ความสุขของคนไต้หวันกับความสุขของคนไทย
ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะมาไต้หวัน นิยามคำว่า ความสุขที่ได้รับจากพุทธศาสนาแบบเถรวาทไทยก็คือ การที่ได้อยู่สงบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่มีใครมายุ่งกับเรา และเป้าหมายสูงสุดในการแสวงหาธรรมะก็ต้องนั่งสมาธิ หลับตา ฝึกไปเรื่อย ๆ แล้วสักวันหนึ่ง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่?) เราจะสว่างโล่ง เรียกว่า เป็นความสุขขั้นนิพพาน
แต่เมื่อมาถึงไต้หวัน นิยามคำว่าความสุขเปลี่ยนไป เพราะพุทธมหายานที่นี่สอนว่า ความสุขจะเกิดต่อเมื่อได้ออกไปช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากยากเข็ญกว่าเรา ด้วยรากฐานความคิดที่แตกต่างกันนี้ทำให้คนไทยไม่ค่อยนิยมหรือไม่มีกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์เท่าใดนัก ส่วนใหญ่จะถนัดจัดกิจกรรมนั่งสมาธิภาวนามากกว่า และมองว่างานช่วยเหลือคนจนเป็นงานธรรมดา ไม่ลึกซึ้งถึงโลกุตรธรรม ให้ฝ่ายรัฐไปทำเอง คนรวยในไทย (รวมถึงวัดที่มีเงินกองทุนมูลนิธิมากมาย) จึงไม่มีการรวมตัวทำกิจกรรมสาธารณะกุศลมากเท่าไต้หวัน ก็เพราะขาดกระแสการปลุกระดมโดยผู้นำทางศาสนาให้มากพอ เงินที่วัดต่าง ๆ เก็บไว้ตามธนาคารในไทยไม่ได้ถูกใช้จ่ายหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ กลายเป็นเพียงเงินคงคลังของแต่ละวัด รอเพียงการใช้ดอกเบี้ยเท่านั้น
เมื่อขาดผู้นำที่จะขวนขวายคิด - ทำกิจกรรมอันจะเกื้อกูลสังคมรอบวัด ผู้คนก็ไม่คิดที่จะบริจาคเพิ่มเติมสมบท (อันนี้โยงใยไปถึงกรอบแนวคิดวัฒนธรรมของสังคมไทยด้วยที่ตีกรอบไว้แคบมากว่า พระไม่ควรจะทำอะไรมากนัก ควรอยู่เฉย ๆ ควรเป็นแบบอย่างของการปล่อยว่าง ปล่อยวาง อย่าขวนขวายเกินไปนัก จะถูกตำหนิว่าจิตฟุ้งซ่าน ไม่สงบ พระควรมุ่งแต่การพาทำนั่งหลับตาทำสมาธิก็พอแล้ว มรณภาพไปก็จะมีคนมายกย่องสรรเสริญล้นหลามเอง
ต่างกับผู้นำศาสนาในไต้หวัน ที่มีวัฒนธรรมสนับสนุนให้ท่านทำอะไรได้มากมายในสังคม ไม่มีกรอบแคบคอยขีดเส้นให้เดิน ขอเพียงเป็นกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้ว ทำได้เต็มที่ ทั้งนี้เป็นเพราะคติทางมหายาน ไม่ได้ถือว่าการปฏิบัติธรรมชั้นสูงคือการปล่อยวางเพื่อบรรลุสู่ขั้นอรหันต์ แต่คติพุทธมหายานมีปรัชญาทั้งกว้างทั้งยากขึ้นไปอีกว่า หากพระอรหันต์บรรลุแล้วไม่กลับมาช่วยเหลือมนุษย์ในสังคม ก็ไม่เป็นอุดมคติสูงสุดของความเป็นคน จึงควรที่จะบำเพ็ญต่อไปในระดับโพธิสัตว์ คือ ลงไปคลุกคลีเกลือกกลั้วกับความทุกข์ยากของชาวบ้าน บรรลุธรรมท่ามกลางความลำบาก กล้าแบกรับภาระของสรรพสัตว์ไว้ และตั้งจิตบำเพ็ญไปนานัปชาติ ตราบจนกว่าจะสั่งสมเป็นประสิทธิภาพมากพอ เรียกว่า "บารมีเปี่ยมล้น" ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอีกองค์หนึ่งต่อไป พระมหาเถระระดับสูงในไต้หวันเช่นท่านอิ้นซุ่นเถระ ก็เทศน์ให้ชาวพุทธปฏิบัติธรรมด้วยการทำงานอยู่ในสังคม จึงจะถือว่าเป็นงานลดความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง
วิจารณ์ พานิช
18 มี.ค.49
ดิฉันกลับมองในมุมต่างกัน ดิฉันไม่ได้สนใจลึกซึ้งในการประกอบพิธีกรรมหรือปฏิบัติธรรม ขอมองในฐานะคนที่เกิดในประเทศไทย ไม่เห็นด้วยกับที่บอกว่าความสุขในพุทธแบบเถรวาทมีเพียงแค่นั่งสมาธิ เป็นความเข้าใจไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการนั่งสมาธินะคะ เป็นการรวมจิตและกาย เพื่อให้จิตไม่ฟุ้ง จึงมีโอกาสได้อยู่กับตัวตนเพื่อพิจารณาสิ่งต่างๆได้แยบคายมากขึ้น รู้ปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่คิดถึงแต่ตนเอง นำสู่การแก้ไขปัญหาที่มีปัญญากำกับค่ะ นอกจากนี้กิจกรรมเพื่อสาธารณะไม่เพียงต้องเป็นภารกิจของสงฆ์ ชาวพุทธทุกคนควรจะได้โอกาสในการทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาไปด้วย การที่สงฆ์หลายแห่งไม่ได้มุ่งกิจกรรมดังกล่าวมิใช่ฆราวาทหรือค่ะที่ส่งเสริมให้เป็นไป พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีมีมากนะคะ เราต้องส่งเสริมท่าน แต่มุมมองนี้พอจะกระตุ้นให้เป็นไปได้หากไปในช่องทางที่ท่านสามารถรับทราบ และมีกระแสของสังคมร่วมกันค่ะ