ภาพยนตร์โฆษณาเป็นสื่อตัวหนึ่งที่ได้เราความนิยม และได้ผลกระทบอารมณ์กลุ่มเป้าหมายได้เร็วและได้ผลที่สุด จดจำได้ง่าย ทั้งนี้ลูกค้าจะได้เห็นทั้งภาพ และหูได้ยินเสียง ถ้าอยากได้หนังโฆษณาที่มีคุณภาพ ควรที่จะประสานงานอยู่ใกล้กับกองถ่าย ในการให้รายละเอียดเมื่อสบโอกาสอย่างสำรวมใจ อย่าปล่อยให้ผู้สร้างเดียวโดดเดี่ยวเสียทีเดียวแล้วจะแก้ไขไม่ทัน จนไม่อยากจะดูหนังโฆษณาสินค้าตัวเอง
การทำหนังโฆษณาก่อนถ่ายทำ จะมีการประชุมกันระหว่างเอเยซี่ / ลูกค้า ( เรา หรือ เจ้าของสินค้า ) / และบริษัทถ่ายหนัง เพื่อทำการตกลงในรายละเอียดของเสื้อผ้า / ตัวแสดง / ฉาก / ขนาดของสินค้าที่ใช้ถ่าย / สีสัน / ซูเปอร์ และเบ็ดเตล็ดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีความเข้าใจในเรื่องเดียวกัน เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า Pre – Production ซึ่งเป็นขั้นที่สำคัญที่สุด
หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วคุณจะได้รับ Call Sheet ซึ่งเป็นกำหนดการและสถานที่ ในใบนี้จะมีชื่อผู้รับผิดชอบด้านต่าง ๆ ใครเป็นครีเอทีฟ / ผู้กำกับ / ตากล้อง / แสง / เมคอัพ / ทำผม / สไตล์ลิสท์ / ฯ ลฯ เราจะได้เรียกได้ถูกคน และถามได้ถูกหน้าที่ ( บุคคลที่เราจะฝากความหวังได้มากที่สุดคือ โปรดิวเซอร์ )
ถ้าเป็นการถ่ายทำในสตูดิโอหรือโลเคชันก็ตามแต่ เขาจะแนบแผนที่มากับ Call Sheet นี้ด้วย ความหมายสำคัญของ Call Sheet ก็ให้ดูหลักใหญ่ ๆ คือ Crew Call กี่โมง Shouting Call กี่โมง
Crew Call หมายถึงเวลาที่กำหนดแน่นอนว่า ผู้ที่ทำงานด้วยการถ่ายทำพวกแสง / กล้อง / กำกับ / เมคอัพ / ตัวแสดง / ฯลฯ ต้องไปพร้อมที่นัดหมายเวลานั้น ไม่ไช่บอกว่าตี 5 แต่ไป 7 โมงเช้า เพราะถ้ามรการถ่ายแกพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าตากล้องตื่นสาย ผลก็คือเราต้องเสียเวลาอีกวันเต็ม ๆ
ในฐานะที่เป็นเอเยนซี่หรือลูกค้า ก็แล้วแต่วาคุณจะไปตาม Crew Call หรือ Shouting Call ตามปกติลูกค้าจะไปถึงสถานที่ถ่ายทำตามกำหนดเช่น ระบุ 9 โมงเช้า แปลว่า แสงต้องพร้อมแล้ว ตัวแสดงต้องเมคอัพ ทำผม ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทุกอย่างพร้อมจะถ่ายช็อตแรกเลย
ถ้าจะให้ดีลูกค้าควรไปก่อน Shouting Call เพื่อดูนายแบบนางแบบก่อนก็ได้ แต่ถ้าคุณไปออกความเห็นมากเกินไป ดีไม่ดีคีเอทีฟหรือโปรดิวเซอร์ของคุณอาจพาลเก็บของกลับบ้าน แล้วมอบหน้าที่ให้คุณทำแทน คุณจะทำอย่างไร
ฉะนั้นเมื่อรับ Call Sheet โทรตกลงกับแผนกบริกหารลูกค้าว่า เราจะไปดูเขาถ่ายหนังไหม และควรไปเวลากี่โมง แล้วบอกว่าเราจะดูเพื่อประสบการ หรือไปช่วยตัดสินใจในกรณีที่เกิดมีปัญหาด้านการตลาดใน หนังโฆษณา ถ้าคุณทำงานมานาน ก็จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่สนุกสักนิดที่จะเสียเวลาไปดูการถ่ายทำ เพราะทั้งหมดที่จะถ่าย คุณได้ประชุมตกลงกันไปเรียบร้อยแล้วในขั้น Pre – Production และแต่ละช็อท แต่ละคัท เสียเวลานานทีเดียวกว่าจะได้ตามที่ต้องการแม้เราจะทำงานกับทีมที่มีการเตรียมงานอย่างพร้อมเพรียงแล้วก็ตาม
เนื่องจากการถ่ายหนัง เป็นทั้งศิลปะและเทคนิค นักการตลาดอย่างเราอาจมีความเข้าใจน้อยมาก คงจะต้องเจียมตัวเจียมใจ และสงบปากสงบคำบ้าง ขึ้นชื่อว่าศิลปะคนแต่ละคนมีมุมมองที่ต่างกัน ทั้งยังผสมเทคนิคเฉพาะอย่าง วิธีปฏิบัติที่ดีในการไปดูน่าจะเป็นดังนี้
1. ประกบกับเออีของคุณตลอดเวลา ทำไมต้องอย่างนั้น ก็เพราะบางรายถือวิสาสะ เข้าไปกำกับเสียเอง หรือไปวุ่นวายกับตัวแสดง ในกรณีที่มีเออีของคุณไปด้วย คุณก็ต้องพูดคุยปรึกษากับเออีก่อนตามขั้นตอนแล้วถ้าเออีของคุณเห็นว่าจุดที่คุณต้องการเป็นไปได้ เขาก็จะไปปรึกษาครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์ เออีจะช่วยลดความตรึงเครียดให้ทีมงานด้วย เช่น เห็นว่านางแบบของคุณแต่งหน้าเชยไปนิด ผมแข็งดูไม่เป็นธรรมชาติ คุณก็ควรกระซิบกับเออีของคุณ ไม่ใช่เข้าไปสั่งเมคอัพอาร์ติส หรือคนดูแลผมให้เปลี่ยนสไตล์ตามคุณ เพราะถ้าทำอย่างนี้ถือเป็นการก้าวก่าย หรือถ้าเป็นเรื่องเสื้อผ้า ถ้าเสื้อผ้าที่คุณซื้อแล้วในที่ประชุม Pre-producttion พอวันถ่าย คุณเกิดเห็นว่านางแบบใส่แล้วไม่เข้า คุณก็นาจะลองคุยกับทีมงานของเอเยซี่ดูว่ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้หรือไม่
2. พิถีพิถันกับสินค้า ช็อทที่คุณควรสนใจมากที่สุด ควรจะเป็นเรื่องของแพ็คหรือตอนถ่ายวิธีใช้สินค้าของคุณ ตัวอย่างง่าย ๆ คือ หนังโฆษณาเครื่องดื่มประเภทบำรุงร่างกายอย่างไมโลโอวัลติน สมมุติคุณเป็นเจ้าของสินค้ามีโอกาสไปดูการถ่ายทำ เมื่อถึงช็อทโคสอัพชงโอวัลติน แก้วที่ใช้คุณคิดว่าถูกหรือไม่ เห็นสินค้าของคุณหรือเปล่า สีจางไหม คุณต้องการให้ใส่ช็อคโกแล็ตมากขึ้นหรืออย่างไร จะดูเข้มข้นสวยเป็นต้น หรือเวลาถ่ายโอวัลตินเย็น โคสอัพเห็นหลายแก้ว สิ่งที่คุณควรดูคือ น้ำแข็งในแก้วมากไปหรือน้อยไป สีโกโก้ในแก้วอ่อนหรือจางเกินไปหรือเปลา ควรจะเข้มข้นหว่านี้ เพราะไม่อย่างนั้นกลายเป็นว่า ถ่ายน้ำแข็งละลายแล้ว และแก้วภายนอกมีหยดน้ำเกาะอยู่เต็มให้เห็นความเย็นและความน่ารับประทานหรือเปล่า ความจริงสิ่งเหล่านี้ครีเอทีฟ / โปรดิวเซอร์ เขาทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์คุณเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าคุณละเอียดลออกับฉากนี้ ก็ถือว่าคุณทำหน้าที่ของเรา ไม่ไช่คุณไปก้าวก่ายเขา
3. ใช้ขนาดของสินค้าที่เหมาะสมในหนัง ขนาดของสินค้าเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณควรศึกษาใน กรณีที่สินค้าคุณมีหลายขนาด เวลาจะถ่ายหนังช็อทที่ตัวแสดงต้องใช้ ต้องเลือกขนาดที่เหมาะกับโอกาสสถานที่และมือคน เช่นนมผง ส่วนใหญ่จะใช้ขนาด 1 ก.ก. เพราะไม่ใหญ่ ม่เล็กเกินไป ยาสรฟัน ใช้ขนาดใหญ่ เพราะเหมาะกับมือและแปรงสีฟัน ส่วนช็อทสำคัญคือแพ็ทช็อท ถ้าคุณต้องการให้เห็นสินค้าทุกขนาด ที่มีขายตามท้องตลาด ก็ต้องบอกเขาไปก่อนถ่ายทำด้วย
โดยทั่วไป นักโฆษณาสมัยใหม่มักจะเสนอคุณว่า แพ็คช็อทควรจะโชว์สินค้าขนาดเดียวให้เด่นให้เด่นไปเลย เพราะจอทีวีที่เล็ก ถ้าเห็นของเล็ก ๆ วางเรียงกันมากจะมีผลกระทบต่อจิตใจผู้บริโภคน้อยมากเห็นเพียงขนาดเดียว แต่ตราสินค้าเด่นกว่า เป็นหน้าที่ของคุณที่จะเลือกว่าคุณจะใช้กลยุทธ์ไหน บางทีคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องมีแพ็คช็อทเลยก็ได้ ถ้าโลโก้ของคุณเด่นแล้วมีนักการโฆษณาหลายท่านต้องการแหวกแนวทางหรือกฎเกณฑ์ซ้ำซากจำเจ ในหนังเรื่องหนึ่งจะไม่ให้มีแพ็ทช็อทเลย คุณจะตามใจเขาก็ได้ แต่ต้องมั่นใจว่าคนดูหนังโฆษณา ของคุณจบแล้ว จะจำสินค้าของคุณได้ ไม่งั้นจะทำหนังโฆษณาสินคาไปทำไมกัน
ขอคำ ปรึกษาหน่อย คัพ