจะเชื่อแต่Marketing อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะ Marketingบางคนก็อาจจะต้องการแค่Volume ก็จะซื้อมาขายไปก็จะปั่นVolume ของตัวเองนะครับ และก็นักลงทุนก็ต้องมีความรู้ของตัวเองด้วยเพื่อที่จะให้รู้เท่าทัน ฮาร์ดิสก์ของพวกพี่

นักศึกษา              สรุปว่าโบรกเกอร์จะต้องทันข่าวสารอยู่ตลอดเวลา และก็มีกลยุทธ์ของตัวเองในการพูดของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันนะค่ะ

พี่แอ็ด                     เพราะว่าMarketing บางคนก็จะมีการบริหารการลงทุนให้กับลูกค้าไม่เหมือนกันครับ

นักศึกษา              ก็สำหรับวันนี้พวกเราก็ต้องขอขอบคุณมากนะค่ะ ที่พี่ให้คำแนะนำความรู้และจำนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และในการศึกษาด้วยนะค่ะ

พี่แอ็ด                     ขอบคุณครับ

 

น.ส.วิไล                ชลเขตต์                 51127312001

น.ส.ศิริวรรณ       ยอดธรรม              51127312008

นายรัฐภูมิ             แพงคูณ                  51127312011

น.ส.วราลักษณ์    พาดี                         51127312012

น.ส.อรวลี             พิพัฒน์ภิญโญยศ  51127312020

น.ส.กุสุมา             คำคล้าย                  51127312035

การเงินการธนาคารปี 4

 

 

การเงินการธนาคาร ปี4

บทสัมภาษณ์โบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง สาขาเดอะมอล์ท่าพระ

1. ประวัติและสถานที่ทำงานของพี่

ตอบ บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง

2. ทัศนคติของพี่ต่ออาชีพโบรกเกอร์

ตอบ ตอนสมัยเรียนพี่เล่นหุ้นหลายๆปีอยู่แล้ว และพี่ก็ชอบตลาดหุ้น เมื่อก่อนพี่ทำงานResearch ให้กับบริษัทวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศ แล้วพี่ไม่ชอบ ก็เลยอยากทำหุ้นที่เป็นของประเทศไทยมากกว่า พี่ก็เลยมาทำที่บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง

3. พี่รู้สึกกดดันไหมเวลาหุ้นของลูกค้าที่พี่จัดพอร์ตให้ราคาหุ้นตก

ตอบ ไม่กดดันครับ เพราะเวลาพี่แนะนำพี่มั่นใจครับ แล้วพี่ก็ไม่ค่อยพาลูกค้าไปติดนะ ส่วนใหญ่ที่ติดจะเป็นลูกค้าเรื่องอื่น

4. การทำงานของพี่ใน 1 วันเป็นอย่างไรบ้างค่ะ

ตอบ ตอนเช้ามาทำงานก็ต้องมาอ่านข่าว ทุกเช้าจะมีสรุปข่าวหุ้นต่างประเทศ ดูดัชนีหุ้นต่างประเทศ ปกติหุ้นบ้านเราจะวิ่งเหมือนหุ้นต่างประเทศ หลักๆก็จะเป็นดาวโจลว์ของอเมริกา คือดูก่อนว่าต่างประเทศบวกหรือลบ ถ้าต่างประเทศบวกก็มีแนวโน้มสูงที่บ้านเราจะบวกด้วย ถ้าบ้านเราไม่มีปัจจัยอะไรในประเทศ แต่ถ้ามีปัจจัย เช่น ด้านการเมือง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีผลกระทบต่อหุ้น ปัจจัยที่จะทำให้หุ้นขึ้นหรือลงจะมี 2 ส่วน คือ ปัจจัยภายนอก เช่น ต่างประเทศ และปัจจัยภายใน คือในบ้านเรา เช่น เลือกตั้ง ก่อม็อบ เผาบ้านเผาเมือง และปฏิวัติ เป็นต้น

5. ข่าวที่อ่านตอนเช้าเป็นข่าวของเมื่อไหร่ค่ะ

ตอบ เป็นข่าวอัพเดทล่าสุด จะมีสำนักงานข่าวที่เรียกว่า E-Finance ก็จะส่งข่าวมาให้แบบเรียวไทม์ แล้วโบรกเกอร์ก็จะจัดการเรื่องนี้ให้แก่บริษัทเอง และดูว่าหุ้นตัวไหนมีข่าวกระทบ เช่น เมื่อคืนราคาน้ำมันดิบขึ้นสูง ก็เล่นกลุ่มพลังงาน หรือ กนง. มีประชุมขึ้นนโยบายปรับดอกเบี้ย ก็เล่นกลุ่มแบงค์ หรือราคาถ่านหินก็เล่นกลุ่มถ่านหิน แล้วก็โทรบอกลูกค้า โดยดูว่าลูกค้าแต่ละคนเล่นกลุ่มไหนอยู่ เมื่อมีข่าวที่กระทบไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี ก็จะโทรบอกลูกค้าแต่ละกลุ่มตามที่เราดูแล

6. พี่ติดต่อกับลูกค่าอย่างไรค่ะ

ตอบ พี่ต้องติดต่อกับลูกค้าทุกวัน

7. การหาลูกค้าใหม่ของพี่ พี่หาอย่างไรค่ะ

ตอบ คือโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะหาจากคนใกล้ตัวก่อน เช่น ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ก็จะชวนมาเปิดบัญชีด้วยกัน ส่วนทางบริษัทก็จะมีการออกบูท พวกงาน Money Expo และ Set in the city. อันนี้เป็นการหาจากข้างนอน แล้วพี่ก็จะบริหารเฉพาะลูกค้าที่มีอยู่ ดูแลให้ทั่งถึง การหาลูกค้ามันจะเป็นเทคนิคของแต่ละคน เช่น บางคนอาจไปตามงานที่เมืองทองธานี โดยการไปหยิบนามบัตรของบริษัท และโทรไปหาเจ้าของบริษัทนั้น และถามว่าสนใจเปิดบัญชีหุ้นกับเรามั๊ย ผมมาจากบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง

8. ทางบริษัทได้กำหนดขั้นต่ำในการเปิดบัญชีเท่าไหร่ค่ะ

ตอบ ไม่ได้กำหนดครับ เท่าไหร่ก็ได้

9. โบรกเกอร์ 1 คน จำกัดจำนวนกลุ่มลุกค้าไหมค่ะ

ตอบ ไม่ได้จำกัดครับ ก็มีมากเท่าที่ดูแลไหว

10. พี่ดูแลลูกค้าอย่างไร ที่ทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนอีกในครั้งต่อไป

ตอบ ถ้าเราพยายามทำให้ลูกค้ามีกำไร ลูกค้าก็จะเชื่อมั่น แต่ถ้าเราทำให้ลูกค้าขาดทุนบ่อยๆ ลูกค้าก็จะไม่ลงทุนกับเรา

11. บริษัทพี่มีจุดเด่นทางด้านใดบ้าง

ตอบ น่าจะเป็นความเสถียรของโปรแกรมเทรด ถ้าลูกค้าเทรดเองที่บ้านก็จะไม่ค้าง ไม่ล่ม หรือดูจากโวลลูมเทรดก็ได้ ยอดกการเทรดแต่ละวันของเราจะสูงกว่าที่อื่นเพราะเรามีลูกค้าเยอะ และอีกเรื่องที่เด่นน่าจะเป็นเรื่อง Research บทวิเคราะห์หุ้นที่แนะนำว่าตัวไหนน่าซื้อ ตัวไหนน่าขาย คือของเราจะมีอิทธิพลต่อตลาดค่อนข้างเยอะ เพราะเรามีลูกค้าเยอะสุด เช่นถ้าเราเชียร์ให้ขายตัวไหน ตัวนั้นจะไม่ได้เกิดเลย เพราะทุกคนก็จะเทขายตัวนั้นกันหมด

12. ถ้าพวกหนูอยากเป็นโบรกเกอร์แบบพี่ พี่มีข้อแนะนำอย่างไรบ้างค่ะ

ตอบ เรียนจบก็ต้องสอบ Single License ถ้าผ่านก็มาสมัครงานได้เลย และควรติดตามข่าวสาร เพราะเราอยู่กับตลาดหุ้น มันเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

สมาชิกในกลุ่ม

1. นางสาวอัจจิมา    เรณูรัตน์      51127312007

2. นางสาวอ้อยใจ    ใหม่เต็ม      51127312025

3. นางสาวเปนิมา     พระสุรัตน์   51127312029

4. นางสาวอภิรนันท์  สุขนา        51127312033

5. นางสาวเพียงฤดี   นงรัตน์       51127312036

คณะ วิทยาการจัดการ สาขาวิชา การเงินการธนาคาร ปี4

http://a7.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/252112_210815305636538_100001242102757_629708_2905957_n.jpg

บทสัมภาษณ์ 

โบรกเกอร์ : นายฆนัท  วิรัชอมรพันธ์ , นายณัฏฐ์  ธรฤทธิ์ , นายกฤษฏิ์ภัฏ  ภักดีบัญชาศักดิ์
สถานที่ : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย

นักศึกษา : สวัสดีค่ะ คุณฆนัท  วิรัชอมรพันธ์ , คุณณัฏฐ์  ธรฤทธิ์ และคุณกฤษฏิ์ภัฏ  ภักดีบัญชาศักดิ์
โบรคเกอร์ : สวัสดีครับ

นักศึกษา : ขอรบกวนเวลาสักครู่นะค่ะ ขอสอบถามเกี่ยวกับการทำงานเป็นโบรกเกอร์นะค่ะ
โบรกเกอร์ : ยินดีครับ

นักศึกษา : เริ่มเข้ามาทำงานได้อย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : เห็นประกาศรับสมัครทาง Website แล้วส่งResume ให้ทางบริษัท หลังจากนั้นก็ได้รับ sms จากบริษัทตอบกลับมาให้ไปสอบสัมภาษณ์ครั้งแรก โดยจะมีการสอบสองครั้งคือ ครั้งแรกสอบข้อเขียน มี 80ข้อและมี 2ส่วนคือ 1. ส่วนบัญชี 40 ข้อ 2.ส่วนเศรษฐศาสตร์ อีก 40 ข้อ เป็นภาษาอังกฤษและข้อสอบจรรยาบรรณธุรกิจ เมื่อสอบข้อเขียนผ่านก็จะมีการสอบรอบที่สองคือสอบสัมภาษณ์กับผู้บริหารระดับ สูงของบริษัท

นักศึกษา : ค่ะ แล้วการหาลูกค้าให้บริษัทนี่หาได้อย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : ทางบริษัทจะมีการออกงานEvent เช่น Set in the city หรืองานMoney Expo เป็นต้นเราก็จะไปยืนต้อนรับและให้คำแนะนำกับลูกค้าก็จะได้ลูกค้ามางานส่วน นี้เยอะ แต่ก็จะมีบางส่วนที่ลูกค้า walk in เข้ามาหาเองเพราะสนใจในการลงทุน

นักศึกษา : แล้วเคยมีปัญหาในกรณีหุ้นตก แล้วลูกค้าโวยวายไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : ก็มีบ้างครับ ทางเราก็จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงตกอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์บ้านเมืองใน ขณะนั้น หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นใน ณ ตอนนั้นจึงมีผลทำให้หุ้นตก

นักศึกษา : แล้วมีการแย่งลูกค้ากันบ้างไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : ไม่มีครับ เพราะจะมีการแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เมื่อลูกค้า walk in เข้ามาทางบริษัทจะมีการจะลำดับของลูกค้าและโบรกเกอร์ด้วย

นักศึกษา : มีการจัดการที่ดีนะค่ะ  ในกรณีที่เราคีย์คำสั่งหุ้นผิดพลาดมีการแก้ไขยังไงค่ะ
โบรกเกอร์ : จะต้องแก้ไขภายใน 15 นาทีครับ โดยจะเข้าคำสั่ง account ของลูกค้าบอกกับทางหัวหน้าฝ่ายและยกเลิกทันที  ในกรณีที่คำสั่งซื้อขายผิดพลาดใน 24 ชม. โบรคที่รับผิดชอบต้องรับผิดชอบคำสั่งนั้นเพียงผู้เดียว แต่ถ้าเกิน 15 นาทีผู้จัดการกับโบรกเกอร์รับผิดชอบคนละ 50%ครับ

นักศึกษา : พี่ๆหาแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือมาจากไหนค่ะ
โบรกเกอร์ : ทาง K-bank มีทีม Research และนักวิเคราะห์ครับ จะมีการประชุมในตอนเช้าทุกเช้าเพื่อชี้แจงข่าวสารข้อมูลของกลุ่มอุตสาหกรรม ต่างๆ จะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาทำการวิเคราะห์ประชุมในเรื่องกลยุทธ์ การลงทุน ว่างการลงทุนระยะสั้น ระยะยาวควรทำอย่างไร

นักศึกษา : ค่ะ แล้วอย่างนี้เวลาการทำงานเป็นอย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : ก็เข้างานตอนเช้า 08.30 น. เพราะต้องเข้ามาฟังข่าวร่วมกันอย่างที่บอกไป เลิกงานก็ 17.00 น.ครับ

นักศึกษา : แล้วโบรกมีการเล่นหุ้นไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : เล่นไม่ได้ครับ เนื่องจากผิดกฎ กลต.

นักศึกษา : การจัดพอร์ตลูกค้าทำอย่างไรค่ะ
โบรกเกอร์ : ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าต้องการผลตอบแทนอย่างไร เช่น บางคนเล่นในระยะสั้นก็จะดูแนวโน้มและปัจจัยว่าหุ้นสามารถจะขึ้นและเก็งกำไร มากแค่ไหน  แต่ส่วนมากคนจะเล่นกันในระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรครับ

นักศึกษา : ค่าคอมมิชชั่นได้มาจากไหนค่ะ
โบรกเกอร์ :  เฉลี่ย Volume ล้านละ 500 บาท (ถ้าเข้าตลาด ถ้าซื้อขาย 1 ล้านค่าคอมจะอยู่ที่ 2,500 บาท) ตรงนี้คือจะเฉลี่ยแบบขั้นบันได ยิ่งเทรดมากค่าคอมก็จะเพิ่มขึ้น       

นักศึกษา : ค่ะ แล้วถ้าต้องการเปิดบัญชีกับ K-bank ต้องมีวงเงินขั้นต่ำเท่าไหร่ค่ะ
โบรกเกอร์ : ถ้าเป็น cash balance ไม่มีขั้นต่ำครับ แต่ถ้าเป็น account ขั้นต่ำ 5 แสนครับ

นักศึกษา : แล้ว ณ ตอนนี้มีกลุ่มอุตสาหกรรมไหนที่น่าสนใจบ้างค่ะ
โบรกเกอร์ : ก็จะเป็นกลุ่มพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ครับ เพราะจะมีผลกำไรในไตรมาสที่ 2

นักศึกษา : มีหุ้นตัวไหนแนะนำไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : แนะนำหุ้นราชบุรีในกลุ่มพลังงานครับ หุ้นไม่ตกตามสภาวะตลาด และมีการประกันราคาโดยภาครัฐและใช้Technical ในการวิเคราะห์หุ้น เช่น trend line ของ moving average ขึ้นหรือลงก็ต้องดูสัญญาณจากทางเทคนิค MCD และ RSI

นักศึกษา : ที่นี่รับนักศึกษาฝึกงานไหมค่ะ
โบรกเกอร์ : จะมีบางส่วนรับ ในฝ่ายของโบรกเกอร์ไม่รับครับ team internet รับครับ

นักศึกษา : ต้องขอบคุณพี่ๆที่ให้ความรู้ในวันนี้มากเลยนะค่ะ
โบรกเกอร์ :ไม่เป็นไรครับ ยินดี…

 

 

 

 

 

 

นางสาวสุดารัตน์  บุญมาก  รหัส 51127312017
นางสาวจามจุรี  ศรีสวัสดิ์   รหัส  51127312019
นายสิทธิชัย  วงศ์เต้จ๊ะ       รหัส  51127312022
นายพงศ์พันธุ์   มณีเขียว   รหัส  51127312027
นางสาวสุพรรณิการ์    กันภัย   รหัส  51127312031
นางสาวลัทธวรรณ  สุขบุญเพ็ญ   รหัส  51127312034

สรุปการเข้าร่วมสัมมนาตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง ตราสารอนุพันธ์

ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คือ ตราสารทางการเงินที่ก่อกำเนิดจาก อ้างอิงจาก หรือผันแปรตาม สินทรัพย์อ้างอิง โดยทั่วไป ตราสารอนุพันธ์จะมีมูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) หรือตัวแปรอ้างอิงอื่นๆ (Underlying Variable)

สินทรัพย์ที่อ้างอิง อาจเป็นตราสารทางการเงิน เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรตั๋วเงิน หุ้นสามัญ ฯลฯ หรืออาจเป็นสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น น้ำมัน ข้าว บ้าน รถยนต์ ฯลฯ ตามแต่ที่ตราสารอนุพันธ์นั้นได้กำหนดไว้ว่าเป็นการอ้างอิงถึงสินทรัพย์ สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินดังกล่าว เป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่ง เพราะสัญญาดังกล่าวสามารถเปรียบได้เสมือนสัญญา ซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งถูกนับเป็นหนึ่งในตราสารอนุพันธ์ คือ เป็นการตกลงกันล่วงหน้า เพื่อทำการซื้อขายบ้านกันในอนาคต โดยอาจ มีการวางเงินมัดจำเป็นบางส่วนในปัจจุบัน และจะชำระค่าสินค้าหรือค่าบ้านและที่ดินที่เหลือในอนาคต โดยที่สัญญาดังกล่าวอาจมี ราคาสูงขึ้นหรือลดลงก็ได้ หากราคาบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เกิดมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระหว่างสัญญา

ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างแบบง่าย ตราสารอนุพันธ์ที่จะแนะนำในที่นี้มี 2 ประเภทหลัก คือ ฟิวเจอร์ส และ ออปชั่น

ภาษีที่เกี่ยวข้อกับการลงทุน ผู้ลงทุนตราสารอนุพันธ์ในตลาด TFEX นั้น เมื่อได้รับกำไรจากการลงทุนจะมีภาระภาษี สำหรับบุคคลธรรมดา ในลักษณะเช่นเดียวกันกับภาระภาษีจากการลงทุนในตราสารทุน

วิธีซื้อขาย ผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ สามารถทำการสั่งซื้อขายผ่านบริษัทสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ เมื่อผู้ลงทุนสั่งซื้อขายผ่านบริษัทสมาชิกแล้ว บริษัทสมาชิกจะทำการซื้อขายเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยตลาดอนุพันธ์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายดังกล่าว ทั้งนี้ ในการซื้อขายอนุพันธ์ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้ 2 วิธี ดังนี้

1. การซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Trading Transaction) เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการสั่งซื้อหรือขายผ่านบริษัทสมาชิกเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ฯ ซึ่งระบบจะทำการจับคู่คำสั่งซื้อขาย ให้โดยอัตโนมัติ (Automated Order Matching) ตามหลักราคาและเวลาที่ดีที่สุด (Price and Time Priority) โดยผู้ลงทุนจะส่งคำสั่งซื้อ (Bid) หรือ คำสั่งขาย (Offer) เข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยคำสั่งทุกรายการจะถูกส่งเข้ามาบันทึกอยู่ในระบบเพื่อรอการจับคู่ คำสั่งซื้อขายจะมีการจับคู่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคา Bid เท่ากับหรือสูงกว่าราคา Offer โดยผู้ที่ส่ง Bid เข้ามาจะมีฐานะเป็นผู้ซื้อ ผู้ที่ส่ง Offer เข้ามาก็จะมีฐานะเป็นผู้ขาย คำสั่ง Bid ที่มีราคาสูงกว่าจะได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่ง Bid ที่มีราคาต่ำกว่า และคำสั่ง Offer ที่มีราคาต่ำกว่าจะได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่ง Offer ที่มีราคาสูงกว่า ในกรณีที่ราคาสั่งซื้อหรือขายมีค่าเท่ากัน คำสั่งที่ถูกส่งเข้ามาก่อนจะได้รับการจับคู่ก่อน

2. การซื้อขายรายใหญ่ (Block Trading Transaction) เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการต่อรองเพื่อตกลงซื้อขายกัน (Dealing) ด้วยปริมาณการซื้อขายขั้นต่ำตามที่กำหนดในแต่ละประเภทสินค้า แล้วจึงให้บริษัทสมาชิกบันทึกรายการซื้อขายรายใหญ่นั้นเข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ฯ ทั้งนี้ การซื้อขาย Block Trading Transaction ทำได้ 2 ประเภท ดังนี้

2.1 การซื้อขายระหว่างบริษัทสมาชิก (Two-firm Transaction) เป็นการซื้อขายโดยบริษัทสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเจรจาตกลงกัน หากบริษัทสมาชิกตกลงกันได้แล้ว ให้บริษัทสมาชิกผู้ซื้อและบริษัทสมาชิกผู้ขายบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย 2.2 การซื้อขายโดยบริษัทสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเป็นรายเดียวกัน (One-firm Transaction)เป็นการซื้อขายโดยลูกค้าของบริษัทสมาชิกเจรจาตกลงกัน แล้วให้บริษัทสมาชิกบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย หรือบริษัทสมาชิก และลูกค้าของบริษัทสมาชิกเจรจาตกลงกัน แล้วให้บริษัทสมาชิกบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย

ฟังสัมมนาวันที่ 11 /02 /2555

สมาชิก

1.นางสาวอัจฉราพร เทียรชัย รหัสนักศึกษา 52127301025

2.นางสาวพิชชา ชาญณรงค์ รหัสนักศึกษา 52127301027

3.นางสาวสาวิภัตต์ ปัญโญชัย รหัสนักศึกษา 52127301029

4.นางสาวเพชรนาฏ เสียงสูง รหัสนักศึกษา 52127301034

5.นางสาวชาลินี ดิษฐ์สุนนท์ รหัสนักศึกษา 52127301037

6.นายธนวันต์ แก้วนิยมชัยศรี รหัสนักศึกษา 52127301044

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สวนสุนันทา

สรุปการเข้าร่วมสัมมนาตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง ตราสารอนุพันธ์ ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คือ ตราสารทางการเงินที่ก่อกำเนิดจาก อ้างอิงจาก หรือผันแปรตาม สินทรัพย์อ้างอิง โดยทั่วไป ตราสารอนุพันธ์จะมีมูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) หรือตัวแปรอ้างอิงอื่นๆ (Underlying Variable) สินทรัพย์ที่อ้างอิง อาจเป็นตราสารทางการเงิน เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรตั๋วเงิน หุ้นสามัญ ฯลฯ หรืออาจเป็นสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น น้ำมัน ข้าว บ้าน รถยนต์ ฯลฯ ตามแต่ที่ตราสารอนุพันธ์นั้นได้กำหนดไว้ว่าเป็นการอ้างอิงถึงสินทรัพย์ สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินดังกล่าว เป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่ง เพราะสัญญาดังกล่าวสามารถเปรียบได้เสมือนสัญญา ซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งถูกนับเป็นหนึ่งในตราสารอนุพันธ์ คือ เป็นการตกลงกันล่วงหน้า เพื่อทำการซื้อขายบ้านกันในอนาคต โดยอาจ มีการวางเงินมัดจำเป็นบางส่วนในปัจจุบัน และจะชำระค่าสินค้าหรือค่าบ้านและที่ดินที่เหลือในอนาคต โดยที่สัญญาดังกล่าวอาจมี ราคาสูงขึ้นหรือลดลงก็ได้ หากราคาบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เกิดมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระหว่างสัญญา ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างแบบง่าย ตราสารอนุพันธ์ที่จะแนะนำในที่นี้มี 2 ประเภทหลัก คือ ฟิวเจอร์ส และ ออปชั่น ภาษีที่เกี่ยวข้อกับการลงทุน ผู้ลงทุนตราสารอนุพันธ์ในตลาด TFEX นั้น เมื่อได้รับกำไรจากการลงทุนจะมีภาระภาษี สำหรับบุคคลธรรมดา ในลักษณะเช่นเดียวกันกับภาระภาษีจากการลงทุนในตราสารทุน วิธีซื้อขาย ผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ สามารถทำการสั่งซื้อขายผ่านบริษัทสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ เมื่อผู้ลงทุนสั่งซื้อขายผ่านบริษัทสมาชิกแล้ว บริษัทสมาชิกจะทำการซื้อขายเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยตลาดอนุพันธ์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายดังกล่าว ทั้งนี้ ในการซื้อขายอนุพันธ์ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้ 2 วิธี ดังนี้ 1. การซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Trading Transaction) เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการสั่งซื้อหรือขายผ่านบริษัทสมาชิกเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ฯ ซึ่งระบบจะทำการจับคู่คำสั่งซื้อขาย ให้โดยอัตโนมัติ (Automated Order Matching) ตามหลักราคาและเวลาที่ดีที่สุด (Price and Time Priority) โดยผู้ลงทุนจะส่งคำสั่งซื้อ (Bid) หรือ คำสั่งขาย (Offer) เข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยคำสั่งทุกรายการจะถูกส่งเข้ามาบันทึกอยู่ในระบบเพื่อรอการจับคู่ คำสั่งซื้อขายจะมีการจับคู่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคา Bid เท่ากับหรือสูงกว่าราคา Offer โดยผู้ที่ส่ง Bid เข้ามาจะมีฐานะเป็นผู้ซื้อ ผู้ที่ส่ง Offer เข้ามาก็จะมีฐานะเป็นผู้ขาย คำสั่ง Bid ที่มีราคาสูงกว่าจะได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่ง Bid ที่มีราคาต่ำกว่า และคำสั่ง Offer ที่มีราคาต่ำกว่าจะได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่ง Offer ที่มีราคาสูงกว่า ในกรณีที่ราคาสั่งซื้อหรือขายมีค่าเท่ากัน คำสั่งที่ถูกส่งเข้ามาก่อนจะได้รับการจับคู่ก่อน 2. การซื้อขายรายใหญ่ (Block Trading Transaction) เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการต่อรองเพื่อตกลงซื้อขายกัน (Dealing) ด้วยปริมาณการซื้อขายขั้นต่ำตามที่กำหนดในแต่ละประเภทสินค้า แล้วจึงให้บริษัทสมาชิกบันทึกรายการซื้อขายรายใหญ่นั้นเข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ฯ ทั้งนี้ การซื้อขาย Block Trading Transaction ทำได้ 2 ประเภท ดังนี้ 2.1 การซื้อขายระหว่างบริษัทสมาชิก (Two-firm Transaction) เป็นการซื้อขายโดยบริษัทสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเจรจาตกลงกัน หากบริษัทสมาชิกตกลงกันได้แล้ว ให้บริษัทสมาชิกผู้ซื้อและบริษัทสมาชิกผู้ขายบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย 2.2 การซื้อขายโดยบริษัทสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเป็นรายเดียวกัน (One-firm Transaction)เป็นการซื้อขายโดยลูกค้าของบริษัทสมาชิกเจรจาตกลงกัน แล้วให้บริษัทสมาชิกบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย หรือบริษัทสมาชิก และลูกค้าของบริษัทสมาชิกเจรจาตกลงกัน แล้วให้บริษัทสมาชิกบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย ฟังสัมมนาวันที่ 11 /02 /2555 สมาชิก 1.นางสาวอัจฉราพร เทียรชัย รหัสนักศึกษา 52127301025 2.นางสาวพิชชา ชาญณรงค์ รหัสนักศึกษา 52127301027 3.นางสาวสาวิภัตต์ ปัญโญชัย รหัสนักศึกษา 52127301029 4.นางสาวเพชรนาฏ เสียงสูง รหัสนักศึกษา 52127301034 5.นางสาวชาลินี ดิษฐ์สุนนท์ รหัสนักศึกษา 52127301037 6.นายธนวันต์ แก้วนิยมชัยศรี รหัสนักศึกษา 52127301044 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สวนสุนันท

สรุปการเข้าร่วมสัมมนาตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง ตราสารอนุพันธ์ ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คือ ตราสารทางการเงินที่ก่อกำเนิดจาก อ้างอิงจาก หรือผันแปรตาม สินทรัพย์อ้างอิง โดยทั่วไป ตราสารอนุพันธ์จะมีมูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) หรือตัวแปรอ้างอิงอื่นๆ (Underlying Variable)

สินทรัพย์ที่อ้างอิง อาจเป็นตราสารทางการเงิน เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรตั๋วเงิน หุ้นสามัญ ฯลฯ หรืออาจเป็นสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น น้ำมัน ข้าว บ้าน รถยนต์ ฯลฯ ตามแต่ที่ตราสารอนุพันธ์นั้นได้กำหนดไว้ว่าเป็นการอ้างอิงถึงสินทรัพย์ สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินดังกล่าว เป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่ง เพราะสัญญาดังกล่าวสามารถเปรียบได้เสมือนสัญญา ซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งถูกนับเป็นหนึ่งในตราสารอนุพันธ์ คือ เป็นการตกลงกันล่วงหน้า เพื่อทำการซื้อขายบ้านกันในอนาคต โดยอาจ มีการวางเงินมัดจำเป็นบางส่วนในปัจจุบัน และจะชำระค่าสินค้าหรือค่าบ้านและที่ดินที่เหลือในอนาคต โดยที่สัญญาดังกล่าวอาจมี ราคาสูงขึ้นหรือลดลงก็ได้ หากราคาบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เกิดมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระหว่างสัญญา ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างแบบง่าย

ตราสารอนุพันธ์ที่จะแนะนำในที่นี้มี 2 ประเภทหลัก คือ ฟิวเจอร์ส และ ออปชั่น ภาษีที่เกี่ยวข้อกับการลงทุน ผู้ลงทุนตราสารอนุพันธ์ในตลาด TFEX นั้น เมื่อได้รับกำไรจากการลงทุนจะมีภาระภาษี สำหรับบุคคลธรรมดา ในลักษณะเช่นเดียวกันกับภาระภาษีจากการลงทุนในตราสารทุน

วิธีซื้อขาย ผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ สามารถทำการสั่งซื้อขายผ่านบริษัทสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ เมื่อผู้ลงทุนสั่งซื้อขายผ่านบริษัทสมาชิกแล้ว บริษัทสมาชิกจะทำการซื้อขายเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยตลาดอนุพันธ์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายดังกล่าว ทั้งนี้ ในการซื้อขายอนุพันธ์ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้ 2 วิธี ดังนี้

1. การซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Trading Transaction) เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการสั่งซื้อหรือขายผ่านบริษัทสมาชิกเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ฯ ซึ่งระบบจะทำการจับคู่คำสั่งซื้อขาย ให้โดยอัตโนมัติ (Automated Order Matching) ตามหลักราคาและเวลาที่ดีที่สุด (Price and Time Priority) โดยผู้ลงทุนจะส่งคำสั่งซื้อ (Bid) หรือ คำสั่งขาย (Offer) เข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยคำสั่งทุกรายการจะถูกส่งเข้ามาบันทึกอยู่ในระบบเพื่อรอการจับคู่ คำสั่งซื้อขายจะมีการจับคู่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคา Bid เท่ากับหรือสูงกว่าราคา Offer โดยผู้ที่ส่ง Bid เข้ามาจะมีฐานะเป็นผู้ซื้อ ผู้ที่ส่ง Offer เข้ามาก็จะมีฐานะเป็นผู้ขาย คำสั่ง Bid ที่มีราคาสูงกว่าจะได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่ง Bid ที่มีราคาต่ำกว่า และคำสั่ง Offer ที่มีราคาต่ำกว่าจะได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่ง Offer ที่มีราคาสูงกว่า ในกรณีที่ราคาสั่งซื้อหรือขายมีค่าเท่ากัน คำสั่งที่ถูกส่งเข้ามาก่อนจะได้รับการจับคู่ก่อน

2. การซื้อขายรายใหญ่ (Block Trading Transaction) เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการต่อรองเพื่อตกลงซื้อขายกัน (Dealing) ด้วยปริมาณการซื้อขายขั้นต่ำตามที่กำหนดในแต่ละประเภทสินค้า แล้วจึงให้บริษัทสมาชิกบันทึกรายการซื้อขายรายใหญ่นั้นเข้ามาในระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ฯ ทั้งนี้ การซื้อขาย Block Trading Transaction ทำได้ 2 ประเภท ดังนี้

2.1 การซื้อขายระหว่างบริษัทสมาชิก (Two-firm Transaction) เป็นการซื้อขายโดยบริษัทสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเจรจาตกลงกัน หากบริษัทสมาชิกตกลงกันได้แล้ว ให้บริษัทสมาชิกผู้ซื้อและบริษัทสมาชิกผู้ขายบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย 2.2 การซื้อขายโดยบริษัทสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเป็นรายเดียวกัน (One-firm Transaction)เป็นการซื้อขายโดยลูกค้าของบริษัทสมาชิกเจรจาตกลงกัน แล้วให้บริษัทสมาชิกบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย หรือบริษัทสมาชิก และลูกค้าของบริษัทสมาชิกเจรจาตกลงกัน แล้วให้บริษัทสมาชิกบันทึกการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย

ฟังสัมมนาวันที่ 11 /02 /2555

สมาชิก

1.นางสาวอัจฉราพร เทียรชัย รหัสนักศึกษา 52127301025

2.นางสาวพิชชา ชาญณรงค์ รหัสนักศึกษา 52127301027

3.นางสาวสาวิภัตต์ ปัญโญชัย รหัสนักศึกษา 52127301029

4.นางสาวเพชรนาฏ เสียงสูง รหัสนักศึกษา 52127301034

5.นางสาวชาลินี ดิษฐ์สุนนท์ รหัสนักศึกษา 52127301037

6.นายธนวันต์ แก้วนิยมชัยศรี รหัสนักศึกษา 52127301044

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สวนสุนันทา

[URL=http://www.mypicza.com/view.php?image=6c626cc91c21b9bb723fdad488b9c821.jpg][IMG]http://www.mypicza.com/thumbs/6c626cc91c21b9bb723fdad488b9c821.jpg[/IMG][/URL][SIZE=1]Thanks: [URL=http://game.happymass.com/cooking/]เกมส์ทําอาหาร[/URL][URL=http://game.happymass.com/action/]เกมส์ต่อสู้[/URL][URL=http://game.happymass.com/vegetable/]เกมส์ปลูกผัก[/URL][URL=http://game.happymass.com/]เกมส์มันๆ[/URL][URL=http://www.wearegift.com]ของขวัญ[/URL][/SIZE]

ณัฐกาณต์ ชินวงศ์อมร

สมาชิก

1. นางสาว ธัญญาภรณ์ ศรีทอง รหัส 52127301001

2. นางสาว อรุณรุ่ง เหล่ายาว รหัส 52127301003

3. นางสาว ณัฐกาณต์ ชินวงศ์อมร รหัส 52127301005

4. นางสาว ธันญา ปานนพพา รหัส 52127301008

5. นาย นฤดล วิสุทธารมณ์ รหัส 52127301009

6. นาย เฉลิมพล ทูลเกล้า รหัส 52127301014

7. นางสาวกรกต พึ่งวงศ์ญาติ รหัส 1510210683

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

เข้าฟังการบรรยายเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2555

ลงทุนได้ไม่แพ้ตลาด

สร้างโอกาสผ่านกองทุน ETFs

ETS = Exchange Traded Fund คือ กองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ผลตอบแทนของ ETF จะใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง สินทรัพย์ที่กองทุนถือเป็นพอร์ตการลงทุนในดัชนีอ้างอิง

จุดเด่นของการลงทุนใน ETF

- กระจายความเสี่ยงในการลงทุน - ซื้อง่าย ขายคล่อง รู้ราคา

- เงินลงทุนขั้นต้นต่ำ - ต้นทุนการซื้อขายต่ำ

ขั้นตอนการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุน ETF

1.ติดต่อเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์

2.กรอกเอกสารพร้อมส่งหลักฐาน

3.รอผลการพิจารณาอนุมัติการเปิดบัญชี

4.ซื้อขาย ETF

วิธีการและเงื่อนไขการสั่งคำสั่งซื้อขาย ETF

1.สั่งคำสั่งซื้อขายเหมือนหุ้น โดยจะได้รับการจับคู่ตามหลัก Price Then Time Priority

2.ราคาสูงสุด – ต่ำสุดในแต่ละวัน ไม่เกิน 30 % ของราคาปิดก่อนหน้า

3.หน่วยการซื้อขาย 1 Board Lot = 100 หน่วย

4.การเคลื่อนไหวของราคา = 0.01 บาท

IDEX คือ กองทุนเปิดที่ลงทุนในหุ้นสามัญ และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มุ่งให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ Set50 Index ซื้อขายได้สะดวกเหมือนหุ้น มีนโยบายจ่ายเงินปันผล

Set50 Index คือ ดัชนีสะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญ 50 ตัว ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดและมีสภาพคล่องสูง 50 หุ้น ใน Set 50 Index คัดเลือกมาจาก การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 6 เดือน มี Market Capitalization ย้อนหลัง 12 เดือน สูงสุด สัดส่วนการกระจายหุ้นอยู่ในมือนักลงทุนย่อย อย่างน้อย 20 %

Set High Dividend 30 Index (SETHD) คือ ดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์หุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง มีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง โดยจะกำหนดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุดที่ใช้ในการคำนวณที่ร้อยละ 15 ของแต่ละหลักทรัพย์

หน่วยลงทุน ETF จะแสดงข้อมูลราคา 2 ประเภท ด้วยกัน คือ

1.ราคาซื้อขาย (Trading Price) คือ ราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด โดยตลาดหลักทรัพย์จะมีการประกาศราคาซื้อขายแบบ Real Time ให้นักลงทุนทราบ

2.มูลค่าต่อหน่วย (Intraday Indicative Value : IIY Per Unit) คือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนต่อหน่วย ซึ่งคำนวณจากราคาซื้อขายของตระกร้าหุ้นที่เป็นหุ้นอ้างอิงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย

หลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์

1.เป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี Set 100

2.เป็นหุ้นที่ต้องจ่ายเงินปันผลติดต่อกัน 3 ปี ล่าสุด

3.เป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไร สุทธิ ไม่เกินร้อยละ 85 ติดต่อกัน 3 ปี ล่าสุด

4.นำหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกข้างต้นมาจัดลำดับตามอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยอันดับ 1-30 จะใช้คำนวณดัชนี SETHD (โดยอันดับที่ 31-35 เป็นหุ้นสำรอง)

ETF เครื่องมือการบริหาร Portfolio

Portfolio Theory กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีที่สุด คือ การลงทุนจัดสรรเงินใน Market Portfolio เพราะมีการกระจายความเสี่ยงออกไปในหุ้นหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น การซื้อหรือถือครอง ETF จึงเป็น Core Investment ที่ดีที่สุด ซึ่งดีกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัวที่ไม่ Efficient และไม่ Diversify

- ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนใน Risk Free Asset และ ETF ได้ ตามภาวะตลาด โดยการ Allocate Asset ตามเส้น Capital Market Line การที่ ETF สามารถเทรดซื้อขายเปลี่ยนมือได้ Real Time ทำให้ผู้จัดการสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างทันท่วงที

Asset Allocation : Foreign ETF

- เป็นอีกช่องทางในการลงทุน ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายให้กับผู้ลงทุน

- เพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้น

- ช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กลุ่มที่ 3 การเงินการธนาคาร02 รหัส52

บทสัมภาษณ์ โบรกเกอร์

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)


ผู้ให้สัมภาษณ์

ชื่อ :  คุณอนุสรณ์  โฉมฉิน 

ตำแหน่ง : เจ้าหน้าที่ฝ่าย Marketing Officer Broker Bussiness4 

บริษัท : หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

บทสัมภาษณ์

Q1 : “เทคนิคที่ใช้ในการบริหารการลงทุนในหลักทรัพย์มีอะไรบ้างคะ”

A1 : “ เทคนิคที่ใช้คือก่อนที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ตัวใดจะดูที่งบก่อนว่ามีการปันผล  สม่ำเสมอรึเปล่า ดูปริมาณการซื้อขายหุ้นตัวนั้นๆว่ามีการซื้อขายมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ดูแนวโน้มหรือดูกราฟถ้ามีแนวโน้มดีก็จะเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ตัวนั้นครับ”

Q2 : “วิธีการดำเนินงานด้านการลงทุนในหลักทรัพย์มีวิธีการอย่างไรบ้างคะ”

A2 : “ขั้นแรกของการลงทุนในหลักทรัพย์ คือลูกค้าต้องเปิดบัญชีธนาคารเพื่อที่จะได้ทำการซื้อขายหุ้นผ่านทางบัญชี พอลูกค้าเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้วหน้าที่ต่อไปคือเป็นของโบรกเกอร์ที่จะต้องคอยดูแลให้คำแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางการตัดสินใจของลูกค้าว่าจะทำการซื้อหรือขายหุ้นนั้นๆหรือไม่ ก่อนที่เราจะให้คำแนะนำกับลูกค้านั้น เราต้องดูฐานะทางการเงินของลูกค้า ดูวงเงินลงทุนในการที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ของลูกค้าด้วย แล้วทำการสอบถามลูกค้าว่าวัตถุประสงค์ในการลงทุนของลูกค้าคืออะไร เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นผู้ลงทุนประเภทใดคาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบใด ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงไรด้วยครับ”

Q3 : “จรรยาบรรณของวิชาชีพโบรกเกอร์มีอะไรบ้างคะ”

A3 : “จรรยาบรรณของโบรกเกอร์คือ เราจะต้องดูแลผลประโยชน์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่มองที่ผลประโยชน์ของตนเอง เรามีหน้าที่ให้คำแนะนำกับลูกค้า ให้คำปรึกษากับลูกค้าเท่านั้น ไม่มีสิทธิในการตัดสินใจแทนลูกค้า ไม่สามารถตัดสินใจซื้อขายหุ้นให้ลูกค้าเองได้ครับ”

Q4 : “หน้าที่สำคัญของอาชีพโบรกเกอร์คืออะไรคะ”

A4 : “เป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่แทนผู้ลงทุนโดยให้คำแนะนำให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน ซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนเป็นคนรับคำสั่งซื้อขายหุ้นจากผู้ลงทุนส่งเข้าระบบของตลาดหลักทรัพย์ครับ”

Q5 : “คุณสมบัติพิเศษในการที่จะประกอบอาชีพโบรกเกอร์นั้นได้เน้นในเรื่องใดเป็นพิเศษบ้างคะ”

A5 : “เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา พูดเก่งและที่สำคัญต้องผ่านการสอบวัความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ขายหลักทรัพย์ (Single License) ก่อนครับ”

Q6 : “มีวิธีการดูแลหลักทรัพย์ของลูกค้าอย่างไรบ้างคะ”

A6 : “เราก็ต้องดูว่าลูกค้ามีวัตถุประสงค์อย่างไรในการเล่นหุ้น เช่น ลงทุนเพื่อเก็งกำไรหรือลงทุนในระยะยาว เมื่อเรารู้วัตถุประสงค์ของลูกค้าแล้วเราก็สามารถแนะนำลูกค้าได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของลูกค้าเอง แล้วเราก็ต้องคอยบอกข่าวกับลูกค้าอยู่ตลอดว่าหุ้นตัวนี้กำลังขึ้นนะจะขายรึเปล่าหุ้นตัวนี้กำลังตกนะจะซื้อเพิ่มรึเปล่าแบบนี้แหละครับ”

Q7 : “เริ่มแรกของการลงทุนในหลักทรัพย์มีเกณฑ์อะไรบ้างคะ”

A7 : “สำหรับการลงทุนเริ่มแรกก็ไม่มีเกณฑ์อะไรตายตัว คือเราก็ต้องดูงบการเงินย้อนหลังสามเดือนของลูกค้าว่าเป็นอย่างไรมีเงินหมุนเวียนตลอดรึเปล่าแล้วก็ไม่ได้กำหนดเงินขั้นต่ำที่ตายตัวว่าจะต้องเปิดบัญชีเท่าไรครับ”

Q8 : “ภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเราควรเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทใดคะ”

A8 : “ถ้าให้บอกว่าในเศรษฐกิจปัจจุบันควรลงทุนในหลักทรัพย์ใดมันก็บอกได้ยากนะครับ เพราะว่าหุ้นมันขึ้นลงตลอดเวลามันต้องดูกันแบบวันต่อวันครับส่วนตอนนี้ก็น่าจะเป็นประเภทสื่อสารครับที่หุ้นกำลังขึ้น”

Q9 : “สำหรับนักลงทุนรายใหม่มีเกณฑ์อะไรในการเลือกโบรกเกอร์คะ”

A9 : “สำหรับนักลงทุนรายใหม่นะครับคือถ้าได้ลงทุนกับโบรกเกอร์ใดแล้วถ้ามีกำไรเขาก็จะเลือกลงทุนกับคนนั้น สำหรับนักลงทุนไม่จำเป็นจะต้องมีโบรกเกอร์แค่คนเดียวสามารถมีกี่คนก็ได้ แต่ในหนึ่งบริษัทผู้ลงทุนหนึ่งคนสามารถมีโบรกเกอร์ได้แค่คนเดียวครับ”

Q10 : “ในวัยรุ่นควรจะลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทใดคะจึงจะเหมาะสม”

A10 : “ก็ต้องดูว่ายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงไร แต่ส่วนมากแล้ววัยรุ่นก็จะลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อเก็งกำไรมากกว่าครับ”

Q11 : “ถ้าหุ้นของลูกค้าตกเราจะมีวิธีการรับมืออย่างไรกับลูกค้าบ้างคะ”

A11 : “ขั้นแรกเลยเราต้องอธิบายทำความเข้าใจกับนักลงทุนว่า หุ้นเมื่อมันมีขึ้นมันก็ต้องมีตก เมื่อหุ้นตกเราก็ต้องอธิบายให้ลูกค้าของเราเข้าใจว่าหุ้นตกเพราะอะไรหาเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง เช่น เป็นเพราะว่าเศรษฐกิจกำลังตกหรือว่าเพราะกำลังเกิดเหตุการณ์อะไรที่มีผลกระทบต่อหุ้นนั้นๆครับ”

Q12 : “มีวิธีจูงใจลูกค้าให้มาลงทุนกับเราอย่างไรบ้างคะ”

A12 : “อย่างแรกเลยเมื่อเรามีลูกค้าแล้วเราควรดูแลลูกค้าของเราให้ดี ไม่ทิ้งลูกค้า เมื่อหุ้นขึ้นหรือว่าตก เราก็ต้องโทรแจ้งลูกค้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเองว่าจะขายหรือซื้อหุ้น ลูกค้าถ้าลงทุนกับเราแล้วได้กำไรลูกค้าก็จะลงทุนกับเราอีก ลูกค้าหาแค่ครั้งเดียวแล้วจะอยู่กับเราได้นานถ้าเราบริหารหลักทรัพย์ของลูกค้าได้ดีแล้วมีกำไรครับ”

Q13 : “ในอาชีพโบรกเกอร์มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงไรคะ”

A13 : “ในอาชีพนี้ถือว่าเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงมากเลยทีเดียว เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะหาลูกค้าได้ มากน้อยเพียงไรพูดง่ายๆว่าเราต้องทำยอดตามที่บริษัทกำหนดถ้าเราทำไม่ได้เราก็อยู่ไม่ได้ครับ”

Q14 : “ถ้าเราอยากประกอบอาชีพโบรกเกอร์เราควรทำอย่างไรคะ”

A14 : “ขั้นแรกเลยเราต้องสอบ Single License ให้ผ่านก่อน แล้วก็สมัครงานที่บริษัทหลักทรัพย์ก็เหมือนกับการสมัครงานทั่วไปแหละครับ”

Q15 : “ค่าตอบแทนจากการประกอบอาชีพโบรกเกอร์เป็นลักษณะอย่างไรคะ”

A15 : “ค่าตอบแทนก็จะได้เป็นค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (Commission) ครับ”

 

รายชื่อสมาชิกกลุ่มที่ 3

1.น.ส.ปวีณา   กรพิมาย         รหัส 52127312037

2.น.ส.นุสรา    เสริมเผือก       รหัส 52127312038

3.น.ส.สุนทร   พุ่มขจร           รหัส 52127312040

4.น.ส.อนุสรา  นาครักษา        รหัส 52127312041

5.น.ส.กานดา  นิ่มนวล           รหัส 52127312042

6.น.ส.หัทยา   กัววงศ์            รหัส 52127312043

7.น.ส.กรวิภา   มีละกูล           รหัส 52127312044

8.น.ส.สโรชา   บัวสาย           รหัส 52127312047

9.น.ส.รติรส     มานะไพร       รหัส 52127312048

 

บทสัมภาษณ์  บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงค์  กิมเอ็ง

ถาม : บริษัทมีนักลงทุนที่อยู่ต่างประเทศบ้างหรือไม่ ?

ตอบ : ก่อนที่จะนำเสนอข้อมูลไปยังลูกค้าก็จะดูว่าหุ้นตัวไหนที่จะสามารถทำกำไรให้ลูกค้าได้บ้าง ซึ่งก็ต้องพิจารณาจากความสามารถในการทำกำไรต่อราคาหุ้นที่อยู่ในตลาดและก็นำเสนอไปยังฝ่ายตลาด ฝ่ายตลาดจึงนำไปเสนอต่อลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ

ถาม : ในการแนะนำหุ้นให้กับผู้ลงนั้น ทำอย่างไรถึงให้มีการผิดพลาดน้อยที่สุด?

ตอบ : ในการแนะนำจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและต้องตั้งอยู่ในหลักวิชาการ ก็คือ ด้านปัจจัยพื้นฐาน และ การวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค

วิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน หรือ Fundamentals Analysis

นักลงทุนในตลาดหุ้นมักจะได้ยินจนบ่อยและบ่อยมากๆ จนกระทั่งคำๆนี้แทบจะกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็น CEO ของบริษัทใดๆที่อยู่ในตลาด มักจะพูดกับนักลงทุนโดยนำมาจากการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอยู่เสมอๆว่า บริษัทของมีพื้นฐานที่ดี แข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อนักลงทุนได้ฟังการให้สัมภาษณ์แล้ว นักลงทุนที่ฟังอยู่ก็จะเข้าใจไปเอง ว่าบริษัทนี้น่าลงทุน เพราะอะไรเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถหาคำตอบจากคำถามสำคัญว่าบริษัทที่เราสนใจในขณะนี้ดีและเหมาะสมที่จะลงทุนด้วยหรือไม่จากนั้นเราจึงค่อยหาอุปกรณ์ที่อยู่ในกล่องเครื่องมือนี้มาช่วยในการหาคำตอบที่เราต้องการ ซึ่งจะดีกว่าหรือ ไม่ ที่เราจะมามัวแต่นั่งฟังใครต่อใครหลายๆ คน มาคอยบอกเราว่าบริษัทโน้นดีน่าลงทุน บริษัทนี้ไม่ดีไม่น่าลงทุน

การวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค (Technical analysis)  

                ศึกษาพฤติกรรมของราคาหุ้น หรือพฤติกรรมของตลาดในอดีต โดยใช้หลักสถิติ เพื่อนำมาใช้คาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาค และช่วยให้นักลงทุนหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม โดยข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้แก่ ระดับราคา และปริมาณการซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ ทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีหลากหลายทฤษฎี ในที่นี้จะขอกล่าวถึงทฤษฎีพื้นฐานที่สำคัญที่นักลงทุนควรทราบเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในเบื้องต้น  แต่ทั้งนี้เราจะไม่สามารถรับรองผลการวิเคราะห์เพราะเรามีหน้าที่นำเสนอแนะนำให้กับลูกค้าเพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเท่านั้น และเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าหุ้นตัวไหนจะให้ผลกำไรเท่าไหร่ เพราะนั่นคือจะเป็นการผิดหลักจรรณยาบรรณ

ซึ่งหลักหลักจรรณยาบรรณก็คือ 

  1. ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรม และหลักวิชาการที่เหมาะสม
  2. ประกันมาตรฐานผลการวิเคราะห์
  3. ต้องให้เกียรติ และอ้างถึงบุคคล หรือแหล่งที่มาของข้อมูล ที่นำมาใช้
  4. มีความเป็นธรรม เกี่ยวกับผลประโยชน์ ที่ได้
  5. ต้องมีพื้นฐานความรู้ ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้ความชำนาญ
    หรือมีประสบการณ์ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่วิเคราะห์เพื่อนำไปสู่งานวิเคราะห์ที่มีคุณภาพและเพื่อ         ป้องกัน ปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรือ การสรุป ที่ผิดพลาด อันอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อนักลงทุน

 

ถาม : การที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ได้ต้องทำอย่างไรบ้าง?

ตอบ : คือต้องมีการผ่านการสอบ license โดยมีใบรับรองผ่านการสอบจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยข้อสอบและหลักการสอบนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนด แล้วก็นำใบอนุญาตินั้นมาสมัครเข้าทำงานกับบริษัทที่สนใจได้เลย

ถาม : บุคคลที่จะสามารถเข้ามาลงทุนจะต้องมีความรู้ในเรื่องของอะไรบ้าง

ตอบ : ก็คือจะต้องมีความรู้ด้านปัจจัยพื้นฐานที่บอกไว้ข้างต้น ก็คือ ปัจจัยด้านพื้นฐาน ด้านหลักการ ด้านเทคนิค ซึ่งปัจจัยด้านพื้นฐานก็จะมีหลักๆก็คือ

                1. หลักเศรษฐกิจมหภาคโดยรวมภายในประเทศ ด้านการเมือง สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

                2. สถานการณ์ของบริษัทนั้นๆ ที่จะเลือกลงทุน

                3. ปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจรวมๆของต่างประเทศ ในเชิงจิตวิทยาจะมองเศรษฐกิจรวมๆของต่างประเทศ การขึ้นลงของตลาดสำคัญๆของต่างประเทศ เช่น NIKKEI HANG SENG และก้ต้องวิเคราะห์หลายๆด้าน ทั้งด้านกว้าง ด้านลึก ส่วนรายละเอียดเจาะลึกเราก็จะเป็นผู้แนะนำ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักทุนด้วย

ถาม: การแบ่งงานในบริษัทมีการแบ่งงานกันอย่างไร?

ตอบ:  โดยรวมๆก็คือ เจ้าหน้าที่การตลาดจะรวบรวมข้อมูลจากปัจจัยต่างๆที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ ส่งให้กับนักวิเคราะห์ นักวิเคราะห์ก้จะนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์เจาะลึกรายละเอียดต่างๆ แล้วจึงนำไปแนะนำต่อนักลงทุน

ถาม ; เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์มีอะไรบ้าง ?

ตอบ: จะใช้ ระดับราคา ระดับปริมาณ มาเข้าสูตรทางการเงิน ซึ่งจะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ซับซ้อน หลักๆก็จะดูจาก กราฟ ณ ระดับราคาหรือดัชนีของหุ้นนั้นๆ เพื่อนำมากำหนดแนวรับ แนวต้านให้กับนักลงทุน

ถาม : แล้วกราฟ นำมาจากไหน  ?

ตอบ :  มันจะมีข้อมูลอยู่แล้วในเว็บของตลาดหลักทรัพย์ เราสามารถนำข้อมูลพวกนี้มาใช้ในการวิเคราะห์ได้เลย นำมากำหนดแนวรับ แนวต้าน ก็จะดู Undervalued คือ ราคาต่ำกว่ามาตรฐาน และ overvalued คือ ราคาสูงกว่ามาตรฐาน

 

 

 

 

             สมาชิกในกลุ่ม    (กลุ่ม 2 การเงิน 02)

นางสาวชาลิสา                  เกิดทิพย์           52127312046

นางสาวสุภาภรณ์                ครุฑธาพันธ์       52127312052

นางสาวกาญจนา                กิจสอาด           52127312055

นายอนิรุตติ์                       ฤกษ์นาวี           52127312056

นายอุดมศักดิ์                    โสดารักษ์          52127312061

นางสาวสุภาวรรณ               จิตภักดี            52127312063

นางสาววิลาวัลย์                 เขียวนุ้ย            52127312065

นายเสกสรร                      หอมรินทร์          52127312068

นายอำนาจ                       ด้วงโพนแร้ง       52127312069

นางสาวชลลดา                  ราชรุจิทอง        52127312070

 

บทสัมภาษณ์ Broker

                 ''บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)''

รูปภาพ : สุดหล่อ^^

ผู้ให้สัมภาษณ์

Broker : คุณวิสุทธิ์  โยธินรัตนกำธร

ตำแน่ง : เจ้าหน้าที่การตลาด Marketing Officer Brokerage Business 4

 สถานที่ : บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

 

บทสัมภาษณ์

Q1 : เทคนิคในการลงทุนหลักทรัพย์ที่ดี ควรทำอย่างไร

A1 : คือ 1. พื้นฐานของบริษัท  2. ผลประกอบการของบริษัท 3. ราคาที่เหมาะสม

Q2 : วิธีการดำเนินงานของนักลงทันหลักทรัพย์เป็นอย่างไร

A2 : ขั้นตอนแรกเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัท หลักทรัพย์ เมื่อเปิดบัญชีเสดแล้วใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ ลูกค้าจะต้องนำเงินมาฝากมาเป็นหลักประกันในหลักทรัพย์นั้นเงินลงทุนเริ่มต้นขั้นต่ำ 5,000 บาท

Q3 : จรรยาบรรณของโบรกเกอร์ที่มีต่อวิชาชีพ คืออะไร

A3 : คือ 1. ไม่บอกต่อข่าวลือให้กับลูกค้า (ไม่ว่าข่าวลือนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง)

2. ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าดูแลบัญชีลูกค้าให้เป็นเงินของเรา

3. ไม่แนะนำลูกค้าให้ซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงและไม่มีพื้นฐาน

Q4 : จะมาเป็นโบรกเกอร์ต้องสอบผ่านขั้นตอนใดบ้าง

A4 : เราต้องสอบ Single License สามารถแนะนำผู้ลงทุนได้แค่หุ้นเท่านั้น ถ้าจะสอบตราสารอนุพันธ์ต้องสอบ Derivative License คือ ตราสารล่วงหน้า แต่ที่นิยมเล่นกัน คือ SET 50 จะอิงว่า ตลาดขึ้นหรือตลาดลง เราจะมองแค่ว่าตลาดขึ้นหรือตลาดลงแค่นั้น ถ้ามองว่าตลาดขึ้นให้เปิด Longไว้ คือ เราซื้อไว้ตอนนี้เพื่อที่จะไปปิดสถานะคือขายเมื่อราคามันสูงขึ้น เราจะได้ส่วนต่าง เมื่อมองว่าตลาดลงเราก็จะขาย สมมุติว่า SET อยู่ที่ 100 เราจะมองว่าตลาดมันจะไป 120 จุด เราจะต้องซื้อไว้ คือเปิด Long ไว้  เพื่อที่จะไปขายเมื่อตอน 120 จุด ได้กำไรส่วนต่าง 20 จุด แต่ถ้าเรามองว่าตอนนี้ 100 ตลาดไม่ดี ยุโรปก็ไม่ดี เราคิดว่ามันน่าจะลงไปประมาณ 80 จุดแน่ เราก็จะขายไว้ Derivative สามารถซื้อขายได้เลยไม่จำเป็นต้องมีหุ้นคือเราเปิดสถานะขาย เราขาย 100 เราต้องมาปิดสถานะ เมื่อครบกำหนด 3 เดือน ภายใน 3 เดือนเราต้องปิดสถานะไม่ว่า Long หรือ Short ถ้าเรามองว่าหุ้นจะลงเราเปิด Short ไว้คือขาย ขายที่ราคา 100 จุด แล้วเมื่อมันมาลงมา 80 จุดหรือ 70 จุด เราก็ปิดสถานะโดยการ Long ซื้อคืนแล้วเราจะได้ส่วนต่าง

Q5 : หน้าที่ความรับผิดชอบของโบรกเกอร์คืออะไร

A5 : 1. มีหน้าที่โทรรายงานข่าวให้กับลูกค้า

2. มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในการซื้อขายหลักทรัพย์

3. มีหน้าที่ส่งคำสั่งซื้อขาย

4. มีหน้าที่ดูแลบัญชีให้กับลูกค้า 

5. มีหน้าที่ทำตารางสรุปกำไรขาดทุนจองแต่ละเดือน (แล้วแต่ Marketing หรือความต้องการของลูกค้า)

6. มีหน้าที่ส่ง FAX ส่ง Mail  (แล้วแต่ Marketing หรือความต้องการของลูกค้า)

Q6 :คุณสมบัติของโบรกเกอร์ที่ดีเป็นอย่างไร

A6 :  คือ  1. ต้องเป็นพี่เลี้ยงที่ดี

2. ให้บริการข้อมูลและข่าวสาร

3. สนองคำสั่งซื้อขายของเราได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

4. มีฐานะการเงินที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ

5. สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย

6. ระบบเอกสารและบริการหลังการซื้อขาย

7. ทำเลที่ตั้ง

Q7 : ข้อดีและข้อเสียของการเป็นโบรกเกอร์

A7 : ข้อดี อาชีพนี้รายได้เยอะ ทำงานง่าย

       ข้อเสีย เป็นอาชีพที่ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ อาชีพนี้อยู่ได้เพราะลูกค้า รายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าคอมมิชชั่น การซื้อขายของลูกค้า        

เช่น ลูกค้าโทรมาสั่งซื้อ 1,000 หุ้นแต่คีย์ผิดไปเป็น 10.000 หุ้น ส่วนต่าง 9,000 หุ้นเราก็ต้องตั้งขายในราคาที่เราซื้อให้ได้ ถ้าสมมติว่าหุ้นมันลงแล้วเราขายไม่ได้ส่วนต่างทั้งหมด โบรกเกอร์ต้องรับผิดชอบ

Q8 : โบรกเกอร์มีความสำคัญอย่างไรกับผู้ลงทุน

A8 : โบรกเกอร์ไม่ใช่เป็นเพียงคนกลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับคุณเท่านั้น โบรกเกอร์จะต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ความ รับผิดชอบและบริการต่าง ๆ ที่ให้แก่ลูกค้าทุกขั้นตอนอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มเปิดบัญชี จนกระทั่งถึงขั้นตอนสิ้นสุดของการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ รวมทั้งช่วยดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ หรือแก้ไขปัญหาให้กับคุณ

Q9 :โบรกเกอร์ Class A คืออะไร

A9 :  คือ

  • Capital ฐานะมั่นคง

       เนื่องจากโบรกเกอร์ต้องทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินเงินทองของลูกค้าที่ฝากไว้ พวกหุ้นและเงินสด โบรกเกอร์ จึงต้องมีฐานะการเงินมั่นคง และมีความสามารถในการดำรงอัตราส่วนเงิน กองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Net Capital: NC) ซึ่งก็คือ ความเพียงพอของสินทรัพย์สภาพคล่องของโบรกเกอร์ ที่จะจ่ายคืนหนี้สินให้แก่ลูกค้า หากบริษัทประสบปัญหาทางการเงิน

  • License ดำรงใบอนุญาต

       ผู้ที่จะเป็นโบรกเกอร์จะต้องได้รับใบอนุญาตจากทางการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. นั่นก็คือ ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์และกฎระเบียบที่ ก.ล.ต. ออกอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นอาจถูกพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ กฎระเบียบต่าง ๆ ก็มีไว้เพื่อให้การปฏิบัติงานของโบรกเกอร์ เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน และคุ้มครอง ผู้ลงทุนว่าจะได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพ ผ่านการให้คำแนะนำจากบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ

  • Advice สามารถแนะนำ

      ผู้ลงทุนจะต้องสังเกตและใช้ดุลยพินิจว่า คำแนะนำที่โบรกเกอร์ให้แก่ผู้ลงทุนมีคุณภาพหรือไม่ โดยหลักแล้ว โบรกเกอร์ที่ดีจะต้องให้คำแนะนำ ที่เป็นไปตามหลักวิชาการ และสามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ ได้รับการ ตรวจสอบ และหากเป็นการให้ความเห็นส่วนตัวก็ต้องแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบ นอกจากนี้ คำแนะนำจะต้องเหมาะสมและสอดคล้อง กับความต้องการของผู้ลงทุน มีการแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบ ถึงส่วนได้เสียที่จะเกิดจากการซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุน และต้องไม่ชวนให้ซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ เพื่อหวังค่านายหน้า

  • System & Control ทำระบบดี

      ระบบงานที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการ เพราะจะทำให้โบรกเกอร์มีกลไกที่จะสอบทานการปฏิบัติ หน้าที่ ทำให้สามารถให้บริการ ที่มีคุณภาพแก่ผู้ลงทุนได้ ระบบงานที่ว่า คือ ระบบควบคุมภายในที่ดี โดยมีการแบ่งแยกผู้ปฏิบัติงานด้านติดต่อลูกค้า และด้านจัดการเอกสารและข้อมูลออกจากกัน พร้อมทั้งมีการตรวจสอบการปฏิบัติงานระหว่างกัน มีระบบดูแลทรัพย์สินของลูกค้า โดยโบรกเกอร์ต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินของลูกค้าแยกออกจากทรัพย์สินของโบรกเกอร์เองและต้องแจ้งยอดทรัพย์สินคงเหลือให้ลูกค้าทราบทุกเดือน มีการบันทึกเทปเสียงเมื่อมีการให้คำแนะนำและรับคำสั่งซื้อขายหุ้นจากผู้ลงทุน เป็นต้น 

  • Staff มีบุคลากรเชี่ยวชาญ

      การบริการของโบรกเกอร์ที่ให้ผู้ลงทุนล้วนมาจากบุคลากรทั้งสิ้น บริการที่ดีจึงเกิดจากบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ มีประสบการณ์ และมีจรรยาบรรณในการทำงาน ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ

  • Arbitration ยินดีเข้ากระบวนการอนุญาโตตุลาการ

      ข้อนี้ถือเป็นคุณสมบัติพิเศษนอกเหนือจากคุณสมบัติพื้นฐาน เพราะเป็นเรื่องการเพิ่มบริการแก่ผู้ลงทุนและ เป็นการแสดงความรับผิดชอบ ที่โบรกเกอร์มีต่อการให้บริการของตน

Q10 : การซื้อขายหลักทรัพย์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

A10 : 2 ประเภท คือ

1. หลักทรัพย์ที่เป็นหุ้น หุ้นในตลาด SET ที่มีทั้งหมด 400-500 กว่าตัว

2. หลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์ล่วงหน้า ตัวหลักๆ ในหลักทรัพย์อนุพันธ์ Oil Future น้ำมันล่วงหน้า, Gold Future ทองคำล่วงหน้า, SET 50

Q11 : ขั้นตอนเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนใหม่ มีวิธีการทำอย่างไร

A11 : คือ ขั้นตอนที่ 1 ติดต่อกับโบรกเกอร์ เพื่อขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต

ขั้นตอนที่ 2 กรอกใบคำร้องขอเปิดบัญชี พร้อมเตรียมหลักฐานที่ใช้การเปิดบัญชีบุคคลธรรมดา กรอกแบบฟอร์มเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น วิธีการชำระเงินหลักทรัพย์ที่ซื้อขายผ่าน Internet (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์แต่ละแห่ง และความต้องการใช้งานของแต่ละบุคคล)

ขั้นตอนที่ 3  รอผลการพิจารณาจากโบรกเกอร์ ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์

ขั้นตอนที่ 4 เข้าสู่การซื้อขายออนไลน์ 24 ชม. ผ่านระบบ Day trade

    ประเภทการเปิดบัญชี

1. บัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance หรือ Pre-paid หรือ Cash Deposit) เป็นบัญชีที่คุณต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์จำนวนหนึ่งก่อน สำหรับเป็นเงินชำระค่าหุ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และถือว่าเงินจำนวนนั้นเป็นอำนาจซื้อของคุณเอง เมื่อถึงวันชำระค่าหุ้น (T+3) โบรกเกอร์ก็จะหักเงินออกไปจากส่วนที่ฝากนี้ชำระเป็นค่าหุ้นไปอัตโนมัติ ถ้าคุณต้องการซื้อหุ้น แต่วงเงินไม่พอ ก็สามารถโอนเงินเพิ่ม เพื่อให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้นได้ บางโบรกเกอร์ก็จะให้ดอกเบี้ยเงินฝากด้วย

ข้อดี เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีทุนน้อย สามารถซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แม้มีเพียงหนึ่งหมื่นบาทสามารถซื้อขายได้ตามกำลังซื้อของตน และให้ความสะดวกกับนักลงทุน ไม่ต้องนำเงินไปฝากกับโบรกเกอร์ ในขณะที่ยังไม่มีการซื้อขาย

ข้อจำกัด ต้องมีเงินหรือหลักทรัพย์ฝากไว้ก่อนทำการซื้อขาย กรณีเงินไม่พอต้องโอนเงินเพิ่มก่อนและในวันที่ 1 ก.ค.47 เป็นต้นไป ได้มีการกำหนดให้ผู้ที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ต้องมีหลักประกันเริ่มต้น 10 % เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า บริษัทสมาชิก และตลาดทุนโดยรวม

2.บัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (Credit Ballance ) เป็นบัญชีรูปแบบหนึ่งของบัญชีมาร์จิ้นซึ่งอำนาจซื้อหลักทรัพย์ (Purchasing Power) ของคุณจะขึ้นอยู่กับหลักประกันและมูลค่าขึ้นลงตามราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่คุณมีอยู่ในบัญชีเครดิตบาลานซ์ (Market-to-Market) โดยการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ หรือยืมหลักทรัพย์เพื่อขาชอร์ต ต้องได้รับวงเงินและวางหลักทรัพย์ค้ำประกันตามอัตราที่แต่ละแห่งกำหนด บัญชีประเภทนี้ ลูกค้าควรศึกษากฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับภาวะขึ้นลงของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์

ข้อดี ลูกค้ามีอำนาจซื้อมากกว่าเงินสดหรือทรัพย์สินที่มี 
ข้อจำกัด ต้องมีการจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กรณีชำระเงินเกินเวลาที่กำหนด

เอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชี 

  1. สำเนาบัตรประชาชน
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. Statement 3 – 6 เดือน
  4. หน้า Book Bank

Q12 : ลูกค้าประเภทใดที่ไม่สามารถเปิดบัญชีหลักทรัพย์ได้

A12 : นักการเมือง พวกทำธุรกิจผิดกฎหมายและตัวโบเกอร์เอง

Q13 : ค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ ผ่านอินเตอร์เน็ต และ ค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ผ่านโบรกเกอร์ ต่างกันหรือไม่ เพราะอะไร

A13 : ต่างกัน สำหรับบัญชีธรรมดา ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์จะประมาณ 0.25% แต่ถ้าผ่านอินเทอร์เน็ตจะประมาณ 0.20%

     แต่ถ้าเป็นบัญชี Cash Balance นี้คือว่าเรามีเงินแค่ไหนเราก็จะซื้อขายได้แค่นั้น ถ้าผ่านโบรกเกอร์ก็จะเท่าเดิมคือ 0.25% แต่ถ้าผ่านอินเตอร์เน็ต 0.15%

Q14 : สิทธิประโยชน์ของผู้ลงทุนในการมีโบรกเกอร์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นคืออะไร

A14 : เพราะนักลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ และได้รับข้อมูลข่าวสารที่เยอะกว่าและยัง มีผู้ที่คอยให้คำปรึกษาในการลงทุน  ในบริการต่าง ๆ ของบริษัท เช่น เจ้าหน้าที่การตลาดที่มีคุณภาพและบริการอื่นๆ ตลาดหลักทรัพย์มีหน้าที่สอด ส่องดูแลความโปร่งใสและจรรยาบรรณของบริษัทสมาชิก ในกรณีที่บริษัทไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์มีสิทธิที่จะลงโทษได้

Q15 : การลงทุนเริ่มแรก ผู้ลงทุนจะต้องมีงบประมาณเท่าไหร่จึงจะลงทุนได้

A15 : ขั้นต่ำประมาณ 5,000 บาท

Q16 : นักลงทุนส่วนใหญ่ จะลงทุนหลักทรัพย์ประเภทไหนที่นิยมลงทุนกันมากที่สุด

A16 : จะอยู่ในกลุ่ม Blue – Chip Stock เป็นชื่อเรียกสำหรับหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง ซึ่งทิศทางของหุ้นโดยส่วนมากจะเป็นไปตามสภาพแนวโน้มของตลาด ข่าว หรืองบการเงินที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเหตุการณ์และความสำคัญต่างๆ หุ้น Blue – Chip จึงเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท และเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ต่างๆ เพราะเป็นหุ้นที่สามารถเห็นอนาคตได้ง่าย มีพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีหลักประกันรองรับบริษัทอยู่หลายๆชั้น แม้ว่าในแง่ของการเติบโตของบริษัทจะเติบโตได้น้อยแล้ว แต่ผลประกอบการที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นเสมือนแรงดึงดูดสำคัญสำหรับนักลงทุน เช่น SET 50 ก็คือ 50 อันดับของกลุ่มที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด เช่น PTT, DTAC, KBANK, SCB เป็นต้น

Q17 : ส่วนใหญ่ผู้ลงทุนเลือกที่จะมีความเสี่ยงในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน

A17 : บางคนยอมรับความเสี่ยงได้มาก บางคนยอมรับความเลี่ยงได้ปานกลาง ได้น้อย แล้วแต่ความพึงพอใจของผู้ลงทุน

Q18 : ระหว่างการฝากเงินในธนาคารกับการเล่นหุ้นในหลักทรัพย์ มีข้อดีและข้อเสียต่างกันอย่างไร

A18 :  การฝากเงินธนาคาร

ข้อดี        ได้อัตราผลตอบแทนที่แน่นอน

ข้อเสีย    ดอกเบี้ยน้อย

                การเล่นหุ้นในหลักทรัพย์

ข้อดี        อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ใช้ระยะเวลาในการลงทุนที่นานกว่า เช่น PTT ในช่วง 100-200 บาท ผ่านมาหลายปี จนปัจจุบันนี้หุ้น PTT มีราคา 300 กว่าบาท ผลตอบแทนก็ต้องมากกว่าเงินฝากธนาคาร

ข้อเสีย มีความเสี่ยงสูง และอาจไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง

Q19 : ถ้ากรณีผู้ลงทุนในหลักทรัพย์เกิดการขาดทุน โบรกเกอร์จะช่วยแนะนำหรือแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร

A19 :  ขายชอร์ต คือ ตัดขายขาดทุนไปก่อนเพื่อไม่ให้ขาดทุนหนักกว่านี้ แล้วค่อยกลับไปรับซื้อที่ราคาที่ถูกกว่าเดิมจำนวนหุ้นเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม เมื่อราคากลับขึ้นมาค่อยขายจะทำให้ถึงต้นทุนได้ไวกว่าต้นทุนเดิม

ตัวอย่างการขายชอร์ต  ถ้าเราซื้อหุ้นในราคา 10 บาท แต่ราคามันไม่ขึ้นเลย เราก็ตัดขายขาดทุนที่

 8 บาทแล้วก็รอกลับมาซื้อใหม่ที่ราคาต่ำกว่า 8 บาท เช่น 6 บาทหรือ 7 บาท ในจำนวนหุ้นที่เท่าเดิม

ซื้อถัวเฉลี่ย คือ การซื้อในราคาที่ต่างกันในช่วงราคาลง โดยอาจจะซื้อในจำนวนหุ้นที่เท่าๆกัน หรือไม่เท่ากัน เพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยถูกลง

ตัวอย่างการซื้อถัวเฉลี่ย ในกรณีที่ขาดทุนแต่ยังไม่ขายหุ้น ยังมีหุ้นอยู่ ก็ให้ซื้อเพิ่ม ในราคาที่ถูกกว่า

เช่นเราซื้อไว้ที่ราคา 10 บาท แล้วหุ้นมีแต่ลงไม่ยอมขึ้นเป็นเวลานาน เราก็จะต้องซื้อเพิ่มที่ราคา 8 บาท ในจำนวนเท่าๆกัน ต้นทุนถัวเฉลี่ยเราก็จะถูกลงทำให้ถึงต้นทุนได้ง่ายขึ้นเวลาที่หุ้นขึ้นมา

 

Q20 :  นักลงทุนในหลักทรัพย์ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการเก็งกำไรเป็นสำคัญใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด

A20 : เพราะ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investment) ไม่ใช่

  • ซื้อบริษัทเน่าๆใน PE ต่ำๆ
  • Macro : พวกเล่นตาม fund flow
  • การเล่นหุ้นแบบ Technical
  • การเก็งกำไร (Speculative)

นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investor) เชื่อว่า

  • การซื้อหุ้นก็เหมือนการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ เราจะลงเรื่อลำเดียวกัน
  • Intrinsic Value คือมูลค่าของกิจการที่เกิดจากสินทรัพย์และกระแสเงินสด (Cash Flow)
  • ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นวิ่งลงทุกวันไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
  • MARGIN OF SAFETY คือการซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ

นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investor) ต้องทำอะไรบ้าง 

  • หาหุ้นเด็ดเพื่อนำมาประเมินมูลค่า
  • วิเคราะห์คุณภาพของกิจการ
  • ระบุตัวเร่งที่ทำให้กิจการดีกว่าเดิม
  • ประเมินมูลค่าของกิจการ
  • หาส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of safety)
  • Portfolio concentration ถือหุ้นเยอะตัวผลตอบแทนมันก็เฉลี่ยๆกัน
  • จะขายเมื่อไร
  • จะวิเคราะห์ประเด็นที่กล่าวมานี้อย่างไร ถ้าไม่มีความรู้ก็ไปเรียนเล่นหุ้นเพิ่มเติม ของพวกนี้ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต

ลักษณะของหุ้นดีที่มองหา 

  • บริษัทที่ขายสินค้า/บริหารเฉพาะ หรือผลิตสินค้าที่มีความต้องการอยู่เสมอในราคาต่ำ
  • กำไรสม่ำเสมอ
  • กำไรเติบโตเรื่อยๆ
  • ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ
  • ฐานะทางการเงินดี (หนี้สินระยะยาวน้อยหรือลดลง)

สมาชิกในกลุ่ม (สาขา การเงินการธนาคาร 01)

  1. นางสาวณัฐธิดา           พรหมมา            รหัสนักศึกษา 52127312009     
  2. นางสาวธนาพร             นามา               รหัสนักศึกษา 52127312011    
  3. นางสาวศรินทิพย์          พีรกุลารักษ์        รหัสนักศึกษา 52127312013    
  4. นายพร้อมพงษ์             จันทมาลี           รหัสนักศึกษา 52127312016    
  5. นางสาวสองขวัญ          สังข์เอม            รหัสนักศึกษา 52127312018    
  6. นายประมุข                  ฝักเจริญผล       รหัสนักศึกษา 52127312019    
  7. นายเมทนี                   ทิพย์สุมาลัย       รหัสนักศึกษา 52127312020    
  8. นายปลา                     คินไธสง           รหัสนักศึกษา 52127312030
  9. นายชัยวัฒน์                ดีฉ่ำ                 รหัสนักศึกษา 52127312033


                          บทสัมภาษณ์โบรกเกอร์

นางสาว นิดา ศรีสะอาด Nida  Srisaard  (เจ้าหน้าที่การตลาด)

บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กร๊ป จำกัด(มหาชน)

132 อาคารสินทร 1 ชั้น2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี  เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

[email protected]

 

เทคนิคการลงทุน

1.เทคนิคการลงทุนในหุ้นควรวิเคราะห์อย่างไร

1.ดูภาวะตลาดหุ้นโดยรวม เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาด โดยคาดการณ์ในอนาคตว่าตลาดจะเป็นอย่างไร
2. เลือกซื้อหุ้นหลายตัว จาก หลายกลุ่ม เวลาซื้อหุ้นไม่ควรซื้อหุ้นตัวเดียว หรือ หุ้นหลายตัวในกลุ่มธุรกิจเดียว แต่ควรซื้อหุ้นหลายตัวจากในหลายกลุ่มเพื่อลดความเสี่ยงจากความเสี่ยงเฉพาะตัว โดยการจัด portfolio ของคุณให้ดี
3 วิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว ว่าดีหรือไม่
3.1 ดู "จำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด" ว่ามีมากน้อยเพียงใด
3.2 ดู "ผลประกอบการ" ย้อนหลังของหุ้นตัวนี้ ถ้าจะให้ดีอย่างน้อยสัก 3 ปี หากไม่มีเวลาดูปีเดียว ก็ได้
3.3 ดู "ปริมาณการซื้อขาย" ของหุ้นตัวนั้น ว่ามีมากน้อยเพียงใด
3.4 ดู "การปันผล" ดูความสม่ำเสมอของการจ่ายเงินปันผล ดูเงินปันผลที่จ่ายว่าดีกว่า ดอกเบี้ยที่ได้จาก bank ไหม เพราะการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง เราต้องประเมินว่า ค่าความเสี่ยง กับ เงินปันผลที่ได้จะคุ้มกันไหม ถ้าเทียบกับการฝากเงินในธนาคาร                                                                                           4. วิเคราะห์ "ในรายละเอียด" ของหุ้นตัวนั้น
4.1 ควรหา รายงานประจำปี ( annual report ) ของบริษัทนั้นๆ เพราะจะมี งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกำไรสะสม และงบกระแสเงินสด ของบริษัทนั้นๆ
4.2 วิเคราะห์ "ค่าเบต้า" ของหุ้นตัวนั้นว่าเป็นอย่างไร                                       4.3 หาค่า กำไรต่อหุ้น                                                                         4.4หาค่า (p/e) ratio สูตรในการคำวณคือ (p/e) ratio = ราคาปิดของหุ้นสามัญต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น ( EPS ) เมื่อได้ค่าแล้ว นำมาเทียบกับค่าเฉลี่ยมาตรฐานของธุรกิจนั้นๆโดยทั่วไปคือ Industry average หรือ ไม่ควรเกิน 17
4.5 วิเคราะห์ค่า Market / Book Value โดยหาค่า book value ก่อน "book value" มูลค่าหุ้นตามบัญชี สูตรในการคำนวณคือ book value = ส่วนของเจ้าของ/จำนวนหุ้นสามัญ ต่อมาดูค่า "market value" มูลค่าหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ หาค่า Market / Book Value โดยนำ market value ( ราคาตลาดของหุ้นสามัญ ) หารด้วย book value นำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบค่ามาตรฐานของธุรกิจนั้นๆ โดยทั่วไปคือ Industry average หรือ ค่าที่ได้ไม่ควรเกิน 2 จึงจะถือว่าดี
4.6 ดูการ "เสนอซื้อ/เสนอขาย/ตกลงราคา" (bid / offer / exercise) ณวันนั้น
4.7 ดู ราคาสูงสุด / ต่ำสุด (high / low) ณ วันนั้น
4.8 ดู ราคาปิดที่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน (change) เป็นบวก หรือเป็นลบ
5. ตัดสินใจ ซื้อหรือไม่ และจะซื้อมาก/น้อยแค่ไหน จะเก็บไว้นานหรือไม่ จะขายเมื่อไร

2.ภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการเพิ่ม-ลดของหุ้นหรือไม่ อย่างไร

มีผลต่อการดำเนินงาน และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ คือ ถ้าเศรษฐกิจดีหุ้นจะขึ้น และถ้าเศรษฐกิจไม่ดีหุ้นจะลง

3.ภาวะเศรษฐกิจโลกมีผลต่อการผันผวนของราคาหุ้นหรือไม่

มี          -โดยเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นปัจจัยหลักคิดเป็นร้อยละ 80

            -เศรษฐกิจภายในประเทศมีผลร้อยละ20            

4.เทคนิคการวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ควรศึกษาก่อนการลงทุน

มี 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่  

1.การวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)  เป็นแนวคิดที่มุ่งวิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด อัตราผลตอบแทน ความเสี่ยงจากการลงทุน และมูลค่าของหลักทรัพย์  โดยปัจจัยพื้นฐานหลัก 3 ประการได้แก่ ปัจจัยด้านภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านภาวะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยที่เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน รวมทั้งฐานะทางเงินของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์

2.การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นการศึกษาพฤติกรรมของราคาหุ้น หรือพฤติกรรมของตลาดในอดีตโดยใช้หลักสถิติ เพื่อนำมาใช้คาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคต ได้แก่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทาง และช่วยให้ผู้ลงทุนหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม ได้แก่ แผนภูมิ (กราฟ)

วิธีการดำเนินงานด้านการลงทุน

1.ขั้นตอนการซื้อหุ้นมีอะไรบ้าง

1. กำหนดขอบเขตการลงทุน

2. ศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการลงทุน

3. เปิดบัญชีเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์

4. ส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์

5. ส่งมอบและชำระราคาหลักทรัพย์

6. ทบทวนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

 

2.ขั้นตอนของการวางแผนทางการลงทุนหลักทรัพย์แก่ลูกค้ามีขั้นตอนอย่างไร

1.เป็นการกำหดนโยบายการลงทุน ตามความจำเป็นของผู้ลงทุน

2.เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับลูกค้า

3.เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้

4.เป็นการติดตามความต้องการของผู้ลงทุน

                                               จรรยาบรรณ

1.คุณสมบัติของโบรกเกอร์คือ

การเป็นโบรกเกอร์ที่ดี จะต้องสามารถให้คำแนะนำที่มีคุณภาพแก่ผู้ลงทุนได้ ทั้งนี้ คุณผู้ลงทุนสามารถพิจารณาคุณภาพของคำ แนะนำได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้

1.เป็นไปตามหลักวิชาและสามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ เช่น จากงานวิจัยของบริษัท จากข่าวที่ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นความจริง หรือหากเป็นการให้ความเห็นส่วนตัวก็ต้องแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบอย่างชัดเจนด้วย

2.สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุน ทั้งในเรื่องของวัตถุประสงค์ในการลงทุน ความสามารถในการรับความเสี่ยง ตลอดจนฐานะทางการเงิน ของผู้ลงทุน

3.เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน โดยไม่แนะนำ เชิญชวน หรือรับที่จะบริหารบัญชีในลักษณะที่อาจทำให้เกิดการซื้อขายบ่อยเกินความจำเป็น โดยหวังส่วนแบ่งค่านายหน้าจากการซื้อขายดังกล่าว นอกจากนี้ ยังต้องแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบถึงส่วน ได้เสียที่โบรกเกอร์ หรือเจ้าหน้าที่การตลาดมีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนรับคำสั่งซื้อขายด้วย

โบรกเกอร์ที่ดีควรมี “CLASS A”

  • Capital ฐานะมั่นคง
  • License ดำรงใบอนุญาต
  • Advice สามารถแนะนำ
  • System & Control ทำระบบดี
  • Staff มีบุคลากรเชี่ยวชาญ
  • Arbitration ยินดีเข้ากระบวนการอนุญาโตตุลาการ

การเป็นโบรกเกอร์ควรทำอย่างไรบ้าง     

ต้องไปสอบวัดความรู้ที่ตลาดหลักทรัพย์   จัดโดย TSI หรือที่เรียกว่า สถาบันพัฒนาตลาดทุน เมื่อสอบผ่าน ก็นำเอาผลสอบไปยื่นกับ กลต. เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน 

                    สมาชิกในกลุ่ม                                                                    1.นางสาววรีรัตน์ แซ่โง้ว 52127312051                                                     2.นางสาวเบญญาภา ศรีนวล 52127312057
3.นางสาวณัฐยา กรโคกกรวด 52127312058
4.นางสาวมยุรี สมผล 52127312059
5.นางสาวไกรศรี พลโฮม 52127312060
6.นายเจติพันธ์ จ้อยชู 52127312062
7.นางสาวจิตรยา กันยา 52127312064
8.นางสาวชนิกานต์ บำรุงราษฎร์ 52127312066
9.นายนิธิศ ผ่องอำไพ 52127312067
10.นายกิตติกร จันอินทร์ 52127312071

       การเงิน การธนาคาร 02

  

บทสัมภาษณ์นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ผู้ให้สัมภาษณ์ : คุณฉัตรชัย   จินดารัตน์ นักวิเคราะห์ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน

Q1:         ก่อนที่พี่จะมาทำงานด้านนี้พี่ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างค่ะ

A1:         ก่อนที่พี่จะได้มาทำงานเป็นนักวิเคราะห์ได้ก็ผ่านการสอบ Cisa ก่อน โดยการสอบ Cisa ก็จะมี 4 Level ใน1 Level มี4 หมวด (มี 4 ระดับ ใน 1ระดับก็มี 4หมวด )ก็จะเกี่ยวกับจรรยาบรรณ การลงทุน และการจัดพอร์ต พี่มาทำงานเริ่มแรกก็ต้องเป็นผู้ช่วยก่อน เพราะยังไม่ผ่านการสอบลายเส้น(Single License) มาทำงานไปเรื่อยๆแล้วก็สอบใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี พอทำงานผ่านไป 1 ปีมีประสบการณ์นับตั้งแต่เป็นผู้ช่วยแล้วก็สอบเมื่อสอบผ่านแล้วก็ขึ้นทะเบียนเป็นนักวิเคราะห์ โดยจะสามารถขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน กลต.)  

Q2:         พี่ทำงานที่นี้มานานเท่าไรแล้วค่ะ

A2:         2 ปีครึ่ง

Q3:         เทคนิคในการวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นอย่างไร

A3:         เทคนิคในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ดูตั้งแต่ภาพรวมของBottom-up กับTop-Down  Bottom-up คือจากล่างไปบนวิเคราะห์จากตัวอุตสาหกรรมไปดูเศรษฐกิจไปจนถึงเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจประเทศ  แต่Top-Downคือดูจากเศรษฐกิจโลกและมาดูเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย  ภูมิภาคยุโรปดูเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ  และมาดูที่ตัวอุตสาหกรรมแล้วค่อยดูว่าจะเอาหุ้นไหนในกลุ่มนั้นเป็นต้น  เวลาจะทำ Bottom-up แสดงว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแต่มีหุ้นตัว  1  ที่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถปรับตัวขึ้นได้  ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจนั้นไม่ค่อยดี  แต่ถ้าเป็นTop-Downแสดงว่าเศรษฐกิจโลกดี  เพราะฉะนั้นพอเศรษฐกิจโลกดีก็จะทำให้เลือกหุ้นได้ง่าย  ก็คือเลือกจากเศรษฐกิจที่ดีก่อนและไล่ลงมาจนถึงภาวะอุตสาหกรรมว่าอุตสาหกรรมนั้นช่วงนั้นเป็นยังไง  เช่น  ถ้าเกิดมีนโยบายอะไรใหม่ๆของรัฐบาลออกมากระตุ้นให้คนบริโภคมากขึ้น  หุ้นกลุ่มค้าปลีก  กลุ่มอาหารก็อาจจะดีขึ้นอาจจะเป็นประเด็นที่สามารถหยิบยกมาให้นักลงทุนนั้นสามารถลงทุนได้ในช่วงนั้น  ก็จะเป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีก  กลุ่มอาหาร  เสร็จแล้วก็จะไปดูในหุ้นแต่ละกลุ่มว่ากลุ่มนั้นเป็นยังไง  สมมติว่ากลุ่มค้าปลีกมี  CPALL  ก็คือเซ่เว่น, แม๊คโค เป็นต้น ถ้าเป็นช่วงที่รัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ หุ้นกลุ่มนี้ก็อาจจะดีเพราะว่าคนก็จะมีกำลังในการบริโภคมากขึ้นก็จะเอามาเทียบว่าหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีก็คือมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง  แนวโน้มผลประกอบการที่น่าจะเติบโตต่อเนื่องก็ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้เป็นสำคัญ 

Q4:         วิธีการดำเนินงานด้านการลงทุน

A4:        วิธีการดำเนินงานคือถ้าเราจะเชียร์หุ้นตัวไหนเราก็จะดูก่อนว่าหุ้นตัวนั้นมีศักยภาพในการเจริญเติบโตหรือไม่ถ้าเราเห็นแล้วว่ามีแนวโน้มจะดี  สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือเข้าหาผู้บริหารบริษัทนั้นๆ  เพื่อไปถามมุมมองและประเด็นที่เราสนใจ  ถามถึงแนวโน้มผลประกอบการ  ไตรมาส  2  เป็นไง  ไตรมาส  3  เป็นไง  ปีนี้เป็นยังไง  ปีหน้าเป็นยังไง  ถ้าผู้บริหารบอกว่าปีหน้าจะโตดีจะโตนี้จะโตจากอะไร  และเรื่อง ทุกอย่างที่เราอยากจะรู้  เครื่องจักรเสียไปซื้อมาใหม่ได้หรือยัง  กำลังการผลิตที่โดนน้ำท่วมหายไปนั้นกลับมากี่เปอร์เซ็นแล้ว  แล้วมาทำเป็นโปรเจคชั่นของเราตามที่ผู้บริหารบอก  แต่สิ่งที่ผู้บริหารบอก  ผู้บริหารบางคนก็อาจจะบอกเยอะเกิน  บางคนก็อาจจะบอกน้อยเกินเราก็ต้องมาใช้ดุจพินิจเราอีกทีหนึ่ง  ไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่ผู้บริหารบอก  ถ้าผู้บริหารคนไหนมีสไตล์ที่ Bullish มากก็คือชอบเชียร์ให้กำไรเวอร์มาก สมมติเขาบอกโต 25 % เราก็จะมาทำโปรเจคชั่นทำ Fort cacheเราแค่  20%  แล้วก็ถามโน้นถามนี้ว่าแหล่งเงินทุนตั้งงบลงทุนไว้เท่าไรในเครื่องจักรและอุปกรณ์  เพราะมันเกี่ยวกับโปรเจคชั่นของเรา  งบลงทุนเท่าไร  มาจากหนี้เท่าไร  มีจะออกหุ้นเพิ่มไหม  เพราะถ้าเกิดการเพิ่มทุนก็จะมีผลต่อผู้ถือหุ้น ก็คือจะทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมนั้นเสียประโยชน์  เพราะมีคนมาแบ่งส่วนกำไรมากขึ้นเสร็จแล้วก็ทำโปรเจคชั่น ทำFinanceโมเดล มีงบดุล  งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด แล้วดูงบการเงินทั้ง 3  ย้อนหลัง 3 ปี แล้วFort cacheล่วงหน้าอีก 3  ปี ส่วนงบกำไรขาดทุนอาจจะทำเป็นทั้งไตรมาส งบกำไรไตรมาสและงบปีด้วย เสร็จแล้วก็จะ valuation ก็มีหลายแบบก็ต้องเลือกวิธีให้ตรงกับหุ้นนั้นๆ เช่น หุ้นที่มีกระเงินสดเยอะๆตลอดต่อเนื่อง ก็อาจจะใช้ DTF แต่ถ้าเกิดอย่างเช่นหุ้นอิเล็กทรอนิกส์นั้นกำไรค่อนข้างผันผวน ทำให้กระแสเงินสดนั้นไม่ค่อยคงที่ เพราะฉะนั้นการใช้ดีเซฟก็ไม่เหมาะสม  และmargin หรืออัตรากำไรค่อนข้างผันผวนทำให้การใช้ดีเซฟนั้นเป็นอะไรที่ต้องการความคงที่ทำให้มันไม่เหมาะสมก็เลยใช้  P/E ratio เพราะว่ามองอะไรแค่ว่า  6  เดือน  12  เดือนข้างหน้า  เพราะฉะนั้นการใช้  P/E ratio  ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนกำไรได้ทันและสะท้อนราคาสะท้อนผลประกอบการได้ดีกว่าในการใช้ในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ 

Q5:         จรรยาบรรณของวิชาชีพ คืออะไร

A5:         หลักๆก็คือ เราแนะนำหุ้นตัวไหนก็ไม่ควรจะซื้อหุ้นตัวนั้นก่อน ก็คือนักวิเคราะห์ไม่ได้ถูกบังคับว่าไม่ให้เล่นหุ้น เล่นได้แต่ก็ต้องรายงานว่ามีเล่นอะไรบ้าง สมมติว่าหุ้นที่เราเชียร์คือ ปตท.เราก็ห้ามซื้อ ปตท. ก่อนที่จะออกPaperนั้น 3 วัน เป็นอย่างน้อย และหลังจากออกPaper.ไปแล้ว 3 วันก็ห้ามซื้อ ก็คือบวกลบ 3 วัน ก่อนวันที่เราจะออกPaperนั้นห้ามซื้อ  ก็จะผิดกฎ ผิดกฎก็จะโดนระงับใบอนุญาตวิเคราะห์หลักทรัพย์ และจะเป็นอะไรที่เป็นมลทินติดตัวเราไปไปทำงานไหนเราจะถูกคนอื่นมองว่าไม่โปร่งใสก็อาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้ ไม่สามารถเป็นนักวิเคราะห์ได้อีกถ้าถูกจับได้ เพราะเป็นกรณีที่ร้ายแรง ห้ามใช้คำพูดที่เป็นการจูงใจที่มากเกินไปเชียร์ในบนหลักฐานพื้นฐานที่เรามีอยู่ตามความเป็นจริง  พูดในมุมมองของเราไม่ใช่พูดว่าต้องซื้อเดียวนี้ กำไรจะโต 20% แน่นอนฟันธงอย่างนี้ไม่ได้ ต้องใช้คำว่าคาดว่าจะเติบโต20% จากปีก่อนหน้าเป็นต้น จะไปคิดเองเออเองไม่ได้เข้าข่ายการปั้นหุ้น และถ้าไม่ Single License นักวิเคราะห์ก็ไม่สามารถเอาบทวิเคราะห์และเขียนชื่อตัวเองเข้าไปได้ และไม่สามารถติดต่อกับผู้ลงทุนได้ไม่สามารถให้คำแนะนำกับผู้ลงทุนที่ส่งอีเมล์มาถามหรือโทรศัพท์มาถามไม่ได้ ถ้าเราไม่มี Single License ก็คือที่เขาเรียกลายเส้นนักวิเคราะห์ ซีซ่า ซีเอฟเอไอ พวกนี้ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ ถ้านักวิเคราะห์ยังไม่มีใบอนุญาต เขาโทรศัพท์มาก็ต้องให้นักวิเคราะห์คุยหรือไม่ก็ตอบแทนในนามของนักวิเคราะห์

Q6:         ในการที่จะแนะนำนักลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งต้องมีเกณฑ์ในการแนะนำอย่างไรบ้าง

A6:         ต้องดูสถานการณ์เศรษฐกิจมี 2 อย่างคือดู top up หรือ to down หมายความว่าดูเศรษฐกิจโลก ว่าเป็นยังไง ถ้าดีก็อาจจะดูหุ้น commodity สินค้าโภคภัณฑ์น้ำมัน ถ่านหิน ฯลฯ มองเศรษฐกิจมาก่อนถ้าเศรษฐกิจดีก็จะซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างเช่น หุ้นน้ำมัน หุ้นปิโตรเคมี หุ้นถ่านหิน หุ้นยางพารา เป็นต้น จะวิเคราะห์หุ้นอะไรก็ต้องดูด้วยว่าเป็นหุ้นเก็งกำไรหรือไม่ ราคาขึ้นลงผันผวนหรือเปล่าเพราะอาจเป็นอันตรายก็อาจจะไม่แนะนำ แล้วก็ดูสภาพคล่องในตลาดด้วยว่ามีหุ้นเยอะไหมหรือไม่มี เช่น ซื้อไปแล้วนักลงทุนติดลบก็ไม่ควรแนะนำ

Q7:         ในช่วงเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ควรลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมใด

A7:         หุ้นอสังหาริมทรัพย์ก็น่าสนใจ เพราะตัวเลขผลประกอบการฟื้นตัวเกินขาด และคาดว่าน้ำท่วมปีนี้อาจจะไม่ร้ายแรงกว่าปีที่แล้ว หุ้นที่อยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อยู่ในพื้นที่ ในน้ำท่วมปีที่แล้วราคายังไม่ค่อยขึ้นมาก เช่น พฤษาอาจจะได้รับในเชิงบวก ในไตรมาสที่ 2 ในการรายงาน backlog หรือยอด presale ก็ดีกว่าตลาดที่ประเมิน ทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวได้เร็วเกินคาดอย่างตัว raimon ก็จะเป็นไตรมาสแรก รายงานผลกำไรสุทธิเป็นไตรมาสแรกในรอบหลายไตรมาส

Q8:         ในการที่จะแนะนำนักลงทุนควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้อย่างไร

A8:         ก็ต้องดูว่านักลงทุนต้องการเล่นระยะสั้นหรือต้องการเล่นระยะยาว ถ้านักลงทุนเล่นหุ้นระยะสั้นๆ ก็อาจจะเล่นเก็งกำไรเป็นเพราะวันนั้นมีการเก็งกำไรในรายได้ เช่นว่าวันนั้นมีการประชุมผู้นำ EU หรือวันนั้นมีการประชุมธนาคารกลางในยุโรปเก็งกำไรว่า ยุโรปลดอัตราดอกเบี้ยเป็น+ต่อหุ้นพลังงานก็จะแนะนำหุ้นพลังงาน ถ้าออกมาลดอัตราดอกเบี้ยจริงก็จะ sell on fact (ขายเมื่อมีข่าวจริง )ถ้าลดมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ก็ขายในวันรุ่งขึ้น ในทางกลับกันถ้าหากไม่ลด ก็เป็นประเด็นลบ ก็ต้องรีบขายทำวันต่อวันไปก็ต้องขาย ถ้าออกมาเป็นลดหรือไม่ลดก็ต้องขาย sell on fact ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาวก็ต้องมองเงินปันผล หุ้นระยะยาวก็ต้องมองหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก จากการคาดการณ์ว่าในไตรมาสปีนี้ ผลประกอบการอาจจะไม่ดีหุ้นก็เลยลงระยะยาว หุ้นประกอบการที่ดี เช่นหุ้น CPF ไตรมาสที่ 2 ก็อาจไม่ดี แต่ในระยะยาวในไตรมาส 3-4 และก็ปีหน้ายังดีอยู่ ถ้าหากลูกค้าบางคน ชอบเงินปันผล ลูกค้าที่มีอายุเยอะแล้ว อาจจะชอบเงินปันผล และจะแนะนำหุ้นปันผลเช่น ADVANCE ,DTAC ถ้านักลงทุนที่เป็นวัยทำงานชอบความเสี่ยงมาก เราก็จะแนะนำหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงได้

Q9:         การลงทุนเริ่มแรกต้องกำหนดเงินขั้นต่ำเท่าไร

A9:         ส่วนใหญ่ก็เล่น 5,000 ขึ้นไป

Q10:      วิธีการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนของนักวิเคราะห์เป็นอย่างไร

A10:      คือ ไม่หลอกลูกค้า ได้ข้อมูลอะไรมาก็บอกไปตามตรง ไม่ซื้อหุ้นก่อนที่จะแนะนำให้ลูกค้า เราต้องให้ลูกค้ารับผลประโยชน์สูงสุด จะต้องดูแลลูกค้าให้คำแนะนำที่ดี ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ยังไม่เห็นปัจจัยพื้นฐานแล้วเชียร์ซื้อเพราะเรามีหุ้นตัวนั้น และไม่ใช่จะเชียร์เพราะเราอยากเชียร์ ต้องดูปัจจัยพื้นฐานด้วยว่าเป็นหุ้นเก็งกำไรหรือไม่ การสร้างราคาทำให้ลูกค้าเสียประโยชน์ ไปติดในราคาสูงๆ ก็ขาดทุน มีจรรยาบรรณไม่ซื้อก่อนลูกค้า

Q11:      เจ้าหน้าที่การตลาดสามารถเขียนบทวิเคราะห์หุ้นได้หรือไม่ อย่างไร

A11:      ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดไม่สามารถเขียนได้ ลายเส้นของBrokerนั้น ให้เฉพาะให้คำแนะนำนักลงทุนก็คือบทวิเคราะห์ที่นักวิเคราะห์ทำตัวอย่างไปแนะนำให้ลูกค้าได้เท่านั้น ไม่สามารถทำเองได้ เพราะลายเส้นไม่สามารถทำได้ต้องเป็นลายเส้นของนักวิเคราะห์ถึงจะทำได้

Q12:      ข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์หุ้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง

A12:      ข้อมูลที่เราได้ส่วนใหญ่มาจากการสัมภาษณ์ หรือว่าพูดคุยกับผู้บริหาร ถ้าเกิดข้อผิดพลาดอะไร อาจจะเป็นเพราะผู้บริหารให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ให้ข้อมูลเกินความเป็นจริง ก็เลยทำให้ผู้วิเคราะห์นั้นประมาณการ หรืออาจเกิดผลจากภัยธรรมชาติ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นภัยต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เหนือการคาดหมาย ซึ่งปัจจัยพื้นฐานมันเปลี่ยนไป ก็เลยไม่ตรงกับประมาณการที่ทำไป

 

                                     สมาชิกกลุ่ม 2

1.  นางสาวนริศรา          น้อยประชา    52127312006

2.  นางสาวสุกาญดา       แสนศรี         52127312005

3.  นางสาวนิชนันท์        ชวลถวิล        52127312013

4.  นางสาวสุกัญญา        พวงทอง       52127312014

5.  นางสาวสุปราณี         วันดี             52127312023

6.  นางสาวรัดเกล้า         ทองคำ         52127312025

7.  นางสาวณัฐฐา           กุลวัฒน์        52127312027

8.  นางสาววชิยาลักษณ์   มิ่งมงคล       52127312028

9.  นางสาวสาวิตรี           จินดารัตน์     52127312034

                   บริหารธุรกิจ(การเงินการธนาคาร01) ปี4

 

กลุ่มที่ 3 การเงิน 01ปี4 รหัส52

บทสัมภาษณ์

คุณ ศรัญญา หลากสุขถม รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส

บริษัท หลักทรัพย์ KGI (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน

 

บทสัมภาษณ์

Q            :              ชื่อ ประวัติการศึกษา และ ประสบการณ์การทำงาน

A             :              ศรัญญา หลากสุขถม

ประวัติการศึกษา เศรษฐศาสตร์บัณฑิต ปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา

ประวัติการทำงาน จบใหม่ๆทำงานที่ การปริโตเลียมแห่งประเทศไทย (ฝ่ายบุคคล) ได้ประมาณ 1 ปี แล้วก็ทำบริษัทหลักทรัพย์เอเชียทำอยู่ 5 ปี จากนั้นก็ไปเรียนปริญญาโทต่อที่สหรัฐอเมริกา 3 ปี แล้วก็มาทำงานที่ บริษัทหลักทรัพย์ KGI (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน เป็นเวลา 10 ปีแล้ว

Q            :             จรรยาบรรณของโบรกเกอร์คืออะไร

A             :               คือ การซื้อขาย หรือ การดูแลลูกค้า ต้องเท่าเทียมกัน ใครสั่งก่อนก็ต้องได้ก่อน ใครสั่งทีหลังก็ได้ทีหลัง ถ้าไม่มีจรรยาบรรณก็จะทำให้ ไม่ถูกต้องทางการซื้อขาย

Q            :              โบรกเกอร์มีหน้าที่และวิธีการดำเนินงานของโบรกเกอร์อย่างไร

A             :               คือการรับ Order จากลูกค้า และวิเคราะห์ข้อมูลให้ลูกค้า ให้บริการหลังการซื้อขายก็คือ หลังจากมีการซื้อขายแล้ว ก็ต้องค่อยดูแลลูกค้าด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่นั้นเล่นหุ้นเพื่อต้องการได้เงินปันผล ไม่ใช่เพื่อต้องการเกร็งกำไร

Q            :              มีการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้จักอย่างไร

A             :               ลูกค้าต้องมีความรู้ทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์

Q            :              หากต้องการลงทุน ในหลักทรัพย์ควรทำอย่างไร

A             :               ต้องเปิดบัญชีกับตลาดหลักทรัพย์ห้ามไปซื้อขายกันเองต้องไปซื้อขายกันบนกระดาษเท่านั้น แล้วถ้าคุณจะเลือกลงทุนควรเลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่มีเงินลงทุนจดทะเบียนสูง เพื่อป้องกันความเสี่ยง

Q            :              หลักทรัพย์ใดที่จะแนะนำให้กับผู้ลงทุน  มีเหตุผลอย่างไร

A             :               ต้องแนะนำลูกค้าก่อน โดยการใช้วิธีแนะนำไปตาม คาแล็กเตอร์ ของลูกค้า เช่น บุคคลที่ 1 เป็นป๊ามีเงินเยอะต้องการเล่นเร็ว อยากได้กำไรเร็วก็จะแนะนำ หุ้นที่จะขึ้นเร็วและลงเร็ว ซึ่งมีความเสี่ยงที่สูง บุคคลที่ 2 เป็นคนที่รัดกลุ้มมีทุนไม่ค่อยเยอะขาดทุนไม่ได้ ก็จะแนะนำหุ้นที่ดี  ขึ้นก็น้อย ลงก็น้อย ให้เงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น หุ้นปริโตเลียม หุ้นแบงค์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำมาก

Q            :              หากเกิดข้อผิดพลาดต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

A             :               แก้ไขไม่ได้เนื่องจากการตัดสินใจขึ้นอยู่กับนักลงทุนเพราะโบรกเกอร์เป็นแค่ที่ปรึกษาแนะนำเท่านั้นเอง

Q            :              ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลต่อบริษัทหลักทรัพย์หรือไมอย่างไร

A             :               เมื่อมีปัญหาย่อมมีผลตามมาแน่นอนนักลงทุนต่างประเทศก็คิดว่าประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพ ก็จะถอนการลงทุนและไม่ร่วมลงทุนกับเรา สรุปได้เลย มีผลอย่างรุนแรงมาก

Q            :              คิดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร

A             :               เสถียรภาพการเมืองก็คงไม่จะร้อนแรงไปกว่านี้แล้ว เราคงจะปรับตัวได้โดยมีองค์ประกอบ 3 ข้อนี้ (1) เสถียรภาพทางการเงิน (2) ด้านเศรษฐกิจยุโรป (3) ด้านน้ำท่วม ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ประเทศไทยจะต้องดีกว่านี้และมั่นคงกว่านี้แน่นอน แล้วอีก 2 ปีข้างหน้าเราจะเปิดรับ อาเซียน รัฐบาลนั้น คงต้องวางแผนมารองรับเป็นอย่างดีแล้ว

Q            :              มีเทคนิคหรือกลยุทธ์ใดในการทำงานให้ได้เปรียบคู่แข่ง

A             :               ยกตัวอย่างเช่น ระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ กิมเฮง กับบริษัทหลักทรัพย์ KGI แต่ทำไมลูกค้าถึงเลือกซื้อ บริษัท KGI  เพราะว่ามี Product เยอะมาก และยังเป็นเจ้าแรกของ คาร์แล็กกาทีฟ, SBL(ยืมหุ้นมาขายก่อนแล้วค่อยซื้อคืนให้ที่หลัง),OTC, และยังมีลิปโป้ (สัญญาว่าจะซื้อคืน)

Q            :              ปัญหาและอุปสรรคที่เจอบ่อยที่สุดคืออะไรและแก้ไขอย่างไร

A             :               บริษัทหลักทรัพย์ KGI ไม่ได้ทำหลักทรัพย์อย่างเดียวเรามี Product ใหม่ๆ ถ้าเป็นอุปสรรคก็คงเป็นเรื่องของกฎระเบียบ ก็ค่อยๆแก้ไขกันไป

Q            :              คู่แข่งของบริษัทหลักทรัพย์ KGI

A             :               คู่แข่งก็พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ก็คือต้องแข่งกับตัวเองนั้นแหละ แต่ละโบรกเกอร์มีจุดแข็งและจุดอ่อนไม่เหมือนกันแต่บริษัทหลักทรัพย์ KGI เรามี Product ที่เยอะมาก ถ้าลูกค้านำไปใช้ให้ถูกวิธีจะเป็นประโยชน์อย่างมาก

Q            :              ถ้าหากต้องการเป็นโบรกเกอร์ต้องทำอย่างไง

A             :              (1) ต้องมีเงินทุนจดทะเบียน (2) ต้องไปขอลายเส้นจาก กลต.

 สมาชิกในกลุ่ม

1.นางสาวโสระยา         สายทอง   001

2.นางสาวชลินทร         แพรกปาน   002

3.นางสาวฐาวดี           เนตรกระจ่าง 003

4.นางสาวสุพัตรา         อินนัดดา  007

5.นางสาวภมรรัตน์        จันทร์ประดิษฐ์ 008

6.นายยุทธพงษ์           ขาวสำอางค์ 021

7.นางสาววราภรณ์        พระศรี 029

8.นายธีรเดช               แจ่มกระจ่าง 032

9.นางสาวนฤมล           โคตรเนตร 036

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท