บทความเรื่อง หลักการสอนเพื่อพัฒนานิสิตนักศึกษา เขียนขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนวิชา หลักการอุดมศึกษา สาขาวิชาอุดมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลักการสอนเพื่อพัฒนานิสิตนักศึกษา
การสอนมีความสำคัญในสถาบันอุดมศึกษา เพราะเป็นภารกิจที่ช่วยให้เกิดการผลิตนิสิตนักศึกษาขึ้นตามความต้องการของสังคม ด้วยเหตุนี้จึงควรให้ความสำคัญกับการหลักการสอนนิสิตนักศึกษาเพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้รับความรู้จากอาจารย์ผู้สอนอย่างเต็มที่ สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้หรือคิดสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ ดังนั้นอาจารย์นอกจากจะมีความรู้ทางด้านวิชาการแล้วควรคำนึงถึงความรู้ทางด้านหลักการสอนเพื่อให้นิสิตนักศึกษาเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ เป็นพลังในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต
ความสำคัญของการสอนระดับอุดมศึกษา
การสอนเป็นหนึ่งในภารกิจหลักที่สำคัญของสถาบันอุดมศึกษา เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้กับนิสิตนักศึกษา ได้มีความรู้เพื่อใช้ในการประกอบวิชาชีพ วราภรณ์ บวรศิริ (ม.ป.ป. : 24-25) ได้กล่าวสรุปความสำคัญของการสอนไว้ว่า สถาบันอุดมศึกษานอกจากจะให้ความรู้ทางวิชาการแล้ว ควรให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสได้พัฒนาทางด้านความคิด เพื่อให้นิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วรู้จักวิธีการเรียนรู้ สามารถศึกษาหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมด้วยตนเองได้ และนอกจากนี้ในการสอนควรมีการสอดแทรกคุณธรรมให้กับนิสิตนักศึกษาด้วย เนื่องจากหากมีแต่ความสามารถทางด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวแต่ขาดคุณธรรมแล้ว อาจทำให้นิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไป นำความรู้ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องทำให้ผู้อื่นและสังคมเดือดร้อนได้ ดังนั้นการสอนในระดับอุดมศึกษาจึงเป็นการสอนเพื่อจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เพื่อให้นิสิตนักศึกษาเกิดการพัฒนาทางสติปัญญา ความสามารถในการคิด พร้อมทั้งพัฒนาทางด้านคุณธรรมให้กับนิสิตนักศึกษา เพื่อให้นิสิตนักศึกษามีความพร้อมในทุกด้าน เพื่อที่จะออกไปสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ
ลักษณะของอาจารย์ที่ช่วยส่งเสริมการสอนให้มีประสิทธิภาพ
อาจารย์ผู้สอนมีความสำคัญกับนิสิตนักศึกษา เนื่องจากเป็นผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ความคิดให้กับนักศึกษา ดังนั้นลักษณะของผู้สอนจึงมีความสำคัญกับการสอนนิสิตนักศึกษา ซึ่งอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาควรมีลักษณะ ดังนี้
1. มีความรู้และประสบการณ์ อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาควรเป็นผู้ที่มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนเป็นอย่างดี และนอกจากนี้หากอาจารย์มีประสบการณ์ในการสอนมากจะช่วยให้เกิดความชำนาญทางด้านการสอน สามารถนำประสบการณ์ต่างๆ ที่พบมาเล่าให้นิสิตนักศึกษาได้ฟังเป็นกรณีตัวอย่างได้ แต่จากการสำรวจ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2547 : 58) พบว่า ยังมีบางส่วนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และมีประสบการณ์การทำงานระหว่าง 1 – 5 ปี ดังนั้นจากข้อมูลนี้จึงเห็นได้ว่า อาจารย์บางส่วนยังมีความรู้ไม่เหมาะสมเนื่องจากการสอนนิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรีอาจารย์ผู้สอนก็ควรสำเร็จการศึกษาที่สูงกว่าระดับปริญญาตรีเพื่อจะได้มีพื้นฐานทางความคิดที่กว้างกว่านิสิตนักศึกษาที่ตนเองสอน สำหรับประสบการณ์การทำงานของอาจารย์นั้นจะเห็นว่าอาจารย์ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการสอนยังน้อย คือไม่เกิน 5 ปี
ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่า อาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยยังมีลักษณะที่สอดคล้องกับวิชาชีพ จึงควรมีการพัฒนาคุณภาพอาจารย์ด้วยการสนับสนุนให้อาจารย์ที่สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีได้ไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้มีคุณวุฒิที่เหมาะสมในการสอนนิสิตนักศึกษา ส่วนอาจารย์ที่ยังขาดประสบการณ์ในการทำงานนั้น ควรมีการส่งเสริมให้เข้ารับการฝึกอบรมหรือการไปสัมมนาต่างๆ เพื่อให้เกิดประสบการณ์และพัฒนาทางด้านความรู้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้อาจารย์เป็นผู้ที่มีความพร้อมทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ เพื่อนำใช้ให้เกิดประโยชน์กับการสอนต่อไป
2. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ดังที่หลวงวิจิตรวาทการ (2532 : 250 – 253) ได้กล่าวถึงความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สรุปได้ว่า ผู้ที่มีความรู้ดีแต่ขาดความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่น ทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นได้ประโยชน์น้อย สำหรับวิธีในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่นนอกจากตนเองจะต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีแล้ว ควรแบ่งตัวเองเป็นสองภาคในเวลาเดียวกัน คือเป็นทั้งผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด โดยพิจารณาว่าสิ่งที่เราถ่ายทอดออกไป หากเราเป็นผู้รับเราสามารถเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด ถ้าหากยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เราถ่ายทอดไปนั้นผู้รับสามารถเข้าใจได้หรือไม่ ผู้ถ่ายทอดอาจต้องแก้ไขหรือเปลี่ยนวิธีการถ่ายทอด และนอกจากนี้การพิจารณาระดับความรู้ของผู้รับการถ่ายทอดเป็นสิ่งที่สำคัญอีกเช่นกัน เนื่องจากหากถ่ายทอดในสิ่งที่ยากเกินความสามารถของผู้รับก็จะทำให้ผู้รับไม่เข้าใจ แต่หากถ่ายทอดในสิ่งที่ง่ายเกินไปผู้รับอาจจะเกิดความเบื่อหน่ายหรือคิดว่าเป็นการดูหมิ่นความรู้ของผู้รับได้
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าหากอาจารย์ขาดความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ จะส่งผลให้นิสิตนักศึกษาไม่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากอาจารย์อย่างเต็มที่ ฉะนั้นการจะให้นิสิตนักศึกษาได้รับการพัฒนาทางด้านต่างๆ อาจารย์ควรให้ความสำคัญกับวิธีการถ่ายทอดความรู้ด้วย
3. มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีเกิดขึ้นจำนวนมาก ที่สามารถนำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนได้
กู๊ด (Good 1973) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เทคโนโลยีการศึกษา คือ การนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบและส่งเสริมระบบการเรียนการสอนโดยเน้นที่วัตถุประส่งค์ทางการศึกษาที่สามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน มีการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนมากกว่ายึดเนื้อหาวิชา มีการใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติโดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้โสตทัศนูปกรณ์ รวมถึงเทคนิคการสอนโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ สื่อการสอนต่างๆในลักษณะของสื่อประสม และการศึกษาด้วยตนเอง
จึงเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการนำความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาใช้ร่วมกับการศึกษาอย่างมีระบบ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาให้ก้าวหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาจึงควรเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ได้ เพื่อนำเทคโนโลยีและความรู้ที่ได้จากสื่อต่างๆ มาพัฒนาการสอนให้มีความสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบันมากขึ้น
4. เข้าใจลักษณะของนิสิตนักศึกษา ก่อนที่จะทำการเรียนการสอน อาจารย์ควรทราบลักษณะของนิสิตนักศึกษาและพื้นฐานของนักศึกษาก่อน วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (2543 : 44 - 45) ได้กล่าวถึงลักษณะหรือวัฒนธรรมของนิสิตนักศึกษา ตามหลักของคอฟแมนและจากการสังเกตลักษณะนิสิตนักศึกษาไทยประกอบ พบว่า นิสิตนักศึกษาไทยมีลักษณะหรือวัฒนธรรมแบ่งเป็นกลุ่มได้ ดังนี้
1) กลุ่มนิสิตนักศึกษา (Collegiate) คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ชอบการสมาคม ซึ่งส่วนใหญ่มาจากครอบครัวคนชั้นกลางหรือสูง เป็นครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจดี นิสิตนักศึกษาากลุ่มนี้สนใจชีวิตในสังคม การกีฬา การช่วยเหลือสังคม และการบำเพ็ญประโยชน์ มักเป็นนิสิตนักศึกษาที่เลือกเรียนทางรัฐศาสตร์ สังคมศาตร์
2) กลุ่มอาชีพ (Vocational) คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่สนใจการฝึกฝนอาชีพโดยเฉพาะ นิสิตนักศึกษากลุ่มนี้มักมาจากครอบครัวที่มีพ่อแม่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับธุรกิจ การค้าขาย ลูกจ้าง พนักงานบริษัท ซึ่งมีฐานะครอบครัวปานกลาง ทำให้นิสิตนักศึกษามีทัศนคติว่าอุดมศึกษา เป็นโอกาสในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและยกฐานะทางสังคมของตนเองให้ดีขึ้น ฉะนั้นนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้จึงสนใจเลือกเรียนวิชาที่จะเป็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพในอนาคต เช่น วิศวกรรม ธุรกิจ บัญชี ครุศาสตร์ เทคโนโลยี เป็นต้น
3) กลุ่มวิชาการ (Academic) คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่มุ่งความสำเร็จทางด้านวิชาการ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชั้นกลางและมีพ่อแม่ที่ได้รับการศึกษาดี นิสิตนักศึกษากลุ่มนี้มักจะสนใจการศึกษาและเลือกเรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีและมีชื่อเสียง พยายามเรียนเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธ์ทางการเรียนสูง แต่มักไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนในสังคม มีเพื่อนน้อย บางครั้งอาจจะมีนิสัยเห็นแก่ตัว มุ่งผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการช่วยเหลือคนอื่นและสังคม
4) กลุ่มนอกรูปแบบ (Non Conformist) คือกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ไม่ยอมรับค่านิยมใดๆ ของนิสิตนักศึกษาทั้งสามกลุ่มข้างต้น เป็นกลุ่มที่อยู่เฉยๆ แต่หากไม่พอใจในระเบียบต่างๆ ของมหาวิทยาลัย มักจะรวมตัวกันต่อต้านได้อย่างรวดเร็ว และนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้มักมีความคิดฉับไวและมีความสามารถทางด้านการพูดโน้มน้าวใจให้นิสิตนักศึกษากลุ่มอื่นคล้อยตามได้
จากการแบ่งกลุ่มนิสิตนักศึกษาดังกล่าวทำให้เห็นว่า การที่อาจารย์เข้าใจลักษณะของนิสิตนักศึกษาจะช่วยทำให้อาจารย์เข้าใจว่านิสิตนักศึกษามีจุดเด่นในด้านใดและมีด้านใดบ้างที่ควรปรับปรุง ส่งผลให้อาจารย์สามารถพัฒนานิสิตนักศึกษาได้ตรงกับกับลักษณะและความสามารถของนิสิตนักศึกษา
5. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนิสิตนักศึกษา ในสถาบันการศึกษาอาจารย์มีบทบาทอย่างมากในการชี้นำหรือกำหนดแนวทางการปฏิบัติตนให้กับนิสิตนักศึกษา ดังนั้นอาจารย์จึงควรประพฤติปฏิบัติตนเองให้เป็นแบบอย่างที่ดีของนิสิตนักศึกษา พระพรหมคุณาภรณ์ (พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง หลักเกณฑ์การวัดผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมไว้ในหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติ ไว้ดังนี้
1) มีความสุขแบบคนทั่วไป คือ ประกอบอาชีพอย่างอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่ประพฤติตนให้เสียหายทั้งกาย วาจา และใจ
2) แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม คือ หาทรัพย์สินมาด้วยความชอบธรรมและรู้จักแบ่งปันทรัพย์สินนั้นให้กับผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่าตนเอง ใช้ทรัพย์สินที่หามาได้อย่างรู้เท่าทัน ไม่ยึดติดหลง มัวเมาอยู่กับทรัพย์สินนั้น
3) มีหลักธรรมในการดำเนินชีวิต คือ หลักธรรมที่ควรมีไว้ในการดำรงชีวิต ได้แก่ ฆารวาสธรรม 4 นั่นก็คือเป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อผู้อื่น รู้จักพัฒนาตนเองด้วยความขยันหมั่นเพียร และมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ
4) รับผิดชอบชีวิตที่เกี่ยวข้อง คือ มีความสัมพันธ์อันดีงามกับบุคคลในครอบครัวรวมถึงญาติมิตร ผู้ร่วมงานและผู้ใต้ปกครอง โดยให้ประโยชน์ทั้งทางวัตถุและชัจูงผู้เกี่ยวข้องให้มีความเจริญงอกงามด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย
5) เป็นพลเมืองดีของสังคม คือ การสร้างสรรค์สังคมด้วยการประพฤติปฏิบัติตนให้ตั้งอยู่ในศีลห้า อย่างสม่ำเสมอ
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีไม่จำเป็นต้องมีฐานะทางสังคมสูงหรือมีทรัพย์สินเงินทองมากมายแต่ควรเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีและน่านับถือของคนในสังคม ดังนันจะเห็นได้ว่าหากอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้นิสิตนักศึกษา จะช่วยพัฒนาให้นิสิตนักศึกษามีความรู้และความประพฤติที่ดี สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขได้
3. หลักการสอนเพื่อพัฒนานิสิตนักศึกษา
1. การสอนเนื้อหาแบบบูรณาการ ในการสอนนั้นผู้สอนควรมีการเชื่อมโยงเนื้อหาให้มีความสัมพันธ์กับความรู้ด้านอื่นๆ
เฉลิมพล แก้วสามสี (2544) ได้กล่าวถึงรูปแบบการสอนแบบบูรณาการไว้ 2 รูปแบบ สรุปได้ดังนี้
1) การสอนบูรณาการภายในวิชา เป็นการเชื่อมโยงการสอนระหว่างเนื้อหาวิชาในกลุ่มประสบการณ์หรือรายวิชาเดียวกันกันเข้าด้วยกัน
2) การสอนบูรณาการระหว่างวิชา มี 4 ประเภท ได้แก่
2.1) การบูรณาการแบบสอดแทรก เป็นการสอนในลักษณะที่ผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหาวิชาอื่น ๆ ในการสอนของตนเอง
2.2) การสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน เป็นการสอนโดยผู้สอนตั้งแต่สองคนขึ้นไป วางแผนการสอนร่วมกันโดยมุ่งสอนหัวเรื่องหรือความคิดรวบยอดหรือปัญหาเดียวกันแต่สอนต่างวิชาและต่างคนต่างสอน
2.3) การสอนแบบบูรณาการแบบสหวิทยาการ เป็นการสอนลักษณะเดียวกับการสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน แต่มีการมอบหมายงานหรือโครงงานร่วมกัน
2.4) การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชา หรือสอนเป็นคณะ เป็นการสอนที่ผู้สอนวิชาต่าง ๆ ร่วมกันสอนเป็นคณะหรือเป็นทีม มีการวางแผน ปรึกษาหารือร่วมกันโดยกำหนดหัวเรื่อง ความคิดรวบยอด หรือปัญหาร่วมกัน แล้วร่วมกันสอนผู้เรียนในกลุ่มเดียวกัน
จากรูปแบบการสอนแบบบูรณาการจะเห็นได้ว่ามีประโยชน์กับนิสิตนักศึกษาเนื่องจากช่วยทำให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจเนื้อหาในวิชาเดียวกันหรือต่างวิชาอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาต่างๆ ของนิสิตนักศึกษาไปพร้อมกัน
2. การสอนให้เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน การสอนในแต่ละรายวิชาอาจารย์ผู้สอนควรสอนเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับนิสิตนักศึกษาหรือในการยกตัวอย่างประกอบการสอนควรใช้วิธีการยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวกับนิสิตนักศึกษาเพื่อให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจได้ง่ายมากกว่าการยกตัวอย่างที่ไกลตัวผู้เรียนเกินไป และนอกจากนี้อาจารย์ควรสอนถึงการนำเนื้อหาความรู้ต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ทั้งในชีวิตประจำวันและการนำไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคต นอกจากนี้ ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2546 : 70) ได้กล่าวถึง การจัดการสอนไว้ว่าควรจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหานั้น โดยจัดการสอนให้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของท้องถิ่นหรือสังคมไทยโดยเฉพาะ
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การสอนเพื่อพัฒนานิสิตนักศึกษานั้นควรคำนึงถึงประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเป็นสำคัญซึ่งประสบการณ์ส่วนหนึ่งก็คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นของนิสิตนักศึกษาซึ่งช่วยทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นอย่างแท้จริง ทำให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจถึงปัญหาและสามารถหาแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย อาจารย์ควรมีการใช้วิธีการสอนให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างชัดเจน ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2547 : 56-58) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนในปัจจุบันสรุปได้ว่า อาจารย์มักจะใช้วิธีการสอนแบบบรรยายเป็นหลัก ทำให้นิสิตนักศึกษาเบื่อหน่ายในวิชาเรียนและไม่เกิดการพัฒนาความคิด จุมพจน์ วนิชกุล (2549 : 334) จึงได้เสนอวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ควรนำมาใช้ เช่น การใช้กิจกรรมศึกษาภาคสนาม การจัดโครงการ เพื่อให้นิสิตนักศึกษารู้จักแก้ปัญหา เกิดความคิดสร้างสรรค์ ตระหนักในความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม นอกจากนี้การใช้สื่อการสอนก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เช่น การมีเอกสารประกอบการเรียนการสอนอย่างเพียงพอ การบริการของห้องสมุด และการมีสื่อทรัพยากรสารสนเทศประกอบการเรียนเพิ่มเติม
จากข้อมูลดังกล่าวจึงเห็นได้ว่านิสิตนักศึกษามีความต้องการในการเรียนรู้แบบให้ตนเองมีส่วนร่วมซึ่งไม่สอดคล้องกับวิธีการสอนของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ยังเน้นการบรรยายให้นิสิตนักศึกษาฟัง โดยไม่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ดังนั้นเพื่อให้เกิดทักษะกระบวนการคิดและการสร้างความรู้ ในการพัฒนานิสิตนักศึกษานั้นอาจารย์ควรปรับรูปแบบการสอนให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับเนื้อหาให้มากขึ้น อันจะทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้และมีวิธีการสร้างความรู้ใหม่ๆ ด้วยตนเองได้
4. การนำนวัตกรรมทางการศึกษามาพัฒนาการสอน คำว่านวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation)เป็นคำที่ค่อนข้างใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ไพบูลย์ จำปาปั่น (2550) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมทางการสอนสรุปได้ว่า นวัตกรรมทางการสอน หมายถึง การนำความคิดใหม่ๆ วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่แปลกไปจากเดิมหรืออาจจะได้รับการปรับปรุงของเก่าให้ใหม่และเหมาะสมกับสถานการณ์ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการทดลอง พิสูจน์และพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนเป็นระบบ จนเป็นที่เชื่อถือได้ว่าให้ผลดีในทางปฏิบัติ ทำให้งานบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรานำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติทางการศึกษา มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการศึกษาสูงขึ้น
โดยทั่วไปนวัตกรรมทางการสอนมักเกิดจากผู้สอนต้องการแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดีขึ้น ด้วยการศึกษาสภาพปัญหา ออกแบบนวัตกรรมที่สอดคล้องกับปัญหา และทดลองวิจัยเพื่อให้นวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การสอนเป็นคณะ ชุดการสอน บทเรียนโปรแกรม ศูนย์การเรียน การเรียนด้วยตนเอง การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นต้น
ดังนั้นนวั
เป็นหลัการที่น่าสนใจต่อผู้มีอาชีพพัฒนาคน
ร่วมปฎิวัติการศึกษาเพื่อความเป็นไท