“อยู่ก็ขอให้หมดเนื้อหมดตัว ตายก็ขออย่าได้ผุดได้เกิด”
วลีนี้ช่างถือเป็นคำสาปแช่งที่หนักหน่วงเหลือเกิน การจะผรุสวาทคำนี้ใส่ใคร ๆ ย่อมหมายถึงว่า ผู้กล่าวขณะมีอารมณ์เคียดแค้นชิงชัง ประสงค์ให้ผู้ได้รับถึงกับต้องพินาศฉิบหายย่อยยับดับดิ้นไปต่อหน้าต่อตา หากแม้นตายไปแล้วก็ขอให้ทนทุกข์ทรมานอย่าได้กับมาเกิด หรือพบกันอีก ส่วนผู้รับก็เช่นกันหากได้ยินใครมอบคำนี้มาให้ นั้นหมายถึงชาตินี้ถึงกับไม่ต้องมานับญาติ เผาผี กันเลยทีเดียว
แต่ใครบ้างจะรู้ไหมว่าคำว่า “อยู่ก็ขอให้หมดเนื้อหมดตัว ตายก็ขออย่าได้ผุดได้เกิด” หากพิจารณาให้เห็นอย่างถ่องแท้แล้ว คำคำนี้ กลับกลายเป็นคำอวยพรที่สุดประเสริฐของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
คำว่า “อยู่ก็ขอให้หมดเนื้อหมดตัว” นั่นหมายความว่า เมื่อยามยังมีชีวิตอยู่นี้ก็ขอให้หมดเสียซึ่งตัวตนของตน หรือหมดเสียซึ่ง “ตัวกู ของกู” ตามที่ท่านพุทธทาสได้พร่ำสอนไว้ หากชำระจิตใจให้ขาวรอบหมดจดได้ จนไม่เหลือซึ่งตัวตนของตน นั่นย่อมถึงซึ่งความดับสนิท ถอนได้หมดแล้วซึ่งอวิชชา เป็นบรมสุขที่เรียกขานว่า นิพพาน นั่นเอง
คำว่า “ตายก็ขออย่าได้ผุดได้เกิด” นี่ก็เช่นกัน ย่อมหมายถึง เมื่อดับเย็นสนิท ไม่เหลือเชื้อที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดภพ เกิดชาติอีกต่อไปแล้ว ย่อมไม่ต้องกลับมาผุด ( โอปปาติกะ) หรือกลับมาเกิดวนเวียนในสังสารวัฏ อีก
คำคำเดียวกัน แต่ปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลสตัณหา กับกลายเป็นคำสาปแช่งอันหยาบคายถึงกับฟังไม่ได้ ส่วนกัลยาณชนผู้มีดวงตาเห็นธรรมกลับกลายเห็นเป็นคำอวยพรที่สุดแสนจะประเสริฐ
แล้วท่านหละ ได้ยินใครเอ่ยวาจานี้ออกมาใส่ท่าน ท่านเห็นเป็นอย่างไร ??
ตอนแรกก็คิดว่าเป็นคำสาปแช่งแน่ๆ รุนแรงไป แต่เมื่ออ่านคำอธิบายแล้วจึงเห็นด้วยว่า
อยู่ก็ขอให้หมดเนื้อหมดตัว ตายก็ขออย่าได้ผุดได้เกิด เป็นคำอวยพรที่ลึกซึ้งจริงๆคะ
ขอบคุณ คุณศิริ อ่องพิมาย ครับที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
"เป็นคำอวยพรที่ลึกซึ้งจริงๆคะ "
นั่นนะซิครับ
ลึก ๆ มากจนใคร ๆ ก็อาจทนฟังไม่ได้
ผมก็ไม่เคยอวยพรคำนี้ให้กับใครเลยครับ
และขอมอบให้ คุณศิริ อ่องพิมาย เป็นคนแรกเลยครับในฐานะกัลยาณชน ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกัน