ค่ายสายธารความรู้สู่เด็กและเยาวชน วันที่ 27-28 2551ณ ศูนย์ศึกษาศิลปะธรรมชาติเด็กรักษ์ป่า
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อโครงการนี้มันทำให้ผมนึกย้อนไปในช่วงที่ทำกิจกรรมในสมัยมัธยม มีรายวิชาหนึ่งที่เราจะต้องรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หลายๆโครงการถูกเสนอขึ้นมาในที่ประชุมกลุ่ม แต่สุดท้ายเราเลือกที่จะทำโครงการผ้าป่าหนังสือเพื่อน้องในชนบท ชนบทที่ว่า คือ บ้านของเพื่อนผมเอง ทุกคนคงไม่ตื่นเต้นที่จะออกจากเมืองเดินทางไปสู่ชนบท เพราะพวกเราก็เป็นคนชนบทด้วยกันอยู่แล้ว คงมีเพียงเรื่องที่พวกเราจะทำนั่นแหล่ะ ที่เป็นความตื่นเต้นที่สุด เพราะเป็นครั้งแรกที่เด็กมัธยมจะรู้จักเป็นผู้ให้ มากกว่าที่รอรับเพียงอย่างเดียว หลายคนมีความคาดหวังต่างๆนานา หนังสือหลายเล่มถูกคัดและจัดวางอย่างเป็นระเบียบก่อนเดินทางไปสู่มือน้องๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมมีความสุขมากเมื่อคิดถึงมัน ภาพการตระเตรียมงาน วางแผน แบ่งหน้าที่ การสันทนาการกับน้องๆที่ไม่เชี่ยวชาญนัก เกิดขึ้นจากพวกเรา
ภาพบรรยากาศต่างๆมันกลับมาอีกครั้งแต่อาจแตกต่างกันตรงที่ สถานที่ สมาชิกค่าย กระบวนการเรียนรู้ และวัยของผมเท่านั้น การไปมอบหนังสือดีดีเพื่อน้องๆที่ศูนย์ศึกษาศิลปะธรรมชาติเด็กรักษ์ป่า จ.สุรินทร์ที่เป็นจุดมุ่งหมายหลักของค่ายครั้งนี้ สิ่งที่ผมคาดหวังไว้อีก คือ การได้ออกไปเห็นและเติมเต็มสิ่งใหม่ๆที่ผมไม่เคยได้รับรู้ ผมอยากรู้จักเพื่อน พี่น้อง เด็กๆ เจ้าของพื้นที่ ประเพณี กิจกรรมและกระบวนการอะไรที่พี่หน่อยและพี่จืดนำมาจูงใจให้เด็กๆมีความรักและหวงแหนป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ การได้รู้จักชื่อเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับผม ....
ผมพร้อมที่จะฟังและรับรู้ในความเป็นตัวตนของแต่ละคนด้วย อยากมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดหลายๆด้านของพวกเราชาวค่าย และสุดท้ายคืออยากที่จะเล่นเพลงที่แต่งให้พี่จืดและพี่หน่อยฟัง ผมว่าท้าทายดีน่ะ ใช้เวลาน้อยๆในการเขียนเพลงแล้วคนที่แต่งให้ก็เป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เพียงแค่เคยได้ยินตามสื่อต่างๆเท่านั้นเอง เวลาน้อยนิดที่อยู่ในค่ายผมพยายามเก็บเกี่ยวเรื่องราวต่างๆให้มากที่สุด ผมว่าผมตอบความคาดหวังของผมได้ทุกข้อ
การได้ทำบุญ ได้ฟังและแลกเปลี่ยนนานาทัศนะของแต่ละคน ได้กินข้าว ที่ใช้แค่ใบไม้ในการซื้อแต่สิ่งที่ได้มามันคุ้มค่าและอิ่มอร่อย ได้เห็นความสดใสของน้องๆ เห็นตัวเป็นๆของพี่จืดที่ขี้เล่น พี่หน่อยที่ไม่ค่อยสบายแต่ก็พยายามที่จะออกมาทักทายทุกคน เด็กๆและชาวบ้านที่ให้การต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น ได้เห็นปรีย์ทมที่มีความอุดมสมบูรณ์ รับรู้ถึง วัฒนธรรมความเชื่อ ประเพณีของเขมรที่ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน แต่ติดตรงที่ว่าเราได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆสถาบันอื่นน้อยเกินไป การเรียนรู้ที่เกิดเฉพาะบางกลุ่มที่สนใจ เลยดูเหมือนว่าพวกเราทำค่ายไม่ค่อยสมบูรณ์นัก คงป็นเพราะช่วงเวลาที่น้อยนิดกระบวนการต่างๆเหล่านี้ก็เลยไม่เกิด นอกจากคนที่กล้าที่จะเดินเข้าหา *บวก ( *บวก = ปลักควาย ) เท่านั้นที่จะได้รู้จักเพื่อนต่างสถาบัน บางคนมีการแลกเบอร์โทรกันเลยทีเดียว...
เราเดินทางกลับทีหลังเพื่อนกลุ่มอื่นๆ เพราะต้องช่วยเก็บสถานที่ช่วยพี่หน่อยและพี่จืด ก่อนกลับมีการทบทวนบทเรียนที่พี่พนัสและพี่สุริยะได้ทิ้งไว้ให้พวกเราบนรถตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมา ....ผมลาพี่พี่หน่อยและพี่จืดพร้อมกับใจที่หวังเล็กๆว่า สักวันคงได้กลับมาที่นี่อีก....พร้อมสมาชิกในชมรมของผมที่ไม่ค่อยอยากจะเรียนรู้อะไรมากนักนอกจากการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอีสานเพียงอย่างเดียว
น้องๆในชมรม รำบายศรีสู่ขวัญ
เพลง คือ..... แม้ไม่สบายแต่ก็ยังมีแรง แม้โลกเปลี่ยนแปลงก็ไม่หมดแรงทำดี อุทิศชีวิตแก่ป่าผืนนี้ เพื่อทุกชีวีที่ได้เกิดมา... เป็นคู่ชีวิตที่ปกป้องผืนป่า แม้เหนื่อยล้าแต่ก็ไม่เคยท้อ 16 ไร่ที่ร่วมกันสร้างก่อ เพื่อถักทอสายใยสัมพันธ์ *คือพลังของเด็กรักษ์ป่า คือ ดวงตาของผืนแผ่นดินนี้ คือ ความหวังของผืนปฐพี คือคนดีกลางใจของพวกเรา ***มอบให้พี่จืดและพี่หน่อยครูของเด็กรักษ์ป่า คำร้อง-ทำนอง เมืองแคน ( นายไพจิตร ศรีม่วงอ่อน) แต่งเสร็จ 26 มิถุนายน 2551 ร้องปิดท้ายก่อนเข้านอนคือวันที่ 27 มิถุนายน 2551
เพลงที่แต่งให้พี่จืดและพี่หน่อย
เข้าท่า เข้าที สิ่งดีๆทั้งนั้น ทำต่อ ทำดี ชีวีมีความหมายนะหัวฟู
เดินให้ช้าลง เพื่อให้มีเวลาเพียงพอต่อการเหลียวมองสิ่งรายรอบกาย..
ชีวิต เป็นเช่นนี้จริง ๆ
เป็นกำลังให้นะค่ะ
ลองอัดเพลงนี้และเอามาลงเว็บให้ฟังอีกรอบหน่อยนะ อยากฟังอีก
ขอบคุณ
ขอบคุณเดียร์และเพื่อนๆมาก
ที่มาร่วมกิจกรรมกับเด็ก และชาวบ้านที่นี่
บทกวี ที่เป็นเสียงไพเราะจากใจ แต่งเพลงให้เรามีความสุข มอบให้กันและกัน
ขอบคุณอีกครั้งจาก พี่หน่อย พี่จืด จ้า