เอกสารหมายเลข 4
ผลการศึกษาข้อมูลรายบุคคลในฐานข้อมูลหมวดความรู้จากการปฏิบัติ
“Story Telling สัปดาห์ที่ 3”
1. กล่าวนำ
“ คนเรามักสนใจจะเปลี่ยนคนอื่น แต่ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนตนเอง ดังนั้น ก่อนคิดปรับปรุงคนอื่น ควรปรับปรุงตัวเองก่อน” ครับ จากการที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ บนบล็อก หรือพูดคุยกันทาง call กับสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของตัวเอง หรือกลุ่มอื่น ๆ ทุกคนมีสิ่งที่มุ่งหวังของตัวเอง ...อยากจะไปให้ถึงที่หวัง..และอยากจะพัฒนาตนเอง หน่วยงาน.. องค์กร จนสับสนไปหมด... กลุ้ม.. เราเลยไม่รู้.จะจับจุดไหนดี...แต่แล้ว คิด ๆ นึก..ในเมื่อ..เราคุยกันเรื่อง..สมรรถนะ...เราจึงคิดว่าจะหาความรู้เรื่องสมรรถนะใคร..? และจะไปพัฒนาใคร..? ไหนๆ ก็ไหน ๆ .แล้ว เอาเป็นเอา ก็เลยคิดว่าจะต้องพัฒนาตนเองก่อนดีกว่า..ก่อนที่จะไปพัฒนาคนอื่นเขา... จึงมุ่งไปที่สมรรถนะของตนเอง..คือ.”ผู้บริหารสถานศึกษา”..
2. ที่มาของแนวคิด/ทฤษฎีที่ใช้
ศาสตราจารย์ David C.McClelland
ได้อธิบายไว้ว่า Competency
เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากความรู้ (Knowledge)
ทักษะ (Skills) และทัศนคติ/แรงจูงใจ
(Attitude/Motives) แต่สิ่งที่มักจะทำให้คนทั่วไปสับสน
คือ Competency แตกต่างจากความรู้ ทักษะ
และทัศนคติ/แรงจูงใจ อย่างไร และความรู้หรือทักษะที่บุคคลมีอยู่นั้น
ถือเป็น Competency หรือไม่
จากการศึกษาของ David
C.McClelland พบว่าCompetency
สามารถแบ่งได้เป็น2 กลุ่ม
คือ
1.
Competency ขั้นพื้นฐาน (Threshold Competencies)
ซึ่งหมายถึง
ความรู้หรือทักษะพื้นฐานที่บุคคลจำเป็นต้องมีในการทำงาน เช่น
ความสามารถในการอ่าน หรือความรู้ในสินค้าที่ตนขายอยู่ประจำ เป็นต้น
ซึ่งCompetency
ในกลุ่มนี้จึงไม่ได้รับความสนใจจากนักวิชาการมากนัก
นักวิชาการบางกลุ่มถึงขั้นลงความเห็นว่าความรู้และทักษะพื้นฐานเหล่านี้
ไม่ถือว่าเป็น Competency
2. Competency
ที่ทำให้บุคคลแตกต่างจากผู้อื่น (Differentiating
Competencies) หมายถึง
ปัจจัยที่ทำให้บุคคลมีผลการทำงานสูงกว่ามาตรฐานหรือดีกว่าบุคคลทั่วไป
ซึ่ง Competency ในกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นที่การใช้ความรู้
ทักษะ และคุณลักษณะอื่นๆ (รวมถึง ค่านิยม แรงจูงใจ
และทัศนคติ)
ความหมายของคำว่า “สมรรถนะ” มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย..แล้วแต่หน่วยงานที่นำไปใช้ แต่พอสรุป ได้โดยรวม ที่อาจจะคล้ายๆ กัน ก็คือ “คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่มีผลมาจากความรู้ ทักษะ ความสามารถ คุณลักษณะอื่น ๆ ที่ทำให้บุคคลสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นกว่าเพื่อนรวมงานอื่นๆในองค์กร” ซึ่งเป็นความหมายของ สมรรถนะของบุคคล แต่ก็ยังมีสมรรถนะของสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆอีก เช่น สมรรถนะของเครื่องยนต์ เป็นต้น ดังนั้น คำว่า”สมรรถนะ” จึงหลากหลาย แล้วแต่การนำไปใช้ ซึ่งสมรรถนะต่าง ๆก็มีการแบ่งแยกย่อยออกไปตามลักษณะงาน การนำสมรรถนะมาใช้ในการปรับปรุงตัวเองและงานจึงมีความจำเป็น เพื่อให้การบริหารงานและทรัพยากรบุคคลมีประสิทธิภาพ วึ่งจะมีรายละเอียดและขั้นตอนอีกมากมาย...
3. นำเสนอเรื่องที่อยากทำ
ก็เลย..ไม่อยากจะคิดมาก...เดี๋ยวจะปวดหัวไปกันใหญ่..และกลัวจะไม่จบหลักสูตร..ผู้บริหารโครงการจำตำหนิ .?เราได้ จึงอยากให้พวกเรา..ไปถึงจุดหมายพร้อม ๆ กัน จึงอยากจะลองทำ..เรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา” ซึ่งอาจจะต้องนำ ID Plan เข้ามาใช้หรือไม่..อย่างไร..ก็คงต้อง ลปรร. กับสมาชิกในกลุ่ม.. และ ผชช.. ที่มีความรู้ความสามารถ..ให้การแนะนำ..และชี้แนวทาง..ครับ
ลงชื่อ นายมานะ โตสมบัติ ผู้บันทึก
ครับจะพัฒนาใครต้องพัฒนาตนเองก่อน
เรียนท่านสมบัติ...ขอบคุณครับสำหรับการเยี่ยมชมผลงานผม ...ก็เลยมาชื่นชมผลงานท่านบ้าง...ขอชื่นชมแนวคิดที่จะศึกษา...น่าชื่นชมที่ศึกษาค้นคว้ามา มีแต่ ศาสตราจารย์ นักวิชาการต่างประเทศ เกี่ยวกับ Competency (Knowledge) Skills Attitude/Motives Competency ทั้งนั้น กลัวว่าจะปวดหัว..แต่ก็น่าสนใจมาก จึงอดที่จะเรียนรู้จากท่าน...ยังไงเสร็จแล้ว..ขอ Copy ๆๆๆๆ ด้วยนะครับ...55+++++ สมหวัง พันธะลี
ตังเองไม่มีความรู้...จะไปสอนคนอื่นยังงัยเน๊าะ