การทดสอบแบบสุ่ม (Random experiment)
หมายถึงกระบวนการ หรือการกระทำที่ไม่อันก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สามารถชี้ชัดได้ และเมื่อทำการทดสอบเดิมใหม่อีกครั้ง ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลลัพธ์เดิม
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันนี้สามารถเป็นไปได้หลายทาง เช่น เราอาจจะทำการทดลองแบบเดียวกันนี้ บนวัสดุอุปกรณ์คนละชนิด หรือไม่ก็เครื่องมือวัดอาจจะมีค่า error ที่เกิดขึ้นได้ ฯลฯ
ยกตัวอย่างจากงานที่ทำ
อย่างเช่น ทดสอบความผิดเพี้ยนของดนตรี ว่าถ้าความถี่มีความผิดเพี้ยนเป็นปริมาณอย่างน้อยที่สุดเท่าไหร่ ผู้ถูกทดสอบถึงจะเริ่มจับความผิดเพี้ยนนี้ได้
ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการทดลองนี้ นอกเหนือไปจากเพศ และวัย ของผู้ถูกทดสอบแล้ว อารมณ์และการฝึกฝนจากผู้ถูกทดสอบคนเดียวกัน ก็ทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกันได้
(ชัดๆ คือ ถ้าเพิ่งถูกเจ้านายด่ามาหมาดๆ แล้วมาทดสอบ มักจะจับไม่ค่อยได้ว่าเสียงดนตรีเพี้ยน เพราะมีแต่เสียงด่าเจ้านายก้องอยู่ในโสตประสาท)
ความสามารถในการจำลองสถานการณ์์และวิเคราะห์ผลลัพธ์ออกมาได้จากการทดสอบสุ่มในท้ายที่สุดนั่นเอง คือ หัวใจของวิชาสถิติ
sample space ง่า.. (อันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าภาษาไทยเค้าใช้คำว่าอะไรอ่ะค่ะ ใครทราบก็ช่วยคอมเมนต์ไว้เป็นวิทยาทานด้วย)
หมายถึง ผลลัพธ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งหมดจากการทดลอง เช่น ถ้าเราเล่นเกมปั่นเหรียญ sample space ก็คือ {หัว ก้อย} หรือถ้าเราทอยลูกเต๋า sample space ของหน้าลูกเต๋าก็คือ {1 2 3 4 5 6}
ความน่าจะเป็น (Prabability)
หมายถึงความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์หนึ่งๆ จะเกิดขึ้น ค่าความน่าจะเป็นมักจะกำหนดให้อยู่ในช่วงตั้งแต่ 0 ถึง 1 โดยใช้สัญลักษณ์แทนความน่าจะเป็น (P- Probability) ต่อเหตุการณ์ (E- Event) ด้วย P(E)
ความน่าจะเป็นนั้นยังแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะคือ
1. ความน่าจะเป็นในเหตุการณ์ที่เท่าเทียมกัน (Equal likelihood model) เช่นการปั่นเหรียญ โอกาสที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นหัว หรือ ก้อย นั้นมีความน่าจะเป็นเท่ากันคือ 0.5
2. ความน่าจะเป็นในเหตุการณ์ที่มีความถี่สัมพันธ์ (Relative Frequency Method) นั่นคือ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดแต่ละเหตุการณ์ขึ้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหนึ่งๆ ขณะนั้น ยกตัวอย่างเช่น ความสูงของนักเรียนในห้องป.1 ข. ที่นักเรียนส่วนมากของห้องมีความสูงอยู่ในช่วง 110 - 120 cm มีจำนวนน้อยที่เตี้ยกว่านั้น หรือสูงกว่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว มีเทอมสองเทอมที่จำเป็นต้องรู้ไว้ (ขอใช้เป็นภาษาอังกฤษแบบไม่แปลแล้วกันค่ะ เพราะจากที่อ . บัญชาค้นคำแปลไทยมาให้ ยิ่งทำให้งง) และจะมีการอ้างถึงต่อไปในตัวอย่าง นั่นคือ
1. PDF (Probability Density Function)
2. CDF (Culmulative Distribution Function)
ยกตัวอย่างเพื่อใช้อธิบายสองเทอมนี้ น่าจะง่ายที่สุด
สมมุติว่าเราทำการจับสลากตัวเลขขึ้นมาตัวนึง โดยสลากนี้มีจำนวน 10 เบอร์ ตั้งแต่ 1 ถึง 10
เมื่อเราจับสลากขึ้นมาครั้งหนึ่ง บันทึกตัวเลขไว้ แล้วใส่คืนกลับไปที่กองเพื่อจับใหม่ เป็นจำนวนประมาณหนึ่ง เราก็นำค่าตัวเลข กับจำนวนครั้งที่สุ่มขึ้นมาได้มาพล็อตเป็นกราฟ
ถ้าเราคำนวณพื้นที่ใต้กราฟทั้งหมด นั่นคือ จำนวนครั้งที่เราหยิบสลาก
สมมุติว่าเราอยากรู้ว่า มีความเป็นไปได้เท่าไหร่ที่เราจะหยิบตัวเลยได้มีค่าจาก 3 ถึง 7
เราก็คำนวณจากพื้นที่ใต้กราฟของเรา (นับจำนวนครั้ง) ที่เราจับสลากได้ 3 ไปจนถึง 7
นี่คือ PDF
แต่ถ้าเราอยากรู้ว่ามีความเป็นไปได้เท่าไหร่ ที่เลขที่เราหยิบได้มีค่าน้อยกว่า หรือเท่ากับ 5
เราก็คำนวณจากพื้นที่ใต้กราฟของเรา (นับจำนวนครั้ง) ที่เราจับสลากได้ ตั้งแต่ค่าแรก (1) ไปจนถึง 5
นี่คือ CDF
กำลังคิดว่าจะเขียนต่อไปรอดไหมเนี่ยเรา.. เขียนแค่มาถึงตรงนี้นี้ก็เหนื่อยแย้ว
สวัสดีครับ
ผมชอบตัวอย่างนี้จัง เห็นภาพชัดแจ๋ว พร้อมได้ยินเสียงอีกตะหาก :-)
(ชัดๆ คือ ถ้าเพิ่งถูกเจ้านายด่ามาหมาดๆ แล้วมาทดสอบ มักจะจับไม่ค่อยได้ว่าเสียงดนตรีเพี้ยน เพราะมีแต่เสียงด่าเจ้านายก้องอยู่ในโสตประสาท)
คำว่า sample space ใช้ว่า ปริภูมิตัวอย่าง ครับ
ผมค้นจากเว็บ ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน ที่นี่
http://rirs3.royin.go.th/coinages/webcoinage.php
คิดว่าถ้าเขียนเล่าแนวประสบการณ์จากการทำงาน โดยใส่ทฤษฎีเข้าไปนิดๆ หน่อยๆ น่าจะง่ายขึ้นหรือเปล่า อยากอ่านครับ ^__^
กำลังคิดว่าจะเขียนต่อไปรอดไหมเนี่ยเรา.. เขียนแค่มาถึงตรงนี้นี้ก็เหนื่อยแย้ว
ต่อเถอะค่ะ กำลังเริ่ม ๆ เรียนรู้
อธิบายดีออกค่ะ
คนที่กลัวคณิตศาสตร์ สถิติ ยังกล้ามาอ่านเลย..อิอิ