เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสให้การปรึกษากับเคสผู้หญิงวัยกลางคนรายหนึ่งเกี่ยวกับการตรวจเลือดและการรักษาเอชไอวี เคสนี้เป็นภรรยาที่มีผลเลือดปกติอยู่และได้พาสามีมาตรวจรักษาที่นี่ได้ประมาณ3-4เดือนมาแล้ว โดยที่สามีรู้ผลการติดเชื้อของตัวเขาเองมาประมาณ2ปีแล้วแต่ว่าปฏิเสธที่จะยอมรับผลการตรวจ..สิ่งที่สะดุดใจและสะดุดตาก็คือ สีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของเคส ขณะที่สอบถามเกี่ยวกับประวัติการตรวจเพราะเคสจะเปลี่ยนไปมีสีหน้าแดงและน้ำเสียงเข้มขึ้นมาอย่างชัดเจน จากที่ตอนแรกเคสไม่ได้แต่งหน้า ใบหน้าจะดูซีดๆและดูเหมือนจะหมกมุ่นกับความคิดอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อได้สอบถามถึงความสัมพันธ์และสภาพการดำเนินชีวิตภายในครอบครัวของเคส ก็ได้รับทราบว่า ปัจจุบันเคสแต่งงานมา30กว่าปีมีบุตร2คนลูกๆยังไม่ได้แต่งงานแต่ก็เรียนจบปริญญาตรีมีหน้าที่การงานที่ดีและมีธุรกิจของตนเอง ฐานะทางเศรษฐกิจดีพอสมควร มีคนรู้จัก หรือรับรู้ในท้องที่ก็ไม่น้อย ปัญหาที่เคสพูดถึงก็คือสามีเป็นคนที่มีความต้องการทางเพศสูง เขาจะออกไปนอกบ้านหลังเสร็จจากงานที่ร้านไปเที่ยวตามคลับ/ไนต์คลับ เพื่อหาคู่นอน ซึ่งสามีจะมีคู่นอนประจำ3-4คนและหนึ่งในนั้นมีอาชีพทำงานในโรงพยาบาล เคสบอกว่าเมื่อรู้ว่าสามีไปติดพันกับผู้หญิงอื่นนอกบ้านก็จะตามไปแยก/เรียกร้องให้ยุติความสัมพันธ์ ซึ่งในรายที่เป็นพยาบาลนี้(เป็นคำที่เคสเรียก)ปรากฏว่าเคสทำอะไรไม่ได้เพราะว่าเขาใจเย็นและช่างวางแผน
..เขาสามารถบอกให้สามีเข้าใจตัวเคสผิดและเกือบที่จะไปมีเรื่องราวกับอนุภรรยาอีกคนของสามี..เคส ได้เคยทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาก็ปรากฏว่าไม่สามารถจัดการอะไรได้..ทำได้แต่เพียงตักเตือนและยับยั้งการอนุมัติให้ไปศึกษาต่อเพื่อเลื่อนเป็นวิชาชีพ และสิ่งที่สะดุดใจและความรู้สึกในการฟังเรื่องเล่าจากเคสมีอยู่2เรื่องก็คือ
(1.) เคสบอกว่า ก่อนหน้านั้นประมาณ1-2ปีก่อน ผู้หญิงได้เจาะเลือดสามีไปตรวจแล้วกลับมาบอกว่าสามีไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งสามีของเคสก็ไม่ค่อยอยากที่จะยอมรับผลการติดเชื้ออยู่แล้ว เมื่อได้ฟังข้อมูลจากผู้หญิงก็เชื่อ และ ไม่พอใจเคสที่เหมือนกับว่าดูถูก /กล่าวหาทั้งตัวเขาและผู้หญิงว่าเป็นเอดส์ ทั้งนี้ เพราะเมื่อเคสไม่สามารถที่จะแยกสามีให้หลุดจากการติดพันกับพยาบาลคนนั้นได้ เคสก็ได้พยายามไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของผูหญิงทำให้รู้ว่าตัวผู้หญิงเองก็มีคู่นอนมาก่อนหน้านี้หลายคนแม้ในระหว่างที่คบกันอยู่กับสามีของเธอก็ยังมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆอีกด้วย เคสจึงขอร้องให้สามีไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งนอกเขตที่อยู่ซึ่งที่นั่นผลของสามีพบว่า ติดเชื้อเอชไอวี จึงได้มีการต่อว่าต่อขานกันขึ้น ผู้หญิงก็อยากพิสูจน์ตัวเองก็เลยขอเจาะเอาเลือดของสามีไปตรวจแล้วกลับมาบอกว่าสามีของเธอไม่ได้ติดเชื้อ สามีก็เชื่อและโกรธเคสเลยออกจากบ้านไปอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้นระยะหนึ่ง
(2.)เคสตามไปเอาเรื่องเอาราวกับผู้หญิงถึงที่โรงพยาบาลทางโรงพยาบาลได้มีการตั้งกรรมการสอบวินัยและได้แจ้งผลการดำเนินการลงโทษทางวินัยให้แก่เคสได้รับทราบ โดยคำพูดแรกๆของหัวหน้าพยาบาลที่เคสจำได้ก็คือ...ทางโรงพยาบาลอยากทำความเข้าใจกับเคส
ก่อนอื่นเลยว่า..ผู้หญิงที่ไปมีอะไรกับสามีเคสนั้นเขาไม่ใช่พยาบาลและทางโรงพยาบาลได้ตักเตือนและตัดสิทธิ์การไปเรียนต่อเป็นพยาบาลวิชาชีพของเขาแล้ว
ในความรู้สึกของเคสขณะนั้นรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยหยุดพฤติกรรมของผู้หญิงคนนั้นได้ เพราะสิ่งที่เคสเรียกร้องก็คือว่า เพราะสามีเธอเคยเข้าใจผิด..เห็นว่าผู้หญิงทำงานทำการดี มีความรู้ทางการแพทย์จึงน่าที่จะมีความรู้ในการดูแลและป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย เพราะกับนักร้องตามไนท์คลับ หรือ หมอนวดสามีจะใช้ถุงยางอนามัยมาโดยตลอด...
.ในตอนนี้สามีเองหลังจากที่ได้รักษาที่บำราศฯก็ยุติการเที่ยวเตร่ลงไปบ้างและก็มั่นใจว่าตัวเขานั้นรับเชื้อ
มาจากผู้หญิงคนนี้..เขาเลยหมดความเชื่อใจในโรงพยาบาลแห่งนั้นและคิดว่าจะเลิกติดต่อกับผู้หญิงคนนั้น
อย่างเด็ดขาด อีกทั้งตอนนี้ผู้หญิงก็กำลังติดพันอยู่กับข้าราชการอีก2-3คนในอำเภอแห่งนั้น
...และเพราะคำว่า ”เขาไม่ใช่พยาบาล”ของทางผู้บริหารโรงพยาบาลในความรู้สึกของเคสมันเหมือนกับว่า โรงพยาบาลปัดความรับผิดชอบ ว่าโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะไปจัดการอะไรได้..
คำถามที่เคสได้ย้อนถามจนทำให้ฉันต้องกลับมานั่งขบคิดและเขียนเป็นบันทึกนี้ขึ้นมา คือ "คือถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หมอหรือพยาบาลแล้ว..ทางโรงพยาบาลไม่มีวิธีการที่จะป้องกัน/สกัดไม่ให้คนของโรงพยาบาลกลายเป็นคนเอาโรคนี้ไปส่งต่อให้กับคนอื่นๆจริงๆหรือ?"
เคสจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไม่พอใจผู้บริหารโรงพยาบาลแห่งนั้นเอาไว้ในใจไม่กล้าพูดอะไรออกมาเพราะ
ยังต้องทำมาหากินและพึ่งพาอาศัยอยู่ที่ใกล้ๆโรงพยาบาลนั้นอยู่ ในเคสนี้ฉันได้อาศัยเทคนิคการสำรวจตนเองของSatir’sเข้ามาช่วยจัดการในความรู้สึกโกรธและสิ่งที่ติดค้างใจ
จากการได้คุยกับเคสรายนี้ได้ให้ข้อคิด2-3ข้อแก่ตัวฉันเองก็คือ 1.เรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมทางเพศมีอยู่ได้ในทุกวงการจริงๆและไม่ได้เลือกว่าจะเป็นคนที่มีความรู้หรือไม่มีความรู้ หากแต่มันเหมือนมีภาพมายา หรือสิ่งที่คาดหวังจากสังคมต่อคนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลว่า
ควรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในการที่จะต้องป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจาก
การไม่รับและแพร่เชื้อเอชไอวีแต่ในความเป็นจริงแล้วบางส่วนของคนทำงานในโรงพยาบาล
ยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยงส่วนตัวต่อการรับและแพร่เชื้อเอชไอวีนี้อยู่ นอกเหนือไปจากการที่มีพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมและทำร้ายความรู้สึกของคู่สมรสของตนเอง
...เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า หากวันใดที่เขาพลาดขึ้นมาเขาจะมีวิธีการปรับตัว หรือ ชดเชยความรู้สึกผิดพลาดในใจตนเองอย่างไร หรือว่า เวลาที่เขาบอก หรือสอนผู้ป่วยให้รู้จักรักษา หรือดูแลตนเองให้ดีๆแล้วแต่สิ่งที่เขาพูดมันไม่ตรงกับสิ่งที่เขาทำอยู่ เขาไม่รู้สึกขัดแย้งในใจบ้างเลยหรือ?
2. การอบรมความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล ควรมุ่งเน้นให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าใจและมีโอกาสสำรวจถึงความเสี่ยงส่วนตัวของตนเอง(ที่นอกเหนือไปจากความกลัวว่าจะไปรับ/ส่งต่อมาจากผู้ป่วย)
และได้ไตร่ตรองถึงหนทางที่จะดูแลตนเองและครอบครัวให้มีความสุขและความปลอดภัยมากขึ้น
3.ทัศนคติที่แบ่งแยกคนตามฐานะ หรือวุฒิการศึกษาไม่ใช่เกณฑ์ในการจะประเมินได้ถึงความมีศีลธรรม/ความเป็นคนดีได้ เพราะพี่ๆเฉพาะกาล/น้องผู้ช่วยเหลือ,คนงานที่ฉันรู้จักหลายคนเป็นคนที่รักครอบครัว เขามีครอบครัวที่อบอุ่น รับผิดชอบดูแลสมาชิกในบ้านเป็นอย่างดีลูกๆก็ประสบความสำเร็จ...
เขาอาจไม่ใช่คนที่โดดเด่นในที่ทำงานแต่เป็นคนที่มีจิตใจที่ดี
ดังนั้นเวลาที่เกิดเรื่องราวอื้อฉาวอะไรบางอย่างขึ้นมาการจะให้น้ำหนัก/ความสนใจแต่เพียงว่า
คนที่ถูกฟ้อง(ผู้กระทำผิด)เป็นพยาบาลหรือไม่เป็นพยาบาล จึงอาจเป็นมุมมองที่แบ่งแยกมากเกินไปหรือเปล่า
..และควรมีมาตรฐานในการตัดสินลงโทษทางวินัยเกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่ลำเอียง หรือปล่อยปละละเลยหากผู้กระทำนั้นไม่ได้เป็นวิชาชีพ
เพราะเวลาที่ถูกชาวบ้านหรือเสียงของคนนอกโรงพยาบาลเขาตำหนิหรือต่อว่าโรงพยาบาล...
มันส่งกระทบกระเทือนจิตใจของคนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล(ไม่ว่าจะในระดับบน หรือ ล่าง) ด้วยกันทั้งหมด ไม่ได้เลือกแต่ว่าเป็นเฉพาะในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ตามมาอ่าน หายไปนานเลยนะ คิดถึงจ้า