"รักเธอ...ประเทศไทย"
เมื่อปลายเดือนมิถุนายนได้มีโอกาสชมคอนเสิร์ตการกุศล "ไทยธนาคารภูมิใจไทย" ต้องขอขอบคุณไทยธนาคารที่ได้จัดงานแบบนี้ให้ชาวขอนแก่นได้ชมกัน คอนเสิร์ตนี้เป็นการแสดงดนตรีของวงซิมโฟนีกรุงเทพ (Bangkok Symphony Orchestra) ร่วมกับการขับร้องของเหล่าศิลปินหลายท่าน ตั้งแต่รุ่นเก่าระดับปรมาจารย์ จนถึงรุ่นปัจจุบัน เช่น คุณชรินทร์ นันทนาคร คุณชินกร ไกรลาศ แม่ฉวีวรรณ พันธุ (ราชินีหมอลำ) คุณนันทิดา แก้วบัวสาย เป็นต้น การแสดงแบ่งเป็นยุคจากอดีตถึงปัจจุบันของเพลงไทย ซึ่งวงซิมโฟนีกรุงเทพก็ได้บรรจงขับกล่อมท่วงทำนองที่สอดคล้องได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
ก่อนเข้าชม ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เพียงแค่อยากชมการแสดงที่มีคุณภาพของประเทศไทย เท่านี้ก็คุ้มค่าตั๋วมากแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อชมการแสดงไปได้ไม่กี่เพลงในยุค "การเดินทางสู่อีสาน" ขณะที่ศิลปินกำลังขับกล่อมด้วยเพลง "บายศรีสู่ขวัญ" ประกอบการฟ้อนอันงดงามบนเวที น้ำตาผมก็ไหลโดยไม่รู้ตัว บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม แต่เหมือนเสียงสะกิดเตือนให้นึกถึง ความงดงามแห่งความเป็นไทย ความเอื้ออาทร ความสงบร่มเย็นของผืนแผ่นดินแห่งนี้ในอดีต สมัยบรรพชนของพวกเรา ที่ในขณะนี้ผมเริ่มไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรว่ายังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ จากภาพที่เห็นและข่าวที่ได้ยินทุกวี่วันถึงการต่อสู้ของกลุ่มต่างๆ คนในสังคมที่เอื้ออาทรกันน้อยลงตามวิถีชีวิตสมัยใหม่ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ถูกผู้เห็นแก่ตัว (ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน) ทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเมื่อฟังคุณชินกร ไกรลาศในบทเพลง "อิฐเก่าเล่าตำนาน" ต่อ น้ำตาผมยิ่งไหลออกมามากขึ้น บทเพลงนี้กล่าวถึงคุณค่าของอิฐที่ถูกนำมาสร้างกำแพงเมืองกรุงเก่า แต่ภายหลังถูกทำลายเมื่อเสียกรุง โดยได้เปรียบเปรยว่าอิฐเก่าๆ เหล่านี้ต่อมาก็ถูกนำมาสร้างเมืองหลวงอีก 2 เมืองคือกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ แม้ว่าอิฐก้อนเก่าๆ จะบอบช้ำเพียงใด แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องลูกหลานไทยตราบจนทุกวันนี้
ไม่คิดว่าตนเองจะอ่อนไหวไปกับบทเพลงได้ขนาดนี้ พยายามแอบเอามือปาดน้ำตา เพราะกลัวคนข้างๆ จะเขม่นเอา ความคิดแว็บหนึ่งในตอนนั้นก็คือ ในใจลึกๆ รู้สึกสงสารประเทศไทย ที่กำลังถูกถาโถมด้วยปัญหาหลายๆ ด้าน จิตใจของผมคงไม่ต่างจากคนไทยคนอื่นๆ ที่เปรียบเสมือนเชือกที่พันเกลียวจนตึงเพิ่มขึ้นทุกวัน เมื่อได้มีจังหวะที่ได้หยุดฟังเสียงจากหัวใจของตนเองในตอนนี้ น้ำตาแห่งความซาบซึ้งจึงเอ่อล้นอย่างไม่คาดมาก่อน
ผมอยากให้ผู้ที่กำลังอภิปรายกันอย่างดุเดือดในสภาฯ กลุ่มพันธมิตร กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศงดงามในจิตใจเช่นนี้บ้างเหลือเกิน บางทีอาจจะทำให้ฉุกคิดได้ว่า ทุกคนกำลังทำเพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราอยู่จริงหรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเตือนสติ พล อ. สุจินดา และ พล ต. จำลองไว้เมื่อเหตุการณ์ พ.ค. 2535 มีใจความว่า หากคนใดคนหนึ่งชนะ บนกองซากปรักหักพัง จะมีประโยชน์อันใด การต่อสู้เช่นนี้ คนที่จะแพ้คือ ประเทศไทย
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ทุกๆ ฝ่ายที่กำลังอ้างว่าตนเองกำลังทำเพื่อชาติของเราจะ "ถอย" กันคนละก้าว การยอมถอยคนละก้าวจะทำให้เราทุกคนมีพื้นที่ว่างสำหรับอากาศบริสุทธิ์ขึ้นอีกมาก ที่จะเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเจรจา พูดคุยกัน ด้วยจิตด้วยใจของคนไทยด้วยกัน มีภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ถอยเพียงหนึ่งก้าว คลื่นลมพลันสงบ ท้องนภาก็พลันสดใส"
บทเพลง "ภูมิใจไทย" ครั้งนี้ ให้ผมมากกว่าที่คิดไว้มากมาย เสียงบรรเลงที่ไพเราะ มีพลัง เสียงขับร้องที่ช่วยสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนยังคงแว่วอยู่ในโสตประสาทของผม หลายๆ ภาพแห่งอดีตที่แสดงถึงความงดงามของกรุงสยาม ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นในจิตนาการ บางอย่างในจิตสำนึกบอกผมว่า การเสียกรุงในอดีตก็เกิดจากความแตกแยกของชนในชาติ การฉ้อราษฏร์บังหลวง ขณะนี้ประเทศไทยของเราก็กำลังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกันอีกครั้ง เสมือนบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า
เพียงแต่การเสียกรุงในคราวนี้อาจแตกต่างจากครั้งใดๆ ที่ผ่านมา
ขอบคุณ บันทึกดีๆนี้ค่ะ
การแสดงดีๆเช่นนี้ หากได้เผยแพร่ให้คนไทยทั้งประเทศได้ชม คงจะดีไม่น้อยนะคะ
น่าส่งเสริมค่ะ
การแก้ปัญหาชีวิตคล้ายการขับรถ
หลายครั้งที่ผมได้รับบทเรียนในการดำเนินชีวิตจากการขับรถไปกลับสถานที่ทำงาน ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยก ร้านคุณหมอนำชัย ตามเส้นทางที่คุ้นเคยประจำ ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงแถบขาวแดงบริเวณหัวมุมสี่แยก ทำให้ผมต้องเบี่ยงพวงมาลัยเพื่อหลบรถคันที่จอดอยู่อย่างฉับพลัน ความรู้สึกแว๊บหนึ่งในขณะนั้นคือหงุดหงิดและตำหนิเจ้าของรถที่ไม่สนใจกับกติกาของกฎจราจร ซึ่งอาจทำให้ตนเองและผู้อื่นลำบาก แถมยังคิดต่อไปว่า ถ้าเกิดมีใครที่ฉุนเฉียวรถคันนี้จนถึงขนาดลงไปทำร้ายรถคันนั้น แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าของรถก็คงหาผู้กระทำผิดไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
เหตุการณ์ในวันนั้นสะท้อนให้ผมนึกถึงว่า ในสังคมของเรายังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ทำตามกฎกติกาอยู่ แต่ถ้าเราตัดสินโทษจัดการกับเขาเหล่านั้นด้วยวิธีทำร้ายคนเหล่านั้นซะเอง แทนที่จะปล่อยให้ตำรวจจราจรเป็นผู้ตัดสินโทษของเขาด้วยการเขียนใบสั่ง สังคมก็คงจะวุ่นวายมาก และตัวเราก็คงได้รับความเสียหายด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ที่สำคัญก็คือ ผู้รักษากฏ กติกา ของสังคมก็ต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ไม่โอนอ่อน ยอมตามอามิส สินจ้าง หรือพวกพ้อง และควรให้ความยุติธรรมต่อประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน
เมื่อนั้น สังคมของเราก็คงมีความเป็นระเบียบ เรียบร้อย และมีความสุขมากขึ้นกว่าทุกวันนี้
จงใช้ชีวิตเหมือนรถเปลี่ยนเลน
ขอเสริมเรื่องบทเรียนที่อาจารย์ได้จากการขับรถอีกนิดนะครับ
อาจารย์เป็นคนหนึ่งที่อาจจะไม่ชอบความเสี่ยง ดังนั้นเวลาขับรถทางไกลจะไม่ชอบขับอยู่เลน (ช่องทาง) ขวาตลอดเวลา เพราะรู้สึกเกร็ง ทั้งสมอง ทั้งไหล่ ทั้งแขนขาและมือ ทุกอย่างบนเลนขวานั้นเร่งรีบ ฉับไว การตัดสินใจพลาดนิดเดียวอาจหมายถึงความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
อาจารย์จึงมักจะสลับเปลี่ยนมาอยู่เลนซ้ายบ้างเป็นระยะ การได้อยู่เลนซ้ายสักพักทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ได้มีเวลาคิดอะไรกับตัวเองบ้าง แล้วยังได้ชื่นชมกับธรรมชาติและทิวทัศน์รอบข้าง แม้ว่าจะไปถึงที่หมายช้าสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร
ศิษย์คิดว่าการดำเนินชีวิตของเราคล้ายกับการขับรถทางไกลอย่างที่อาจารย์รู้สึกหรือไม่ครับ หลายคนพยายามขับชีวิตของตนเองอยู่ในเลนขวาตลอดเวลา เขาอาจจะถึงที่หมายไวกว่าคนอื่น แต่ในระหว่างทางเขาอาจเสียโอกาสที่จะชื่นชมกับความสวยงามของชีวิต
อาจารย์จึงอยากฝากให้ศิษย์และผู้อ่านลองหันมาดำเนินชีวิตในเลนซ้ายกันบ้าง นอกจากเป็นการเผื่อแผ่ให้กับคนที่เร่งรีบกว่าเราแล้ว ยังเป็นการเติมพลังให้ตนเองสำหรับเวลาที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนไปอยู่เลนขวาอีกด้วย
เขียนความสุขบนแผ่นหิน เขียนความทุกข์บนผืนทราย
ในวันวาเลนไทน์ที่เพิ่งผ่านมา อาจารย์ได้ฟังศิษย์คนหนึ่งเล่านิทานหน้าชั้นเรียน เกี่ยวกับ เพื่อนรักสองคนที่ไปตกระกำลำบากในทะเลทราย กำลังกระหายน้ำอย่างที่สุด ก็เลยเกิดมีปากเสียงกันเพราะความเหนื่อย เพื่อนคนที่หนึ่งโทษเพื่อนคนที่สองว่าเป็นเพราะเธอทีเดียวที่ทำให้เราต้องลำบากเช่นนี้ แล้วก็ตบหน้าเพื่อนคนนั้นหนึ่งที เพื่อนคนที่ถูกตบไม่ได้โต้ตอบกลับแต่อย่างไร ได้แต่ก้มหน้าลงเขียนข้อความว่า "วันนี้ ฉันถูกเพื่อนที่ฉันรักที่สุดตบหน้าหนึ่งที"
ในที่สุดทั้งสองก็เดินทางมาถึงแหล่งน้ำ ความเหนื่อยก็พลันมลายหายไปสิ้น เพื่อนคนที่หนึ่งที่อารมณ์เสียในตอนแรกไปตักน้ำมาให้เพื่อนคนทีสอง เพื่อนคนที่สองเมื่อได้ดื่มน้ำจนพอใจแล้วจึงหยิบก้อนกรวดก้อนหนึ่งแล้วขีดเขียนไปบนโขดหินว่า "วันนี้ เพื่อนที่ฉันรักที่สุดนำน้ำมาให้ฉันดื่ม"
เมื่อถูกเพื่อนคนที่หนึ่งถามว่าทำไมจึงเขียนข้อความบนผืนทรายตอนโดนตบหน้า และจึงเขียนข้อความบนแผ่นหินเมื่อได้ดื่มน้ำ เพื่อนคนที่สองจึงตอบว่า "ฉันเขียนข้อความบนผืนทรายก็เพราะมันจะถูกลบได้โดยง่ายดาย และฉันเขียนข้อความบนแผ่นหิน ก็เพราะมันจะถูกจารึกเอาไว้ไม่มีวันเสื่อมคลายไงล่ะ"
นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดที่ดีในวันแห่งความรักนี้ และเตือนให้เราฉุกคิดว่า ทุกวันนี้เราส่วนใหญ่มักจะทำกลับกัน คือชอบเขียนความทุกข์ไว้บนแผ่นหิน และเขียนความสุขไว้บนผืนทราย
หากทบทวนดีๆ จะพบว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในแต่ละวันมากมายที่เป็นเรื่องดีๆ ไม่ว่าจะเป็นการมีสุขภาพที่ดีไม่เจ็บไม่ป่วย มีอวัยวะครบสามสิบสอง การได้มีโอกาสเรียนหนังสือ หรือทำงานที่ตนเองชอบ มีเพื่อนที่รู้ใจ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีสังคมที่ดี ได้มีความสุขจากการลิ้มรสอาหาร จากการฟังเพลง จากการชมภาพยนตร์ จากการเล่นกีฬา ฯลฯ แต่เรามักจะปล่อยให้สิ่งดีๆ เหล่านี้ลบเลือนไปอย่างง่ายดาย เหมือนกับตัวหนังสือที่เขียนไว้บนพื้นทราย โดยลืมไปว่า หากวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเราไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อีก เราจะทุกข์เพียงใด
ลองนับดูเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้ศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ แล้วเทียบกับจำนวนเหตุการณ์ดีๆ เหล่านี้บ่อยๆ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์จะเริ่มมองเห็นความสุขในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น..
ได้อ่านบทความดีๆ จาก The Nation ฉบับ 25 พ.ค. 52 จึงนำมาฝากกันครับ