ในช่วงเวลานี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันปริวิตกว่าความเคลื่อนไหวทางสังคมที่เกิดขึ้น กับท่าทีและการจัดการของผู้นำประเทศ จะนำไปสู่อะไร และผลจะออกมาเป็นอย่างไร หลายคนหวั่นเกรงว่าจะเกิดความรุนแรง แต่ถ้าหากประเมินจากความเป็นมาและพัฒนาการของเหตุการณ์ที่เป็นมาถึงวันนี้ ก็น่าจะคิดอย่างมีความหวังไปอีกทางหนึ่ง ประการแรก ไม่ใช่เหตุการณ์ยืดเยื้อ เขม็งเกลียว และส่อเค้าความรุนแรง แต่เพราะมีพัฒนาการและสังคมมีต้นทุนทางสังคมดีขึ้นมาต่างหาก ที่ทำให้สังคมเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องและยาวนาน โดยไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรง ประการที่สอง หากมองเชิงบวกแล้ว ช่วงนี้ เป็นห้วงเวลาที่พาสังคมเรียนรู้การเมืองและเรียนรู้สังคมได้ดีที่สุด เป็นช่วงที่ได้เห็นพลังสร้างสรรค์และการให้การเรียนรู้สังคมของตัวเองเป็นอย่างมาก มิตรผู้พี่ท่านหนึ่งบอกว่า เป็นระยะเวลาของ Awaeken Period ประชาชนและสังคม อยู่ในภาวะตื่นตัว คอยสดับตรับฟัง เป็นผู้สังเกตการณ์ทางสังคม เป็นผู้ตื่นตัวต่อการมีส่วนร่วมในจุดที่ตนเองปฏิบัติได้ รอบข้างก็เคลื่อนไหว พูดคุย สื่อสารกันอย่างอึงมี่ หลากหลายความคิดอ่าน
ภาวะความตื่นตัวในท่ามกลางข่าวสารท่วมท้น และการเคลื่อนไหวหลายระดับราวภาวะโกลาหลทางสังคมเช่นนี้ ทุกอย่างสามารถเป็นจริงและเกิดขึ้นได้แบบ 360 องศา มันเป็นไปทางไหนก็ได้ทั้งสิ้น ประมาณนั้น เพราะฉนั้น ภาวะอย่างนี้จึงต้องการสติและปัญญาอย่างยิ่งยวด เพราะจิตใจอันหวาดวิตกโน้มไปทางไหน หากขาดสติและปัญญา อะไรที่ร้ายๆก็เข้ามาครองจิตใจของเรา ขับเคลื่อนการปฏิบัติ กุมจิตวิญญาณและสำนึกร่วมทางสังคมและพากันเตลิดเปิดเปิงได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ พวกเรากลุ่มหนึ่ง จึงจัดเวที ธรรมาธิปไตยเสวนา ขึ้น เพื่อเป็นเวทีรองรับคนที่ตื่นตัว รวมทั้งใส่ใจต่อเหตุการณ์และวันข้างหน้าของสังคมแต่อยากเข้าใจและมีส่วนร่วมด้วยสติและปัญญา ให้มีเพื่อนมาร่วมประเมินสถานการณ์ เรียนรู้ และดูแลสติปัญญา เรียนรู้เข้าไปภายในตนเองให้เข้าใจตนเองและภาวะสังคมยามนี้ระดับลึก ซึ่งนอกจากจะเข้าใจสถานการณ์และจัดตนเองได้ดีที่สุดแล้ว เชื่อว่าจะเป็นเวทีสร้างปัญญา-สื่อสารกับสังคมได้เป็นอย่างดีทางหนึ่ง วิธีการและกระบวนการก็ดำเนินการอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก กระบวนการหลักก็โดยการอ่านหนังสือ ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ (จุดบรรจบของรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์) ซึ่งกลุ่มและเครือข่ายองค์กรที่ขับเคลื่อนทางปัญญาจำนวนหนึ่ง ได้ถอดเทปจากการสนทนาและตอบคำถามของเจ้าประคุณพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต) แก่คณะบุคคลและเครือข่ายองค์กรพระพุทธศาสนา เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ 2549 ที่ผ่านมา แล้วนำมาจุดประกายการพูดคุยกันในเวทีนี้
เวทีนี้จะจัดในวันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม 2549 เวลาบ่ายสองโมงครึ่งเป็นต้นไป เจ้าภาพคือสมาชิกกลุ่มศาลายามเย็น ของทรานส์ทีม มหาวิทยาลัยมหิดล และชมรมชีวเกษม ประชาคมซึ่งขับเคลื่อนการสรางสุขภาวะแบบองค์รวมอยู่ที่อำเภอพุมทธมณฑล นครปฐม สถานที่คือ ห้องประชุม ณัฐ ภมรประวัติ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จากกรุงเทพฯ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขึ้นรถสาย ปอ 515 และรถเมล์สาย 125 จากปิ่นเกล้า ราชดำเนิน หน้าธรรมศาสตร์ และสนามหลวง ขึ้น 124 ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ เตรียมตัวเตรียมพลังใจ ความเป็นมิตรทางปัญญาให้กันและกัน พร้อมคิดและแสดงออกแบบให้สติปัญญาซึ่งกันและกัน แค่นี้ก็พอ ได้ผลอย่างไรจะถอดบทเรียนมาเล่าสู่กันต่อไป
เป็นวงเสวนาเล็กๆ แต่กลุ่มคนที่คุยเป็นกลุ่มนักวิชาการและผู้นำทางสังคม 10 กว่าคน บรรยากาศของเวทีเสวนามีความเป็นกัลยาณมิตร เคารพซึ่งกันและกัน
ทิศทางการเสวนาและการสรุปบทเรียนของผู้ร่วมเสวนา เป็นไปในทางที่สอดคล้องกันว่า สังคมกำลังวิกฤติหลายด้าน กรณีการเมืองนั้น เรากำลังวิกฤติภาวะผู้นำ และวิกฤติการพัฒนาทางการเมืองกับการพัฒนาเนื้อหาของสังคมไปไม่ทันกัน สิ่งที่จะต้องร่วมกันฟื้นฟูให้มากขึ้นจึงเป็นธรรมาธิปไตย
แนวคิดแบบหลวมๆก็คือ การสร้างสังคมที่แสวงหาปัญญา แสวงหาความถูกต้อง มีท่าทีต่อสิ่งต่างๆโดยใช้ความรู้ ความจริง ความดี และความงาม มากกว่าการใช้ความขัดแย้ง และความรุนแรง
เวทีเสนอแนะการขับเคลื่อนแบบง่ายๆที่ต่างก็พากันทำได้ด้วยตนเองต่อไป คือ การเปิดเวทีพูดคุยกันแบบใช้ปัญญา การทำเวทีกิจกรรมทางปัญญาที่หลากหลาย ทั้งในสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยและในชุมชน ดดยเฉพาะชุมชนเมือง การทำให้คนมีแหล่งสร้างสรรค์ทางปัญญาที่อยู่ใกล้ตัวและหลากหลาย จะเป็นทางหนึ่งในการช่วยกันสร้างธรรมาธิปไตย