วิสาหกิจชุมชน. เป็นการประกอบการของคนในชุมชน ตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป เป็นการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาเป็นวัตถุดิบ กระบวนการผลิตเป็นของชุมชน ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับสากล มีเป้าหมายที่การพึ่งตนเองของชุมชนเป็นหลัก เอากระบวนการเรียนรู้เรื่องที่กำลังทำเป็นหัวใจ....แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นการ ระเบิดจากข้างในตัวผู้นำ/แกนนำชุมชน.....จะเห็นการระเบิดได้อย่างไร? เรามักจะไม่ได้ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ก่อนว่า...จะมีการเกิด...การระเบิดจากภายในชุมชนนั้น มีจุดเริ่มต้นจากอะไร? จุดเริ่มต้นที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากคนภายนอก (ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา นักวิชาการ หรืออื่นๆ )เหมือนกับที่ชุมชนไม่ต้องการคนภายนอกในเรื่องนี้ แต่เขาต้องการคนภายนอกมากระตุ้น มาสร้าง....สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ครับ กระตุ้นให้เกิด/กระบวนการเรียนรุ้ที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ และแรงบันดาลใจครับ....
วันนี้ วิสาหกิจชุมชนเรียนรู้ เริ่มต้นกล่าวถึงเรื่อง ...แรงจูงใจ ครับ ขออธิบายก่อนว่า แรงจูงใจ ต่างจากที่นักวิชาการ มักกล่าวกัน ว่า เพราะมีแรงดึงดูด และแรงผลักดัน ให้เกิด ในความหมายของผมแล้ว เป็นเรื่องของ Need และ Want ทำไมผมจึงคิดเช่นนั้น ก็เพราะว่า เศรษฐศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยอธิบายเรื่องพวกนี้ อธิบายแต่เรื่องที่ควรให้รู้ แต่ไม่อธิบายเรื่องอยากรู้ ปัญหาเศรษฐกิจบ้านเราจึงมีปัญหาพอควร ....เหตุเพราะไม่อธิบายว่า บริโภคเยอะ ๆ แล้วมีข้อเสีย (เหมือนกับสมัยหนึ่งที่บอกว่าเข้าสังคมต้องดื่มสุรา) แต่สมัยนี้ สมัยหน้า กล่าวหาว่าถ้าจนก็ไม่ต้องกินสุรา(เหล้า) หรือเมาไม่ขับ แต่ไม่บอกว่าสุราดีอย่างไร? เสียอย่างไร?....ให้ไปคิดเอง แต่ผมมองว่าวันนี้เราต้องให้ความรู้ครับ ....วิสาหกิจชุมชนยังไปไม่ถึงไหนก็เพราะ ยังขาดความรู้ครับ ถึงเวลาเรียนรู้แล้วครับ
บทที่ ๑ ที่มาของ “แรงจูงใจ”ในวิสาหกิจชุมชน
ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่อง “100 วิธี ทำให้คนยอมทำงานให้เรา ด้วยเต็มใจและมีแรงจูงใจที่ดี” ดูเหมือนว่าหลายเรื่องในชีวิตประจำวันเราต้องการ “แรงจูงใจ” เพื่อให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เข้าใจ และทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ครับ…..
บทแรก ของหนังสือเล่ม นี้ กล่าวถึง ที่มาของ “แรงจูงใจ”
เริ่มต้นที่งานสัมมนาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ทางทีมงานเราได้เตรียมจัดงานนี้เพื่อผู้บริหาร ในการจัดการเรื่องเกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ยอมทำงานอย่างเต็มที่แก่องค์กร....
ตอนเช้านั้นเอง ..มีผู้บริหารท่านหนึ่ง เข้ามาในงานสัมมนาฯ ที่ทางทีมงานได้จัดขึ้น ผู้บริหารท่านนี้ แต่งกายในชุดโปโลสีเขียว นุ่งกางเกงผ้าขายางจับจีบ เตรียมพร้อมที่จะไปออกรอบตีกอล์ฟ.....ครับเตรียมจะไปตีกอล์ฟ แต่แวะมาที่งานสัมมนาก่อน เพื่อบอกว่าจะไม่อยู่....ในงานสัมมนานี้
ผู้บริหารท่านนี้เดินมาที่หน้าห้องและพูดขึ้นว่า “งานสัมมนาของคุณไม่ได้เป็นหัวบังคับ ฉะนั้นผมไม่คิดที่จะเข้าร่วมนะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมสงสัยว่าทำไมคุณจึงมาที่งานสัมมนานี้ตั้งแต่เช้าเพื่อจะบอกเรื่องนี้กับเรา ฉะนั้นคงต้องมีอะไรบางอย่างที่คุณอยากทราบ” ทีมงานสัมมนาตอบออกไป
“ใช่แล้วครับ” เขาสารภาพ “ทั้งหมดที่ผมต้องการรู้คือ ทำอย่างไร? ให้ทีมงานขายของผมปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น และผมจะบริหารพวกเขาให้มีประสิทธิภาพอย่างไรดี”
“นี่คือสิ่งที่คุณต้องการทราบหรือครับ”
“ใช่แล้ว” ผู้บริหารท่านนี้บอก
“ถ้าอย่างนั้น เราสามารถช่วยคุณประหยัดเวลาได้มาก และคุณยังสามารถไปเล่นกอล์ฟได้ทันเวลาครับ”
ผู้บริหารท่านนั้นเดิมเข้ามาใกล้ รอฟังคำพูดสร้างสรรค์ที่เขาจะสามารถนำไปใช้ในการบริหารคนของเขา
ทีมงานจัดสัมมนาจึงบอกว่า “คุณไม่สามารถทำได้หรอกครับ”
“อะไรนะ” ผู้บริหารท่านนั้นอุทานด้วยฉงนกับคำตอบที่เราให้ไป
“คุณไม่สามารถบริหารทีมงานได้หรอกครับ ตอนนี้คุณไปออกรอบได้แล้วครับ” ทีมงานเราตอบ..
“คุณพูดอะไรนะ” เขาถาม “นี่คุณกำลังจัดงานสัมมนาเกี่ยวกับการจูงใจผู้อื่นอยู่นะ” แล้วที่คุณว่าผมไม่สามารถทำได้ คุณหมายความว่าอย่างไร”
“ใช่ครับ เรากำลังจัดงานสัมมนาในหัวข้อนี้ครับ แต่สิ่งแรกที่เราสอนบรรดาผู้บริหารงานทั้งหลายคือ “พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมคนของตนได้โดยตรง.....เพราะแรงจูงใจจะต้องมาจากความรู้สึกข้างในของพนักงานเสมอ ไม่ได้มาจากตัวผู้บริหารครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณสอนอะไรหล่ะ”
“เราสอนวิธีที่ช่วยให้ผู้บริหารกระตุ้นคนในองค์กรของคุณ ให้สร้างแรงจูงใจขึ้นได้เอง นี่เป็นกุญแจสำคัญ และคุณจะทำเช่นนี้ได้ก็โดยการบริหารจัดการข้อตกลงต่าง ๆ ไม่ใช่การบริหารจัดการที่บุคคล และนี่คือสิ่งที่เราจะสอนกันวันนี้”
หลังจากนั้นผู้บริหารท่านนั้นก็กลับไปเปลี่ยนชุดออกรอบ เป็นชุดทำงานปกติ แล้วเข้าร่วมการสัมมนาตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยที่นั่งอยู่แถวหน้าตลอดเวลาจนจบการสัมมนาครั้งนี้........
สรุปว่า ...........งานทุกงานไม่ว่าสาขาอาชีพใด ถ้าผู้บริหารไม่สามารถกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดแรงจูงใจ สร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นได้นั้น ผลที่เกิดขึ้นก็จะเป็นการบริหารงานแบบงานบริหารบุคคล ซึ่งมีแต่ความขัดแย้งไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ แล้วผลที่ได้รับ(กำไรและผลงาน)ก็ไม่เกิดแน่นอนครับ
มาถึงตอนนี้ วิสาหกิจชุมชน ก็เหมือนกัน ยังต้องเป็นการระเบิดจากข้างในชุมชน ...ชุมชนต้องถามตัวเองก่อนว่า จะทำเรื่องนี้ไปทำไม? ...
ถ้าคำตอบเป็นเพียงแค่ว่า อยากให้ชาวบ้านมีรายได้ มีงานทำ .....ก็ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว..เมื่อก่อนเรามีความสุขกัน ....เราทำมาหากิน..ชุมชนมีการเอื้อเฟื้อกัน...มีจารีตของตนเอง...ดูแลกันและกัน....
เหตุผลบางเหตุผลมีค่า มีความหมาย และมีความสุข เป็นตัวตั้ง......เราไม่เคยทำธุรกิจ แล้วไปทำ....สู้ได้หรือไม? ทรัพยากรในชุมชนไม่มี มุ่งแต่พึ่งคนอื่น ...เราจะสู้เขาได้หรือไม่?...เพียงแค่ 2 คำถามแค่นี้ ถ้าตอบสิ่งดี ๆ มาได้ก็จะดำเนินวิสาหกิจชุมชนไปรอดแน่ครับ....
ไม่มีความเห็น