นี่เป็นอีกครั้งที่ผู้บันทึกเองมีโอกาสได้เข้าร่วม UKM (University Knowledge Management : เครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 13 โดย มอ.(มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน และครั้งนี้มาจัดที่จังหวัดกระบี่ (เป็นจังหวัดใฝ่ฝันส่วนตัวในการท่องเที่ยวเลย) ออกเดินทางจากพิษณุโลกตั้งแต่เช้าวันที่ 31 ก.ค.แล้ว มาแวะที่รัฐสภาก่อน เพราะมีผู้ร่วมเดินทางในคณะบางท่านต้องไปประชุมกับสำนักงบประมาณ และเดินทางมาถึงจังหวัดกระบี่ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน และเจ้าพ่อ BAR ก็กลับมาอีกครั้ง (อิอิ) เพราะ อ.วิบูลย์ ผู้นำทีม มน.ได้เรียกประชุมซักซ้อมการเข้าร่วม BAR ครั้งนี้เริ่มตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงเกือบเที่ยงคืน ทำเอาท่าน อ.หลายท่านนั่งหลับเลยทีเดียว ความจริงแล้วเราได้ BAR กันหลายครั้งมากทั้งร้านอาหาร ทั้งที่สนามบิน และมาจบที่ห้องพักกันรอบสุดท้าย คณะเดินทางครั้งนี้มีทั้งหมด 8 คน คือ
1. ผศ.ดร.วิบูลย์ วัฒนาธร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและประกันคุณภาพ
2. ผศ.ดร.ศจี สุวรรณศรี คณะเกษตรฯ
3. ผศ.ดร.อัษฎางค์ พลนอก คณะเภสัชฯ
4. ดร.ต่อพงศ์ กรีธาชาติ พะเยา
5. รศ.ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ คณะสถาปัต ฯ
6. อ.สมลักษณ์ วงศ์สมาโนดน์ คณะวิทย์
ผู้บันทึก และคุณพัช (QAU)
เช้าวันที่ 1 ส.ค.เป็นวันแรกของการประชุม UKM13 นี้ เปิดการประชุมและกล่าวต้อนรับโดยท่านอธิการบดีของ มอ. (รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข) จากนั้นท่านอ.หมอวิจารณ์ (ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช) ได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่องการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ และมีการเล่าเรื่องการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์แต่ละด้านของแต่ละมหาวิทยาลัย ในด้านชุมชนนั้น อ.จิรวัฒน์ จาก มน.ได้เป็นตัวแทนเล่าเรื่อง ซึ่งพอขึ้นเวทีเล่าเรื่องปุ๊บ ก็ทำตัวเป็นเจ้าพ่อทอล์กโชว์ (แซวเล่นนะคะ อิอิ) เพราะเรื่องที่ อ.จิ เล่านั้นเป็นเรื่องที่ อ.จิได้สัมผัสมานานมากนั่นคือ เรื่องของป้าปุ้ย แห่งชุมชนท่าโพธิ์ ในงานเรื่องเครื่องปั้นดินเผา หลายท่านอาจจะได้ฟังเรื่องนี้มาแล้วจากการจัด มหกรรม KM ภูมิภาคคั้งที่ 1 เมื่อปลายเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว แต่ก็มีพัฒนาการที่ต่างจากครั้งที่แล้วมาก ฟังทีไรก็มีความสุขทุกที เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวผู้บันทึกเองด้วยมั้ง เลยทำให้เห็นภาพได้ง่าย ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งคือ ช่วงบ่ายมีพิธีลงนามความร่วมมือในการจัด UKM ในช่วงที่ 2 (ต่อจากช่วงแรก 3 ปี) โดยมีอธิการบดี รองอธิการบดี และผู้แทนจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายทั้ง 7 มหาวิทยาลัยลงนาม ส่วนการแบ่งกลุ่มเล่าเรื่องในครั้งนี้มีแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทั้ง 4 ด้าน คือ การเรียนการสอน การปฏิบัติงานประจำ ด้านชุมชน และในเชิงพานิชย์ โดยทาง มน. ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมทั้ง 4 กลุ่ม
วันที่ 2 ส.ค.ก็มีการส่งตัวแทนแต่ละกลุ่มเล่าบรรยากาศของกลุ่ม และเรื่องที่น่าสนใจที่สุดของแต่ละกลุ่มให้ฟัง กลุ่มของด้านเชิงพานิชย์ อ.จาก มน.เป็นตัวแทนในการเล่าคือ อ.ศจี และปิดท้ายด้วยการกล่าวสรุปเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้มากประสบการณ์ 4 ท่าน คือ ท่าน อ.หมอวิจารณ์ ท่านอ.รังสรรค์ มข. ท่าน อ.กีร์รัตน์ มวล. และท่าน อ.วิบูลย์ มน.
ในฐานะตัวแทนของผู้ประสานงานของ มน. ผู้บันทึกเองเห็นว่าการจัดงานในแต่ละครั้งจะมีโอกาสได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เสมอ ทั้งจากเจ้าภาพเองและจากผู้เข้าร่วมที่ออกมานำเสนอประสบการณ์ที่เป็นแบบอย่างในแต่ละครั้ง แต่ Theme ของการจัด UKM ในปีนี้ จะเน้นไปทางด้าน R2R อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวของผู้บันทึก เพราะไม่สนใจเรื่องการวิจัยเท่าไรนัก แต่มาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของการจัดในหัวข้อ R2R นี้ ก็ทำให้ผู้บันทึกมีความรู้สึกว่าการวิจัยเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และอยากจะทำวิจัยกะเค้ามั่งซะแล้วสิเนี่ย
“คำพูดทิ้งท้ายของ อ.หมอวิจารณ์ว่า UKM ก็คือ KM เป็นเพียงเครื่องมือที่เราต้องนำเอาไปใช้ ไปปรับเองให้เหมาะกับบริบทของแต่ละคนแต่ละมหาวิทยาลัย” ถึงเวลาที่ต้องหันมาสนใจการวิจัยอย่างจริงจังซะแล้วสิ ขอนำภาพบรรยากาศมาฝากค่ะ
ช่วงท้ายของการประชุม
รัตน์ทวี อ่อนดีกุล
สวัสดีจ้าพี่โอ
แวะมาชมภาพบรรยากาศ UKM 13 จ้า
น้องใหม่มาหัดเรียนรู้ดูงานจ้า...อิอิ
เห็นภาพช่วงเข้า Bar กันแล้ว อยากไปด้วยจัง ไม่ได้อยากไปประชุมหรอกนะจ๊ะ อยากเข้า Bar มากกว่า เพราะอยากเมา (เม๊าท์) จนหลับ
มาอ่านค่ะ...ตัวเองยังไม่มีปัญญาสกัดออกมาเลย...โอจ๋าช่วยด้วย...แง...แง
หวัดดีครับพี่โอ...แอบตามมาป่วนที่นี่ด้วย..
เซียนอย่างนี้..คงต้องให้พี่โอช่วยสอนเรื่อง km ซะแล้ว..
แล้วจะแวะมาใหม่นะครับ..