การที่คุณครูจะเสริมสร้างบุคลิกภาพความเป็นนักประชาสัมพันธ์ให้สอดรับกับยุคสมัยปัจจุบันนี้นั้น...คงจะมิใช่ตีกรอบเฉพาะ “หล่อ สวย พูดดี มีวุฒิการสื่อสารมวลชน”...อย่างแน่นอน
หากแต่ต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในวิชาชีพครูเป็นการเบื้องต้น ประการหนึ่ง
และต้องเชื่อมั่นในพลังแห่งการพัฒนาแบบอินฟินี้ตี้ของตนเป็นประการที่สอง
ประการสุดท้าย...ต้องเชื่อว่าเทคนิควิธีประชาสัมพันธ์เป็นกลยุทธ์หนึ่งของการพัฒนาตนเอง
ไม่ทำก็ได้ ทำก็ได้...ไม่มีระเบียบกติกาใดใดกำกับและบัญญัติไว้ให้ต้องทำ...ต้องทำ ซะเมื่อไหร่....
ที่ว่า...ครูจะได้10 คะแนนจากการเผยแพร่ผลงานในการประเมินวิทยฐานะหรือ
ที่ว่า...การเผยแพร่คุณภาพผลงานเพื่อต่ออายุใบประกอบวิชาชีพหรือ
ที่ว่า...สถานศึกษาต้องรายงานคุณภาพสู่สาธารณชนตามเกณฑ์สมศ.
เบื้องต้นนี้...คุณครูต้องสมมติฐานไว้เป็นหัวเชื้อก่อนว่า การเสริมสร้างบุคลิกภาพทางด้านการประชาสัมพันธ์เป็นเพียงการเสริมเขี้ยวเล็บและวิทยายุทธ์ “การจัดการเรียนการสอน” และ “กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการสอน” ให้เก่งกล้าสามารถเฉียบคมและสมาร์ททันสมัยทันสมองมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าหากเชื่อมั่นในตนตัวว่าดีแล้ว พอแล้ว ไม่ประสงค์ที่จะสร้างเสริมเพิ่มเติมศักยภาพด้านการประชาสัมพันธ์ตนเองให้เมื่อยตุ้ม....
ก็ควรมองข้ามหรือคลิ้กเคลียร์บัญชร “เครื่องเคียงคุณครู”นี้ไปเสีย....อย่าเสียเวลาติดตามอ่านเลยครับ !
และแน่นอนที่ว่า “การประชาสัมพันธ์” ก็มิใช่ “การรายงานข่าว”แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งหากเป็นประการหลัง คุณครูก็คงไม่มีเวลาที่จะทำข่าว เขียนข่าว หรือทำหน้าที่ถ่ายภาพเป็นข่าวไปเผยแพร่ในสื่อใดๆ เพราะหน้าที่หลักของครู คือ สอน เขาถึงมีการเขียนกฎกติกาให้มีเจ้าหน้าที่การเงินโรงเรียน ธุรการโรงเรียน โดยจะมีการโอนย้ายตำแหน่งบุคลากรปฏิบัติหน้าที่บนสำนักงานให้ลงไปทำงานแทนครูในโรงเรียน...ซึ่งจะต้องไปทำหน้าที่สอนเพียงอย่างเดียว....
เพราะเหตุนี้กระมัง...สพฐ.จึงกำหนดให้ทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศมีบุคลากรทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ อยู่ในกลุ่มอำนวยการโดยมีรองผู้อำนวยการสำนักงานฯคนหนึ่งคอยกำกับดูแลและบริหารจัดการอีกชั้นหนึ่ง....
ตัวช่วยงานประชาสัมพันธ์คุณครูและโรงเรียนมีอยู่ครับที่เขตพื้นที่...เพียงแต่ว่า การเริ่มต้น “ตีปี๊บ”อย่างคลาสสิคและพื้นแน่นด้วยฐานข้อมูลจากแหล่งข่าวต้นทาง...
ย่อมถูกต้อง ถูกทางและถูกใจ คุณครูมากกว่า....มิใช่หรือ ?
ไม่มีความเห็น