วันนี้ยังมีเขา ให้เราเรียกแม่


การที่จะทำให้ดีทุก ๆเรื่องในเวลาพร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้มันขึ้นอยู่กับเราจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากัน

เป็นข้อเขียนที่ผมเขียนถึงแม่เป็นข้อเขียนแรก เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2548 เนื่องในวันแม่ที่จะมาถึงขอนำมาให้ทุกท่านได้อ่านครับ

วันนี้ยังมีเขาให้เราเรียกแม่

เกือบ 9 ปีที่ผมได้รู้จักกับประโยคนี้ เป็นประโยคที่ประทับใจผมมากและเป็นหัวข้อเรียงความในการสอบเข้าทำงาน ณ ที่นี้ ณ ที่คณะเภสัชศาสตร์ ศิลปากรแห่งนี้ จึงอยากบอกถึงความรู้สึกของตนเองให้ทุกท่านตระหนักถึงประโยคดังกล่าวข้างต้นให้เข้ากับกระแสวันแม่แห่งชาติที่จะมาถึง

เมื่อได้เข้ามาทำงาน ณ ที่แห่งนี้ ผมได้รู้จักกับโลกของคอมพิวเตอร์ โลกที่ทุกคนไฝ่หาที่เขาเรียกกันว่า ไอที (IT) ผมไม่เคยคิดเลยว่า ไอ้เจ้า IT มันจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมและน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคนในคณะเภสัชศาสตร์แห่งนี้

เขาเล่ากันว่า IT มันมาจากคำ 2 คำ คือ Information กับ Technology แต่ในส่วนตัวของผมมันเป็นคำ ๆเดียว คือ IT ที่อ่านว่า อิท ในภาษาไทยเมื่อพูดถึงอิฐ ก็คือสิ่งที่แข็ง หาความอ่อนโยนไม่ได้ หากเรารับมันเข้ามามากเกิน จนให้มันครอบงำจิตใจ คงหาความอ่อนโยนไม่ได้เช่นกัน ผมคิดเช่นนั้น

และในที่สุดผมก็ได้รับเจ้า IT เข้ามาเต็มตัว เมื่อผมได้เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาในสาขาวิขาคอมพิวเตอร์ ด้วยความคิดนานานับประการถึงความจำเป็นร้อยแปด ความก้าวหน้าพันเก้า ทำให้ผมต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้ชื่อว่า เป็นคนยุค IT ...ผมกำลังหลงทาง

การทุ่มเทดังกล่าวดูเหมือนจะทำให้การดูแลผู้เป็นแม่ของผมบกพร่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นการบกพร่องซึ่งผมเองก็รู้และได้บอกกับแม่ว่า “แม่...หนูเรียนหนักนะ หนูเรียนจบ หนูจะมาเป็นชัยคนเดิม” คำพูดนี้ ผมพูดโดยไม่รู้หรอกว่า ผมไม่มีทางกลับมาเป็นชัยคนเดิมได้เลย ผมเรียนหนัก ทำงานหนัก เดินทางไกล และต้องดูแลแม่ ซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง หลายครั้งที่ผมเหนื่อยและเครียดจัด และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกระทั่งกับแม่บ้าง จิตใจและสมองผมตอนนั้นเหมือนกับว่า มันมีอะไรมากมายให้คิดมากกว่าการดูแลแม่ ซึ่งเคยทำอยู่เป็นประจำทุกวัน

 “ผมทุ่มเทให้กับแม่น้อยลง”

ผมเข้าใจ และเชื่อว่าทุกคนก็คงคิด การที่จะทำให้ดีทุก ๆเรื่องในเวลาพร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับเราจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากัน ..... ผมหลงทางอีกแล้ว

ปี 2548 ปีนี้ ผมไม่มีแม่ให้ทุ่มเทอีกแล้ว

ผมไม่มีแม่ให้พรในวันปีใหม่ แต่กลับเป็นตัวผมเองเที่ยวขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกที่ เพื่อหวังให้แม่ซึ่งกำลังป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล...รอด ...ปาฏิหารย์ไม่มีจริง... ผมไม่มีแม่ที่มีลมหายใจให้ไหว้ก่อนออกจากบ้านอีกแล้ว

สงกรานต์ปีนี้ก็เช่นกัน ผมไม่มีแม่รดน้ำขอพร เช่นทุกปี แต่กลับเป็นผมที่ทำหน้าที่บังสุกุลให้กับแม่ และในวันแม่ ที่จะมาถึงก็คงอีกเช่นกัน “ผมไม่มีแม่อีกแล้ว”

จะมีอะไรเจ็บปวดเท่า เห็นแม่เราหมดลมหายใจไปต่อหน้า ไม่มีคำพูดใด นอกจากคำว่าเสียใจ และเสียดาย เสียดายที่วันเมื่อวาน ที่ทำให้เธอมันยังน้อยไป

นกมองไม่เห็นฟ้า ปลามองไม่เห็นน้ำ ของอยู่ใกล้ตัวมักมองไม่เห็นความสำคัญ จะมองเห็นก็ต่อเมื่อของสิ่งนั้นจากเราไป

คนเราส่วนใหญ่ชอบให้ความสำคัญกับผู้อื่น ซึ่งไม่เคยรู้จักหรือเพิ่งรู้จัก และทุ่มเทความรักหรือแม้กระทั่งชีวิต มากกว่าคนที่สมควรให้

คนส่วนใหญ่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า มันเป็นวงเวียนชีวิต โตแล้วก็แยกออกไปมีครอบครัว ไม่เห็นต้องคิดอะไร

“วงเวียนชีวิต หรือ บ่วงกรรม”

คนเราส่วนใหญ่ชอบมองไปข้างหน้าจนลืมไปว่าข้างหลังเรานั้นมีคนคนหนึ่ง คนที่อุ้มชูเรามาทั้งชีวิต รอเราอยู่ ไม่ใช่แค่รอเรายื่นเศษเงินให้ประทังชีวิต ไม่ใช่แค่คำพูดหวาน ๆบางคำว่า “หนูรักแม่” “แม่สบายดีไหม” แล้วแม่รออะไร ? หากคุณคิดได้ ก่อนที่จะสาย ก็จะเป็นกุศล

อย่ามองแค่ว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ตามมุมมองของคนยุค IT

12 สิงหา วันแม่ปีนี้ หากเป็นไปได้ ขอสักวันเถอะนะ ทำให้แม่ท่านได้ชื่นใจ ทำให้แม่ท่านได้อุ่นใจ ว่าท่านจะเป็นร่มไม้ใหญ่ ให้แม่ได้พักพิง

8 ธันวาคม 2548 สุรชัย เทียนส่ง ... แด่แม่ผู้จากไป

คำสำคัญ (Tags): #แม่
หมายเลขบันทึก: 199771เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2008 14:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท