วันดี-ดีที่สบายใจ


ความขัดแย้งเป็นสิ่งธรรมดา เพียงแต่เรามองมันในแง่ลบเท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิด-ดับ เกิด-ดับ หากใครตามไม่ทัน ไปซื่อบื้อจับเอาไว้ อีกหน่อยอาจจะบ้าได้

วันดี-ดีที่สบายใจ

 

                เมื่อค่ำวันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา ภาษาของชาวคริสต์คงบอกว่า พระเจ้าทรงเรียก เพราะมีการบรรยายที่โบสถ์ และโดยบังเอิญ ใจง่ายตามคนชวนไปนั่งฟังด้วย หัวข้อการบรรยายคือ การบริหารความขัดแย้ง อยากรู้ว่าจะบริหารอย่างไร จะจัดการอย่างไร สองค่ำที่ผ่านไปจึงเหมือนกับมีคนมาเขี่ยผงที่เข้าตา จริงๆ ถ้านึกดีๆ เราคงรับรู้เรื่องนี้มาบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้าใจ ยังไม่ถึงเวลาที่จะลองเปลี่ยนตัวเอง แต่ด้วยอะไรหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้ คงทำให้เรารับอะไรง่ายขึ้น พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี เพื่อให้เราเองนั่นแหละมีความสุข

                คำพูดที่ทำให้เก็บมาคิด คือ ความขัดแย้งเป็นสิ่งธรรมดา คนเรา ต่างกัน มันย่อมเป็นธรรมดาที่จะเห็น จะทำ จะเข้าใจไม่เหมือนกัน และในที่สุดเราก็ขัดแย้งกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด เพียงแต่เรามองมันในแง่ลบเท่านั้นเอง หากใคร่ครวญดูดีๆ ล่ะว่าความขัดแย้งมันไม่ดีเสมอไปหรือไม่ ก็จะพบว่า ไม่ใช่ มันมีแง่ดีนะ ทำให้เราเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ทำให้ผลของงานดีขึ้น เพราะปรับความไม่เข้าใจที่เกิดจากการขัดแย้งกัน ที่สำคัญ หากเรามองประโยชน์สุดท้ายเป็นหมุดหมาย เช่น ความสุขของครอบครัว หรือผลงานขององค์กร เป็นต้น เราก็จะหาทางร่วมกันในการจัดการกับความขัดแย้งดังกล่าว คำถามคือ เราพร้อมจะทำความเข้าใจเช่นนั้นหรือไม่ เราไปกะเกณฑ์คนอื่นไม่ได้ แต่เราปรับความคิดของตัวเราเองได้ ดังนั้น ก็ควรเริ่มที่ตัวเองก่อน

                ช่างสอดคล้องเหลือเกินกับคำสอนทางพุทธศาสนา เมื่อครั้งหนึ่งเกิดความสับสนงุนงง และตามมาด้วยความสงสารตัวเอง และเห็นแก่ตัวในที่สุด แต่การดำเนินชีวิตก็ไม่มีความสุขแม้จะเห็นแก่ตัว จนไปเข้าวัดเพื่อสงบจิตใจตัวเอง คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิด-ดับ เกิด-ดับ หากใครตามมันไม่ทัน ไปจับมันเอาไว้ อีกหน่อยก็อาจจะบ้าได้ เพราะมันก็ดับไปแล้ว แต่เราไปซื่อบื้อเองที่ยังยึดติดกับมันอยู่

                สิ่งที่ฟังเมื่อสองวันที่ผ่านมารวมกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ฟุ้งขึ้นมาเจอกันพอดี ทำให้ชีวิตรู้สึกปลอดโปร่งมาก ไม่รู้หรอกนะว่าในวันต่อๆ ไปจะยังรู้สึกเช่นนี้หรือไม่ แต่วันนี้สบายใจมากที่รู้สึกว่าปลดปล่อยพันธนาการส่วนตัวออกไปได้ โดยเฉพาะผ่านบททดสอบบางอย่าง แม้จะไม่ใช่ข้อสอบฉบับโหด-หินก็ตาม

 

 

หมายเลขบันทึก: 193159เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2008 00:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ธรรมดา โลกของเรา เราไม่ได้อยู่คนเดียว มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของว่าง ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่ธรรมชาติ ของธาตุตามธรรมชาติของมัน เรื่องนี้ พระองค์เคยสอน พระราชโอรส ราหุน สามเณร ให้พิจารณา ให้ว่างตนดังธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม พระองค์ บอกว่า ดิน ไ่ม่เคยยินดีในของหอม และไม่ยินดีในของหมิ่น ที่คนนำไปรดลง ดินก็คงความเป็นดินดังเดิ่ม น้ำ.ไฟ.ลม ก็เช่นกันไม่เคย ยินดีเพราะของหอม และยินร้ายเพราะของหมิ่น ยังคงสภาพ เป็นดิน.น้ำ.ไฟ.สม เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ฟูขึ้นเพราะของหอม ไม่ยุบลงเพราะของหมิ่น ฉะนั้น เราก็ควรจะทำตนเหมือนธาตุ ๔ ดังที่พระอรหันต์ ราหุน เคยปฏิบัติมา ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

เจริญพร

นมัสการพระคุณเจ้า

จิตยังติดยึดกับความรู้สึกอยู่เจ้าค่ะ เขาชม จิตก็ฟู เขาว่า จิตก็แฟบ กำลังพยายามไม่ให้มันฟูหรือแฟบอยู่นานเกิน จะให้ไม่ยินดียินร้ายเลย ยังทำไม่ได้เจ้าค่ะ แต่จะพยายามฝึก

ขอบพระคุณพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ

อาจารย์ค่ะ มันเป็นธรรมดาค่ะ อยู่ที่ใจของเรามากกว่า เรสไม่สมควรไปยึดติดกับมันมาก มีได้ มีเสีย ไม่มีสิ่งใดอยู่กับเราได้ตลอดเวลาหรอกค่ะ สักวันเมื่อมันถึงเวลา มันก็ต้องไป ทั้งๆที่บางทีมันก็ไม่อบากไปค่ะ

ละอ่อนหละปูน

ในความเป็นธรรมดาที่ว่าอยู่ที่ใจเราน่ะ ถึงเวลาต้องทำจริงๆ มันไม่ค่อยง่ายนะ แต่ต้องฝึก ต้องพยายาม เพื่อวันนึงจะได้ไม่ยึดติดอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาทักทายค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท