ตั้งแต่ 09.00 น วันที่ 23 มีนาคม
ทุกฝ่ายที่ให้การดูแลผู้ป่วยเตรียมการส่งต่อผู้ป่วยกินหน่อไม้ปี๊บแล้วหยุดหายใจรวม
17 ราย ทางเครืองบิน ซี 130 กองทัพอากาศไทย ซึ่งน่าจะเป็นการส่งต่อผู้ป่วยทางเครื่องบินซึ่งแต่ละคนหายใจเองไม่ได้
ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีการส่งต่อทางอากาศ
ความร่วมมือเพื่อส่งต่อครั้งนี้จาก 2 กองทัพ (ทัพบก ทัพอากาศ)
3 กระทรวง (สาธารณสุข กลาโหม มหาดไทย)
1 ทบวงมหาวิทยาลัย
9 โรงพยาบาลใหญ่ (น่าน นครพิงค์ รามาธิบดี จุฬา พระมงกุฏ ศิริราช
ภูมิพล วขิระ ราชวิถี)
ใช้บุคลากรกว่า 300 คนตั้งแต่ ข้าราชการซี 9 ซี 8 7 6 5 4 3
จนถึงพนักงานราชการ
พันเอก พันโท พันตรี จนถึงทหารเกณฑ์
พลตำรวจตรี พันตำรวจเอก พันตำรวจโท จนถึงพลคำรวจ
....จนถึงนักศึกษาพยาบาล
ยังไม่นับคนน่านที่ส่งใจ
ส่งทรัพย์มาช่วยนับแสนบาท
นับล้านหัวใจที่อาทร
เครื่องบิน ซี 130 ลงจอดที่สนามบินน่าน เวลา 11.05 น.
ตามด้วยเครื่องบินดาโกต้า บีที 2 ลำ
เพื่อรับญาติผู้ป่วยไปกรุงเทพ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ กำลังสรุป lesson learned จากหลาย perspective โดยเฉพาะจากมุมของญาติผู้ป่วยและชาวบ้าน ขณะนี้ไม่กล้ากินหน่อไม้เข้าขั้นกลัว และวัฒนธรรมความเชื่อ หน่อไม้เป็นอาหารอร่อย ฤดูแล้งไม่มีหน่อไม่สดก็ต้องกินหน่อไม้อัดปี๊บ ความเชื่อคือถ้านำหน่อไม้ปี๊บมาต้มจะแข็งกระด้างกินไม่อร่อย ต่างจากคนอิสานที่นำหน่อไม้มาทำเป็นเส้นเล็กฝอยแล้วต้มกับน้ำหลายรอบจนหายขื่น แล้วต้มกับใบหญ้านาง จึงนำมาใส่น้ำปลา ปลาร้า มะนาว ข้าวคั่ว พริกป่น เป็นซุปหน่อไม้สุดแซ่บ อย่างนี้จึงไม่ป่วย
การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจว่าหน่อไม้แบบใดเสี่ยง แบบใดไม่เสี่ยง ทีมงานใช้วิธีสาธิตนำตัวอย่างมาให้ดูเต็มๆ ตา พอจะสื่อกันได้บ้าง แต่ความตระหนกยังมีอยู่