ตามหาความสุข 2


จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ทุกๆ ฝ่ายที่กำลังอ้างว่าตนเองกำลังทำเพื่อชาติของเราจะ "ถอย" กันคนละก้าว การยอมถอยคนละก้าวจะทำให้เราทุกคนมีพื้นที่ว่างสำหรับอากาศบริสุทธิ์ขึ้นอีกมาก ที่จะเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเจรจา พูดคุยกัน ด้วยจิตด้วยใจของคนไทยด้วยกัน

"รักเธอ...ประเทศไทย"

เมื่อปลายเดือนมิถุนายนได้มีโอกาสชมคอนเสิร์ตการกุศล "ไทยธนาคารภูมิใจไทย"  ต้องขอขอบคุณไทยธนาคารที่ได้จัดงานแบบนี้ให้ชาวขอนแก่นได้ชมกัน  คอนเสิร์ตนี้เป็นการแสดงดนตรีของวงซิมโฟนีกรุงเทพ (Bangkok Symphony Orchestra) ร่วมกับการขับร้องของเหล่าศิลปินหลายท่าน  ตั้งแต่รุ่นเก่าระดับปรมาจารย์ จนถึงรุ่นปัจจุบัน เช่น คุณชรินทร์  นันทนาคร  คุณชินกร ไกรลาศ  แม่ฉวีวรรณ พันธุ (ราชินีหมอลำ) คุณนันทิดา  แก้วบัวสาย  เป็นต้น  การแสดงแบ่งเป็นยุคจากอดีตถึงปัจจุบันของเพลงไทย  ซึ่งวงซิมโฟนีกรุงเทพก็ได้บรรจงขับกล่อมท่วงทำนองที่สอดคล้องได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

ก่อนเข้าชม  ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก  เพียงแค่อยากชมการแสดงที่มีคุณภาพของประเทศไทย  เท่านี้ก็คุ้มค่าตั๋วมากแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่า  เมื่อชมการแสดงไปได้ไม่กี่เพลงในยุค "การเดินทางสู่อีสาน" ขณะที่ศิลปินกำลังขับกล่อมด้วยเพลง "บายศรีสู่ขวัญ"  ประกอบการฟ้อนอันงดงามบนเวที  น้ำตาผมก็ไหลโดยไม่รู้ตัว  บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม แต่เหมือนเสียงสะกิดเตือนให้นึกถึง ความงดงามแห่งความเป็นไทย  ความเอื้ออาทร  ความสงบร่มเย็นของผืนแผ่นดินแห่งนี้ในอดีต สมัยบรรพชนของพวกเรา  ที่ในขณะนี้ผมเริ่มไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรว่ายังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่  จากภาพที่เห็นและข่าวที่ได้ยินทุกวี่วันถึงการต่อสู้ของกลุ่มต่างๆ  คนในสังคมที่เอื้ออาทรกันน้อยลงตามวิถีชีวิตสมัยใหม่ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ถูกผู้เห็นแก่ตัว (ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน) ทำลายลงอย่างรวดเร็ว 

ยิ่งเมื่อฟังคุณชินกร ไกรลาศในบทเพลง "อิฐเก่าเล่าตำนาน" ต่อ  น้ำตาผมยิ่งไหลออกมามากขึ้น  บทเพลงนี้กล่าวถึงคุณค่าของอิฐที่ถูกนำมาสร้างกำแพงเมืองกรุงเก่า  แต่ภายหลังถูกทำลายเมื่อเสียกรุง  โดยได้เปรียบเปรยว่าอิฐเก่าๆ เหล่านี้ต่อมาก็ถูกนำมาสร้างเมืองหลวงอีก 2 เมืองคือกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์  แม้ว่าอิฐก้อนเก่าๆ จะบอบช้ำเพียงใด  แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องลูกหลานไทยตราบจนทุกวันนี้

ไม่คิดว่าตนเองจะอ่อนไหวไปกับบทเพลงได้ขนาดนี้  พยายามแอบเอามือปาดน้ำตา เพราะกลัวคนข้างๆ จะเขม่นเอา  ความคิดแว็บหนึ่งในตอนนั้นก็คือ  ในใจลึกๆ  รู้สึกสงสารประเทศไทย ที่กำลังถูกถาโถมด้วยปัญหาหลายๆ ด้าน จิตใจของผมคงไม่ต่างจากคนไทยคนอื่นๆ ที่เปรียบเสมือนเชือกที่พันเกลียวจนตึงเพิ่มขึ้นทุกวัน  เมื่อได้มีจังหวะที่ได้หยุดฟังเสียงจากหัวใจของตนเองในตอนนี้  น้ำตาแห่งความซาบซึ้งจึงเอ่อล้นอย่างไม่คาดมาก่อน

ผมอยากให้ผู้ที่กำลังอภิปรายกันอย่างดุเดือดในสภาฯ  กลุ่มพันธมิตร  กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศงดงามในจิตใจเช่นนี้บ้างเหลือเกิน   บางทีอาจจะทำให้ฉุกคิดได้ว่า  ทุกคนกำลังทำเพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราอยู่จริงหรือ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเตือนสติ พล อ. สุจินดา และ พล ต. จำลองไว้เมื่อเหตุการณ์ พ.ค. 2535 มีใจความว่า หากคนใดคนหนึ่งชนะ บนกองซากปรักหักพัง  จะมีประโยชน์อันใด  การต่อสู้เช่นนี้  คนที่จะแพ้คือ ประเทศไทย

จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า  ทุกๆ ฝ่ายที่กำลังอ้างว่าตนเองกำลังทำเพื่อชาติของเราจะ "ถอย" กันคนละก้าว  การยอมถอยคนละก้าวจะทำให้เราทุกคนมีพื้นที่ว่างสำหรับอากาศบริสุทธิ์ขึ้นอีกมาก  ที่จะเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเจรจา  พูดคุยกัน ด้วยจิตด้วยใจของคนไทยด้วยกัน  มีภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ถอยเพียงหนึ่งก้าว  คลื่นลมพลันสงบ  ท้องนภาก็พลันสดใส"

บทเพลง "ภูมิใจไทย" ครั้งนี้ ให้ผมมากกว่าที่คิดไว้มากมาย  เสียงบรรเลงที่ไพเราะ  มีพลัง  เสียงขับร้องที่ช่วยสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนยังคงแว่วอยู่ในโสตประสาทของผม  หลายๆ ภาพแห่งอดีตที่แสดงถึงความงดงามของกรุงสยาม ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นในจิตนาการ  บางอย่างในจิตสำนึกบอกผมว่า  การเสียกรุงในอดีตก็เกิดจากความแตกแยกของชนในชาติ  การฉ้อราษฏร์บังหลวง  ขณะนี้ประเทศไทยของเราก็กำลังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกันอีกครั้ง  เสมือนบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า 

เพียงแต่การเสียกรุงในคราวนี้อาจแตกต่างจากครั้งใดๆ ที่ผ่านมา

หมายเลขบันทึก: 194487เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2008 11:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน 2012 21:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณ บันทึกดีๆนี้ค่ะ

การแสดงดีๆเช่นนี้ หากได้เผยแพร่ให้คนไทยทั้งประเทศได้ชม คงจะดีไม่น้อยนะคะ

น่าส่งเสริมค่ะ

การแก้ปัญหาชีวิตคล้ายการขับรถ

หลายครั้งที่ผมได้รับบทเรียนในการดำเนินชีวิตจากการขับรถไปกลับสถานที่ทำงาน  ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยก ร้านคุณหมอนำชัย ตามเส้นทางที่คุ้นเคยประจำ  ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงแถบขาวแดงบริเวณหัวมุมสี่แยก  ทำให้ผมต้องเบี่ยงพวงมาลัยเพื่อหลบรถคันที่จอดอยู่อย่างฉับพลัน  ความรู้สึกแว๊บหนึ่งในขณะนั้นคือหงุดหงิดและตำหนิเจ้าของรถที่ไม่สนใจกับกติกาของกฎจราจร  ซึ่งอาจทำให้ตนเองและผู้อื่นลำบาก  แถมยังคิดต่อไปว่า ถ้าเกิดมีใครที่ฉุนเฉียวรถคันนี้จนถึงขนาดลงไปทำร้ายรถคันนั้น แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  เจ้าของรถก็คงหาผู้กระทำผิดไม่ได้  แล้วจะเกิดอะไรขึ้น 

เหตุการณ์ในวันนั้นสะท้อนให้ผมนึกถึงว่า  ในสังคมของเรายังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ทำตามกฎกติกาอยู่  แต่ถ้าเราตัดสินโทษจัดการกับเขาเหล่านั้นด้วยวิธีทำร้ายคนเหล่านั้นซะเอง  แทนที่จะปล่อยให้ตำรวจจราจรเป็นผู้ตัดสินโทษของเขาด้วยการเขียนใบสั่ง  สังคมก็คงจะวุ่นวายมาก  และตัวเราก็คงได้รับความเสียหายด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แต่ที่สำคัญก็คือ  ผู้รักษากฏ กติกา ของสังคมก็ต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้  ไม่โอนอ่อน ยอมตามอามิส สินจ้าง หรือพวกพ้อง  และควรให้ความยุติธรรมต่อประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน

เมื่อนั้น  สังคมของเราก็คงมีความเป็นระเบียบ เรียบร้อย และมีความสุขมากขึ้นกว่าทุกวันนี้ 

จงใช้ชีวิตเหมือนรถเปลี่ยนเลน

ขอเสริมเรื่องบทเรียนที่อาจารย์ได้จากการขับรถอีกนิดนะครับ 

อาจารย์เป็นคนหนึ่งที่อาจจะไม่ชอบความเสี่ยง ดังนั้นเวลาขับรถทางไกลจะไม่ชอบขับอยู่เลน (ช่องทาง) ขวาตลอดเวลา  เพราะรู้สึกเกร็ง ทั้งสมอง ทั้งไหล่ ทั้งแขนขาและมือ  ทุกอย่างบนเลนขวานั้นเร่งรีบ  ฉับไว การตัดสินใจพลาดนิดเดียวอาจหมายถึงความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง 

อาจารย์จึงมักจะสลับเปลี่ยนมาอยู่เลนซ้ายบ้างเป็นระยะ  การได้อยู่เลนซ้ายสักพักทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ได้มีเวลาคิดอะไรกับตัวเองบ้าง แล้วยังได้ชื่นชมกับธรรมชาติและทิวทัศน์รอบข้าง แม้ว่าจะไปถึงที่หมายช้าสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร

ศิษย์คิดว่าการดำเนินชีวิตของเราคล้ายกับการขับรถทางไกลอย่างที่อาจารย์รู้สึกหรือไม่ครับ  หลายคนพยายามขับชีวิตของตนเองอยู่ในเลนขวาตลอดเวลา  เขาอาจจะถึงที่หมายไวกว่าคนอื่น  แต่ในระหว่างทางเขาอาจเสียโอกาสที่จะชื่นชมกับความสวยงามของชีวิต

อาจารย์จึงอยากฝากให้ศิษย์และผู้อ่านลองหันมาดำเนินชีวิตในเลนซ้ายกันบ้าง นอกจากเป็นการเผื่อแผ่ให้กับคนที่เร่งรีบกว่าเราแล้ว ยังเป็นการเติมพลังให้ตนเองสำหรับเวลาที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนไปอยู่เลนขวาอีกด้วย

เขียนความสุขบนแผ่นหิน เขียนความทุกข์บนผืนทราย

ในวันวาเลนไทน์ที่เพิ่งผ่านมา อาจารย์ได้ฟังศิษย์คนหนึ่งเล่านิทานหน้าชั้นเรียน เกี่ยวกับ เพื่อนรักสองคนที่ไปตกระกำลำบากในทะเลทราย  กำลังกระหายน้ำอย่างที่สุด  ก็เลยเกิดมีปากเสียงกันเพราะความเหนื่อย  เพื่อนคนที่หนึ่งโทษเพื่อนคนที่สองว่าเป็นเพราะเธอทีเดียวที่ทำให้เราต้องลำบากเช่นนี้  แล้วก็ตบหน้าเพื่อนคนนั้นหนึ่งที  เพื่อนคนที่ถูกตบไม่ได้โต้ตอบกลับแต่อย่างไร  ได้แต่ก้มหน้าลงเขียนข้อความว่า "วันนี้ ฉันถูกเพื่อนที่ฉันรักที่สุดตบหน้าหนึ่งที"

ในที่สุดทั้งสองก็เดินทางมาถึงแหล่งน้ำ  ความเหนื่อยก็พลันมลายหายไปสิ้น  เพื่อนคนที่หนึ่งที่อารมณ์เสียในตอนแรกไปตักน้ำมาให้เพื่อนคนทีสอง เพื่อนคนที่สองเมื่อได้ดื่มน้ำจนพอใจแล้วจึงหยิบก้อนกรวดก้อนหนึ่งแล้วขีดเขียนไปบนโขดหินว่า "วันนี้  เพื่อนที่ฉันรักที่สุดนำน้ำมาให้ฉันดื่ม"

เมื่อถูกเพื่อนคนที่หนึ่งถามว่าทำไมจึงเขียนข้อความบนผืนทรายตอนโดนตบหน้า และจึงเขียนข้อความบนแผ่นหินเมื่อได้ดื่มน้ำ  เพื่อนคนที่สองจึงตอบว่า  "ฉันเขียนข้อความบนผืนทรายก็เพราะมันจะถูกลบได้โดยง่ายดาย และฉันเขียนข้อความบนแผ่นหิน ก็เพราะมันจะถูกจารึกเอาไว้ไม่มีวันเสื่อมคลายไงล่ะ"

นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดที่ดีในวันแห่งความรักนี้  และเตือนให้เราฉุกคิดว่า  ทุกวันนี้เราส่วนใหญ่มักจะทำกลับกัน  คือชอบเขียนความทุกข์ไว้บนแผ่นหิน และเขียนความสุขไว้บนผืนทราย

หากทบทวนดีๆ  จะพบว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในแต่ละวันมากมายที่เป็นเรื่องดีๆ ไม่ว่าจะเป็นการมีสุขภาพที่ดีไม่เจ็บไม่ป่วย มีอวัยวะครบสามสิบสอง การได้มีโอกาสเรียนหนังสือ หรือทำงานที่ตนเองชอบ  มีเพื่อนที่รู้ใจ  มีครอบครัวที่อบอุ่น  มีสังคมที่ดี ได้มีความสุขจากการลิ้มรสอาหาร  จากการฟังเพลง  จากการชมภาพยนตร์ จากการเล่นกีฬา ฯลฯ แต่เรามักจะปล่อยให้สิ่งดีๆ เหล่านี้ลบเลือนไปอย่างง่ายดาย  เหมือนกับตัวหนังสือที่เขียนไว้บนพื้นทราย  โดยลืมไปว่า หากวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเราไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อีก  เราจะทุกข์เพียงใด

ลองนับดูเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้ศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ แล้วเทียบกับจำนวนเหตุการณ์ดีๆ เหล่านี้บ่อยๆ  อาจารย์เชื่อว่าศิษย์จะเริ่มมองเห็นความสุขในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น..

 

 

ได้อ่านบทความดีๆ จาก The Nation ฉบับ 25 พ.ค. 52 จึงนำมาฝากกันครับ

บทความ Managing Yourself

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท