"คลัง" ชี้การเมืองไม่นิ่งเมินแผนกระตุ้น ศก.
คลังระบุ ท่ามกลางปัญหาการเมืองไม่นิ่ง
ต้องเน้นติดตามผลเบิกจ่ายและจัดเก็บรายได้มากกว่า
ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยล่าสุดยอดจัดเก็บเกินกว่าเป้าแล้ว 5
พันล้านบาท และสามารถเบิกจ่ายได้จริงถึง 38% ของเงินงบประมาณ 49
ชี้ภาครัฐยังต้องเป็นผู้นำการลงทุน หลังภาคเอกชนชะลอการลงทุน
ขณะที่ผลวิจัยเครื่องมือเตือนภัยด้านการคลังเบื้องต้นระบุ
สถานะเงินคงคลัง-ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคเป็น 2 ความเสี่ยง
ที่ต้องติดตามใกล้ชิด
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุ
กระทรวงการคลังจะไม่มีการออกมาตรการใด ๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้
เพราะสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง
ซึ่งเกิดการชุมนุมของกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล
หากดำเนินการไปคงไม่ได้ผลเท่าที่ควร
แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้ คือ การจัดเก็บรายได้
ให้เป็นไปตามเป้าหมาย และกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐเร่งเบิกจ่าย
และใช้เงินงบประมาณให้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะด้านการลงทุน
เพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคเอกชนชะลอการลงทุน
"เราเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจขณะนี้ไม่ได้ เพราะการเมืองไม่นิ่ง
สิ่งที่ทำได้ คือ เร่งรัดการเบิกจ่าย จัดเก็บรายได้ให้ได้ตามเป้าหมาย
และให้หน่วยงานภาครัฐเร่งลงทุน เพราะต้องยอมรับว่า
เราจะหวังให้ต่างชาติ หรือภาคเอกชนเข้าลงทุนในช่วงนี้คงไม่ได้
ดังนั้นภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำในการลงทุนอีกระยะหนึ่งหรืออีก 1 ปี
จากเดิมที่หวังว่าภาคเอกชนจะเป็นผู้นำในการลงทุนนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป"
สำหรับการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2549 นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548
ถึงปัจจุบัน สามารถจัดเก็บรายได้เกินกว่าเป้าหมายแล้วกว่า 5
พันล้านบาท
ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ 2549
นับตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สามารถเบิกจ่ายได้แล้ว 38% ของ
เงินงบประมาณ หรือเบิกจ่ายได้จริง 522,579 ล้านบาท
สูงกว่าแผนการเบิกจ่าย ซึ่งอยู่ที่ 524,384 ล้านบาท
เขากล่าวว่า แม้กระทรวงการคลัง
จะไม่สามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้ได้
แต่ก็ต้องเตรียมมาตรการ เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้เดินหน้า
และมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไว้ เพราะเชื่อว่า
น่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว
ทั้งนี้มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ที่อยู่ระหว่างดำเนินการในขณะนี้ คือ
การปรับโครงสร้างภาษีอุตสาหกรรมอาหาร
และปรับโครงสร้างภาษีอุตสาหกรรมยานยนต์
เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมดังกล่าวในภูมิภาค
ซึ่งขณะนี้ ได้ดำเนินการมาระดับหนึ่งแล้ว ส่วนมาตรการอื่น ๆ
ต้องรอนโยบายจากรัฐบาลชุดใหม่
เขายังกล่าวถึงความคืบหน้าของการจัดทำเครื่องมือเตือนภัยด้านการคลังว่า
ขณะนี้ดำเนินการได้ระดับหนึ่ง
โดยได้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการใน 4 ด้าน ต่อ ดร.ทนง
พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ประกอบด้วย
สัญญาณเตือนภัยสถานะเงินคงคลังของรัฐบาลที่แท้จริง
สัญญาณเตือนภัยจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค
สัญญาณเตือนภัยจากความเสี่ยงของหนี้สาธารณะ
และสัญญาณเตือนภัยจากโครงสร้างรายได้และรายจ่ายของรัฐบาล
"เราได้เสนอให้รมว.คลังได้รับทราบในเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดทำเครื่องมือเตือนภัยดังกล่าว
แต่ข้อมูลที่ได้ยังไม่ครบที่จะสามารถบ่งบอกถึงสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจน
โดยเฉพาะ
ด้านสถานะเงินคงคลังของรัฐบาล ซึ่ง รมว.คลังได้ให้นโยบายไปว่า
นอกจากจะมีการจัดเก็บข้อมูลย้อนหลังและ
มองไปข้างหน้าแล้ว
ยังต้องมีวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย
ส่วนความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค
ก็ต้องจับกระแสล่วงหน้าให้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพื่อเตือนภัยการคลัง
เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ"
เขากล่าวด้วยว่า
เท่าที่ประเมินความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค
จากตัวเลขของการลงทุน การส่งออก และการท่องเที่ยวในปัจจุบัน พบว่า
ยังไม่มีสัญญาณใดที่ถือเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจในขณะนี้
โดยตัวเลขต่าง ๆ ยังอยู่ในเป้าหมาย
ส่วนความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะและความเสี่ยงจากโครงสร้างรายได้และรายจ่ายของรัฐบาลก็ไม่น่าเป็นห่วง
โดยในส่วนหนี้สาธารณะ ขณะนี้ ก็ปรับลดลงตามลำดับ และอยู่ต่ำกว่า ระดับ
50% ของจีดีพี ส่วนโครงสร้างรายได้ของรัฐบาล
ก็มีแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน ส่วนโครงสร้างรายจ่าย
ก็ไม่ได้ใช้เพื่อการทหารและกิจการที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตมากเกินไป
"ที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจะมี 2 ความเสี่ยง คือ
ความเสี่ยงที่เกิดจากสถานะเงินคงคลังของรัฐบาล
และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจมหภาค เพราะบางส่วนเกิดจากปัจจัยภายนอก
ส่วนความเสี่ยงที่เกิดจากหนี้สาธารณะและความเสี่ยงที่เกิดจากโครงสร้างรายได้และรายจ่ายนั้นไม่น่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ เราจะเร่งดำเนินการวิจัย
เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของทั้ง 4 ด้านให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น"
ดร.สมชัย กล่าว
กรุงเทพธุรกิจ 20 มีนาคม 2549