วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ทุกครั้งที่เห็นนักศึกษามีสีหน้าเคร่งเครียดกับการสอบความรู้
ในวิชาที่ผมรับผิดชอบอยู่ ผมจะรู้สึกอะไรบางอย่าง
ความรู้สึกนั้นขัดแย้งใจอยู่เสมอๆ พร้อมกับตั้งคำถามกับกรัชกายว่า
“มันถูกต้องแล้วหรือกับการเกิดมามีชีวิตเป็นคนแล้วต้องมานั่งเคร่งเครียดกับเรื่องบางเรื่อง”
กรัชกายก็แย้งขึ้นว่า “การมีชีวิตจะให้มีรสชาติ
ก็ต้องพบเจอกับความเคร่งเครียดบ้าง
มิใช่มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขตลอดไป
ถ้าไม่พบความเคร่งเครียดหรือจะพบความปกติสุข
ถ้าไม่มีปกติสุขหรือจะมีความเคร่งเครียด” ผมแย้งกรัชกายว่า
“ที่คุณพูดนั้นมันก็มีเหตุผล ถ้าไม่มีความร้อนก็ไม่มีความเย็น
ถ้าไม่มีสุข ก็ไม่มีทุกข์ แต่นั่นแหละ
คนบางคนทำไมต้องมานั่งเคร่งเครียดกับเรื่องอะไรบางอย่างที่มันไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริงกับชีวิต”
“แล้วอะไรเล่าคุณ ที่บอกว่าให้ความสุขกับชีวิต การได้ช่วยเหลือคนหรือ
หรือการฝ่าฟันอุปสรรคให้ผ่านพ้น การได้ช่วยเหลือตนเองหรือ
หรือว่าการทำตัวเองให้อยู่เหนือความรู้สึกบางอย่าง” “นี่คุณกรัชกาย
ผมว่าเข้าท่านะ กับการทำตัวเองให้อยู่เหนือความรู้สึกบางอย่าง
ถ้าผมทำตัวเองให้อยู่เหนือความรู้สึกบางอย่าง
ผมก็จะไม่รู้สึกขัดแย้งใจ นี่กระมังที่เล่าจื้อบอกว่า การทำโดยไม่ทำ
อีกอย่างหนึ่ง ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้เมื่อเห็นเขาเคร่งเครียด
อันที่จริงเขาอาจจะมีความมุ่งมั่นเพื่อทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จผลก็เป็นได้
เมืองน้ำหนาว คนก็เศร้า หนาวหัวใจ
ขาดอุ่นไอ ไอก็หาย กายยิ่งหนาว
หนาวเพียงเนื้อพอทำเนาเหงาเพียงคราว
คราหนาวใจใยยิ่งหนาวเศร้าเอกา
นั่งนอนอุ่นอุ่นที่นอนอันอ่อนนุ่ม
แม้นยุงชุมยังอกอุ่นบนนุ่นหนา
คนเคียงข้างข้างเคียงเห่เจรจา
หากแม้นว่าไร้นุ่นหนายังอุ่นไอฯ
ป่วนอุราพาให้ป่วนอลวน
ผ่านหน้าฝนหนาวสลับร้อนนอนมิไหว
สิ่งเคียงกายคือผ้านุ่นอบอุ่นไอ
หากเป็นเสียงกลไฟน้ำลายย้อยคงหงอยดาย
where are you?
How are you?
tel to me when you come back.